บทที่ 5 ทวงรักทวงแค้นยุค 60

2535 Words
บทที่ 5 ทวงรักทวงแค้นยุค 60 ถึงอย่างไรซูหนิงเหมยก็ไม่ใช่บุตรสาวที่แท้จริงของเขา ไม่สู้เขารับเงินสินสอดเจ้าสาวสองร้อยหยวนเพื่อมาสนับสนุนครอบครัวของตนเองดีกว่า “ได้ถ้าแกต้องการเช่นนั้น ฉันซูห่าวซวนจะถือว่าไม่มีแกเป็นลูกสาวอีกต่อไป” เมื่อจบคำพูดของซูห่าวซวน ชาวบ้านจำนวนมากที่กำลังให้ความสนใจอยู่ต่างอุทานเสียงอื้ออึ้งอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าซูห่าวซวนจะยอมตัดขาดสัมพันธ์กับลูกสาวของตนเองจริง ๆ เพื่อเงินสินสอดเจ้าสาวสองร้อยหยวนนี้มันบังคับขายลูกชัด ๆ “หนิงเหมยเรื่องนี้ลุงว่าแกต้องคิดให้รอบคอบหากตัดขาดจากบ้านเดิมในตอนนี้ ต่อไปในอนาคตเมื่อมีเรื่องลำบากใจอะไรเกิดขึ้นจะไม่มีใครยื่นมือเข้าช่วยเหลือได้อีกต่อไป” หยางผิงที่มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าทีมของหมู่บ้านที่ทุกคนให้ความเคารพ กล่าวเตือนสติของหนิงเหมยด้วยความสงสาร “ลุงหยางผิงฉันไม่ต้องการตัดขาดจากครอบครัวแต่พ่อบังคับให้ฉันต้องแต่งงานกับผู้ชายพิการทำเช่นนี้ก็เหมือนต้องการให้ฉันตาย แล้วต่อไปในอนาคตครอบครัวเก่าของฉันจะยังมีสิ่งใดหรือใครให้ฉันเพิ่งพาได้อีก ในเมื่อแม้แต่พ่อแท้ ๆ ของฉันยังไม่ต้องการให้ความช่วยเหลือฉันเลย” ซูหนิงเหมยยกแขนเสื้อซับน้ำตาที่ไม่มีอยู่จริงพร้อมกับแสดงอาการร้องให้สะอึกสะอื้นอย่างทำใจไม่ได้ “ซูห่าวซวน หนิงเหมยอายุยังน้อยแกเป็นพ่ออย่าได้ถือสาลูกเลยนะถ้าตัดขาดจากครอบครัวเก่า เมื่อแต่งงานไปในอนาคตถูกครอบครัวของสามีรังแกหนิงเหมยจะทำอย่างไร” หัวหน้าทีมของหมู่บ้านหันมาพูดเกลี้ยกล่อมให้ซูห่าวซวนเปลี่ยนใจอีกครั้ง เพราะถึงอย่างไรหญิงสาวแต่งงานไปอยู่บ้านของสามีย่อมมีความยากลำบากมากกว่าจะสบาย และยิ่งตัดขาดจากครอบครัวเก่าของตนญาติทางฝั่งสามีอาจจะรังแกได้ “หึ ถ้ามันเก่งนักก็ให้มันไปฉันไม่ต้องการมีลูกอย่างมันอีกต่อไป” ตลอดเวลาที่ทุกคนโต้เถียงกันไปมาผู้เฒ่าซูที่เป็นหัวหน้าครอบครัวเอาแต่นั่งสูบบุหรี่เงียบ ๆ ไม่ได้พูดสิ่งใดออกมา ผู้เฒ่าชราทำเหมือนกับว่าเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตนเองเลยสักนิด มีเพียงหญิงชราซูเท่านั้นที่ไม่ต้องการให้ลูกชายคนที่สามของตนเองตัดความสัมพันธ์กับหนิงเหมย ถึงแม้หนิงเหมยจะไม่ใช่สายเลือดแท้ ๆ ของซูห่าวซวนผู้เป็นบุตรชาย แต่ในอนาคตใครจะรู้ว่าครอบครัวสามีของหนิงเหมยอาจจะมีประโยชน์สำหรับครอบครัวของพวกตนก็ได้ หัวหน้าทีมหมู่บ้านส่งสายตาไปมองหญิงชราซูเพื่อให้อีกฝ่ายช่วยพูดเกลี้ยกล่อมซูห่าวซวนผู้เป็นลูกชายเพื่อให้เขาเปลี่ยนใจ แต่ดูเหมือนว่าหญิงชราก็ไม่สามารถพูดให้อีกฝ่ายเปลี่ยนใจได้ หัวหน้าทีมหมู่บ้านจึงได้สั่งให้บุตรชายของตนกลับไปเอาสมุดและปากกามาให้ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานับตั้งแต่มีการปฏิรูปทางการเมือง การแตกแยกของพี่น้องและแบ่งแยกครอบครัวระหว่างพ่อแม่ลูกมีให้เห็นเป็นจำนวนมากนโยบายของผู้นำประเทศได้อนุญาตให้ครอบครัวสามารถแบ่งแยกหรือตัดความสัมพันธ์ระหว่างสายเลือดได้ตามความต้องการของประชาชนเพื่อล้มล้างวัฒนธรรมเก่า ๆ เพื่อสังคมจะได้พัฒนาก้าวไปสู่สังคมยุคใหม่ ดังนั้นครอบครัวซูไม่ใช่ครอบครัวแรกที่มีการกล่าวถึงการตัดสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกดังนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นในยามนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับทุกคน “หนิงเหมยเมื่อคุณทำสิ่งนี้แล้วจะไม่เสียใจทีหลังใช่ไหม?” “ลุงหยางผิงฉันจะไม่เสียใจกับสิ่งที่ตัดสินใจทำลงไปในวันนี้” ชาวบ้านที่มามุ่งดูต่างถอนหายใจด้วยความสงสารหญิงสาว ถึงแม้ในปัจจุบันการตัดสัมพันธ์ทางสายเลือดจะเป็นเรื่องปกติแต่ผู้คนในชนบทก็ไม่นิยมทำเช่นนี้พวกเขายินดีจะแยกบ้านกันแต่ไม่ยินยอมตัดความสัมพันธ์ของญาติพี่น้องทางสายเลือด ตลอดหลายปีที่ผ่านมาผู้คนในหมู่บ้านหยางต่างก็รู้ว่าซูหนิงเหมยเป็นเด็กสาวที่มีนิสัยดี หล่อนเป็นคนกตัญญูและให้ความเคารพผู้อาวุโสในครอบครัวเสมอและยังขยันช่วยงานทุกอย่างทั้งภายในบ้านและกลางทุ่งนาตั้งแต่อายุยังน้อย พวกเขาไม่คิดเลยว่าซูห่าวซวนจะใจดำกับลูกสาวแท้ ๆ ของตนเองเช่นนี้ ทุกคนต่างส่ายหน้ากับการกระทำของซูห่าวซวนสายสัมพันธ์พ่อลูกหรือจะสู้ลมที่เป่าอยู่ข้างหมอน สุดท้ายผู้ชายทุกคนก็ต้องเลือกเชื่อภรรยาของตนเอง พวกเขาหวังว่าในอนาคตซูหนิงเหมยจะไม่เสียใจกับการตัดสินใจของตนเองในวันนี้ ตามหลักแล้วเมื่อเขียนหนังสือตัดขาดความสัมพันธ์กันแล้วไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นทั้งสองครอบครัวไม่สามารถยุ่งเกี่ยวกันได้อีกต่อไป ซูหนิงเหมยรับเอาหนังสือที่ผู้นำหมู่บ้านเขียนรายละเอียดมาอ่านอีกครั้ง “ลุงหยางรบกวนลุงเขียนข้อความลงไปด้วยว่า ต่อไปในอนาคตไม่ว่าฉันจะมีทรัพย์สินอะไรครอบครัวซูไม่มีสิทธิ์มาขอส่วนแบ่งหรือมาขอให้ฉันกตัญญูต่อพวกเขาได้อีก” “ซูหนิงเหมยแกคิดว่าแกจะหาสมบัติอะไรมาได้” หลีเหว่ยที่ยืนอยู่ข้างซูห่าวซวนส่งเสียงตวาดลูกเลี้ยงด้วยความโมโหก่อนจะหันไปบอกหัวหน้าทีมหมู่บ้านให้เขียนข้อความเพิ่มลงไปเช่นกัน “หัวหน้าทีมคุณช่วยเขียนลงไปด้วยว่านับจากวันนี้ไปซูหนิงเหมยจะเป็นหรือตายไม่เกี่ยวข้องกับครอบครัวซูของเราอีกต่อไป” “นะ..นี้..มันจะเกินไปแล้วนะหลีเหว่ย ซูห่าวซวนฉันคิดว่าเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องเขียนลงไปก็ได้” ผู้นำทีมหมู่บ้านลังเลที่จะเขียนข้อความที่หลีเหว่ยบอกลงไปในหนังสือตัดขาดความสัมพันธ์ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นก็หมายความว่าความเป็นความตายเกี่ยวกับชีวิตของซูหนิงเหมยในอนาคตจะไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลซูอีกตลอดไป “เขียนลงไปตามที่เมียฉันบอกเถอะ” ซูห่าวซวนพูดย้ำอีกครั้งหัวหน้าทีมหมู่บ้านจึงจำใจต้องเขียนข้อความดังกล่าวลงบนหนังสือตัดขาดความสัมพันธ์ของสองพ่อลูกให้กับทั้งสองคน จะว่าไปแล้วเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตนเองที่เป็นคนนอกเลยแต่ว่าในฐานะหัวหน้าทีมหมู่บ้านที่ต้องดูแลความสงบของชาวบ้านภายในหมู่บ้านหยางแห่งนี้หยางผิงจึงต้องทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด เมื่อหัวหน้าหมู่บ้านเขียนเอกสารเสร็จทั้งสามแผ่นจึงส่งให้บุตรชายของเขาอ่านให้ทุกคนฟัง เมื่อทุกฝ่ายรับรู้ถึงข้อความที่เขียนอยู่บนเอกสารแล้วจึงได้ประทับลายนิ้วมือเพื่อลงชื่อเป็นหลักฐาน หญิงชราซูมองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความกังวล ถึงแม้ซูหนิงเหมยจะไม่ใช่ลูกหลานของตระกูลซูแต่ครอบครัวซูก็เลี้ยงดูมานานหลายปีจนโตเป็นสาว แต่เพราะคัดค้านการกระทำของบุตรชายคนที่สามไม่ได้หญิงชราจึงได้แต่นิ่งเงียบ เพราะหญิงชราซูยังต้องการเงินกตัญญูที่ลูกชายคนที่สามตกลงมอบให้แก่พ่อแม่เดือนละห้าหยวนทุกเดือนอยู่จึงไม่ต้องการทำให้ลูกคนที่สามไม่พอใจ เมื่อเหตุการณ์ทุกอย่างเรียบร้อยและจบลงแล้วชาวบ้านที่มามุงดูความสนุกของครอบครัวอื่นด้วยความอยากรู้ก็ได้แยกย้ายกันกลับบ้านของใครของมันเพื่อทำอาหารให้คนในบ้านกิน ผู้หญิงภายในหมู่บ้านจับกลุ่มคุยกันพูดถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไปด้วยความสงสารซูหนิงเหมยที่พ่อแท้ ๆ เห็นลูกเลี้ยงและภรรยาใหม่ดีกว่าลูกสาวแท้ ๆ ถึงขนาดยอมเขียนหนังสือตัดความสัมพันธ์ความเป็นพ่อลูกเพื่อบังคับให้ลูกสาวแท้ ๆ แต่งงานกับผู้ชายขาพิการ คืนนี้ผู้นำทีมหมู่บ้านได้มีคำสั่งให้ครอบครัวซูอนุญาตให้ซูหนิงเหมยนอนที่บ้านของพวกเขาหนึ่งคืน วันพรุ่งนี้จะมีคนจากครอบครัวจางมารับตัวเจ้าสาวไปที่หมู่บ้านโม่ซวนเพื่อแต่งงาน ถึงเวลานนั้นค่อยให้ซูหนิงเหมยเก็บข้าวของออกจากบ้านของครอบครัวซูไป ซึ่งสิ่งนี้หัวหน้าทีมหมู่บ้านได้ทำเพื่อหนิงเหมยเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อตอบแทนอี้หลินแม่ผู้ให้กำเนิดหนิงเหมยที่เคยช่วยเหลือผู้คนในหมู่บ้านหยางเมื่อครั้งอดีต เพราะถ้าหากครอบครัวฝ่ายเจ้าชายมารับตัวเจ้าสาวตามที่นัดไว้แต่เจ้าสาวไม่ได้ถูกส่งตัวออกจากประตูบ้านของพ่อแม่ถึงแวลานั้นเจ้าสาวจะถูกนินทาเพราะถือเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมและน่าอับอายที่สุดในชีวิตของหญิงสาวคนหนึ่ง ซูหนิงเหมยนอนอยู่บนเตียงภายในห้องนอนสายตาเหม่อมองหลังคาบ้านอย่างเหม่อลอย ตั้งแต่ที่ย้อนกลับมาจนถึงตอนนี้เธอเพิ่งมีเวลาคิดทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับตนเองอย่างจริงจังหลังจากเหตุการณ์ความวุ่นวายได้ผ่านพ้นไป วันแรกที่ซูหนิงเหมยย้อนกลับมาเธอคิดว่าตนเองกำลังฝันแต่พอหัวโขกกำแพงรั้วบ้านจึงได้รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเองในเวลานี้ล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น เธอได้ย้อนเวลากลับมาเมื่อสี่สิบปีก่อนจริง ๆ ปีนี้เป็นปีที่หนิงเหมยอายุครบสิบเจ็ดปีพอดี ถึงแม้ตอนนี้จะเป็นเวลาดึกมากแล้วแต่ซูหนิงเหมยกลับนอนไม่หลับพยายามใช้ความคิดเพื่อทบทวนถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตนเองเมื่อชาติที่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เพราะเวลาผ่านไปนานหลายปีแล้วเหตุการณ์บางอย่างซูหนิงเหมยจำได้เพียงรางเลือนเท่านั้นจึงต้องเค้นสมองคิดทบทวนความทรงจำอีกครั้ง ชาติก่อนซูหนิงเหมยจำได้ว่ามารดาผู้ให้กำเนิดได้ทำหนังสือหลักฐานเกี่ยวกับสินเดิมของมารดาไว้กับผู้นำหมู่บ้านคนเก่า แต่เพราะความโง่ของเธอเมื่อวันแต่งงานซูหนิงเหมยได้มอบหนังสือหลักฐานนั้นให้กับหลี่เหว่ยผู้เป็นแม่เลี้ยงเก็บไว้ เพราะแม่เลี้ยงของเธอให้เหตุผลว่าถ้าเธอนำสินเดิมไปบ้านสามีมากเกินไปจะทำให้ยุ่งยากถ้าต้องการหย่าร้าง ซูหนิงเหมยในเวลานั้นจึงได้หลงเชื่อคำหลอกลวงของแม่เลี้ยงกว่าจะรู้ตัวว่าถูกอีกฝ่ายหลอกทุกอย่างก็สายเกินไป ซูหนิงเหมยไม่สามารถนำสินเดิมของมารดากลับมาได้แล้ว เพราะไม่มีหลักฐานอะไรหนังสือหลักฐานที่อยู่กับผู้นำทีมหมู่บ้านก็ถูกหลี่เหว่ยหลอกเอาไปทำลายจนหมด หลายสิบปีที่ผ่านมาหลี่เหว่ยไม่เคยรู้เรื่องสินเดิมของมารดาผู้ให้กำเนิดหนิงเหมยเลย เมื่อตอนกลางวันของวันนี้อีกฝ่ายจึงได้ยินยอมให้ซูห่าวซวนตัดความสัมพันธ์กับหนิงเหมยง่าย ๆ เพราะอีกฝ่ายไม่รู้เรื่องหนังสือหลักฐานสินเดิม ถ้าอย่างนั้นแม่เลี้ยงของเธอคงจะรู้เรื่องหนังสือหลักฐานสินเดิมในคืนก่อนที่เธอจะแต่งงานออกไปจากครอบครัวซูแล้วหลี่เหว่ยไปรู้เรื่องนี้มาจากใครกันคงไม่ใช่จากพ่อราคาถูกของเธออย่างแน่นอน เพราะอีกฝ่ายก็ไม่รู้เรื่องนี้เช่นกันถ้าอย่างนั้นมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่บอกเรื่องหนังสือสินเดิมของมารดาผู้ให้กำเนิดเธอนั้นคือหญิงชราซูเจ้าเล่ห์ เมื่อชาติก่อนหญิงชราซูคงจะเรียกหลี่เหว่ยสะใภ้คนที่สามไปคุยเรื่องนี้ที่บ้านใหญ่ พอรุ่งเช้าหลี่เหว่ยจึงได้มาพูดจาหลอกล่อเอาหนังสือหลักฐานสินเดิมกับเธอก่อนที่จะเดินทางออกจากบ้านเมื่อคนของครอบครัวจางมารับ แล้วชาตินี้จะมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีกหรือไม่หญิงชราซูจะยังเรียกหลี่เหว่ยไปบอกเรื่องหนังสือหลักฐานสินเดิมของมารดาของหนิงเหมยอยู่ไหม ซูหนิงเหมยนอนคิดทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ ที่ยังพอจำได้จนกระทั่งเผลอหลับไปตอนไหนก็ยังไม่รู้ตัว เมื่อหลับไปซูหนิงเหมยฝันเห็นเรื่องราวในอดีตเหมือนกับว่าเรื่องราวเหล่านั้นได้เกิดขึ้นอีกครั้ง มันเป็นเหตุการณ์ของคืนวันที่สามเมื่อเธอกลับมาเยี่ยมครอบครัวเก่าตามธรรมเนียม สามีของเธอได้รับบาดเจ็บที่ขาเดินทางมาเยี่ยมบ้านเก่ากับเจ้าสาวไม่สะดวกหนิงเหมยจึงได้กลับมาบ้านของครอบครัวซูเพียงคนเดียว หลังจากนั้นเธอจึงอ้างเหตุผลต่าง ๆ เพื่อนอนค้างคืนที่ครอบครัวเก่าพอถึงเวลาดึกเธอได้แอบหนีไปกับอี้เฉินตามที่นัดกันไว้ หนิงเหมยต้องเดินทางอย่างอยากลำบากเพื่อหนีไปกับอี้เฉินพวกเขาสองคนหลบหนีไปที่บ้านเดิมของย่าอี้เฉินที่อยู่ห่างไกลออกไปหลายร้อยกิโลเมตร เมื่อไปถึงหมู่บ้านแห่งนั้นซูหนิงเหมยได้ถูกอี้เฉินปล่อยทิ้งไว้ให้อาศัยอยู่ภายในบ้านของย่าเขาเพียงลำพังหนิงเหมยต้องอาศัยอยู่กับครอบครัวที่วุ่นวายแห่งนั้นเป็นเวลาหลายปี อี้เฉินให้เหตุผลกับหนิงเหมยว่าเขาจะต้องรีบกลับไปเรียนมัธยมให้จบเพื่อจะได้เข้าทำงานในโรงงานผลิตเพราะพ่อของเขาเป็นรองผู้นวยการโรงงานผลิตมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้นำคนอื่น อี้เฉินบอกหนิงเหมยว่าในอนาคตพ่อของอี้เฉินจะช่วยให้เขาเข้าทำงานในโรงงานทันทีหลังจากที่เรียนจบ เมื่อถึงเวลานั้นเขาจะมีเงินเดือนหลายสิบหยวนไว้เลี้ยงดูซูหนิงเหมยให้สุขสบาย ซูหนิงเหมยเชื่อคำพูดของอี้เฉินเพื่อให้อีกฝ่ายตั้งใจเรียนได้โดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องของตนเองซูหนิงเหมยจึงได้พยายามทำงานอย่างหนักและยังพยายามเก็บเงินส่งไปให้อี้เฉินใช้เป็นบางครั้ง หลังจากนั้นซูหนิงเหมยเห็นภาพตนเองที่ทำงานใช้แรงงานทุกอย่างด้วยความอยากลำบากเงินทุกหยวนที่ทำงานได้มาไม่กล้านำออกไปใช้ แม้แต่ซาลาเปาสักลูกกว่าจะตัดสินใจซื้อกินต้องคิดแล้วคิดอีกเพราะกลัวว่าเงินที่ส่งไปให้อี้เฉินจะไม่พอ หนิงเหมยยืนมองตนเองที่เป็นคนโง่ยอมอดข้าวเพื่อผู้ชายเลว ๆ คนหนึ่งก็เกิดความรู้สึกทั้งอับอายสมเพชและโมโหตนเองในอดีตที่เป็นคนที่มีดวงตามืดบอดเช่นนี้
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD