เสียงแมลงกลางคืนส่งเสียงอยู่ด้านนอก ทำให้จิตใจที่สงบนิ่งเริ่มคลอนแคลน “พี่ใหญ่ ข้าทำให้ท่านผิดหวังแล้ว” เสียงหวานดังงึมงำอยู่ในลำคอ ความหวังของคนทั้งสกุลที่นางแบกรับไว้ ดูเหมือนริบหรี่แทบไม่เห็นแสงสว่าง ผู้หญิงตัวคนเดียว สติปัญญาก็ไม่ได้มากมายเหมือนพี่สาว เจียวลู่นึกภาพไม่ออกเลย นางจะหาหนทางไหนเข้าไปในวัง หากสกุลถังไม่ช่วย สิ่งที่พากเพียรมานานก็คงจบสิ้นลง
เจียวลู่ทรงตัวนั่ง มองเลยไปที่เจินเอ๋อที่หลับสนิทเป็นตาย
ดรุณีน้อยใช้ความคิด วันพรุ่งนี้ หากสกุลถังยังนิ่ง นางควรทำยังไงต่อ มือเรียวรวบกอดหัวเข่าเข้ามาแนบลำตัว เปลือกตาหลุบลง ขณะที่วางปลายคางไว้บนหัวเข่านั่น พร้อมกับลมหายใจที่พ่นออกมาแรงๆ
“เม่ยเหมย พี่ชายมาแล้ว” ประตูไม้ที่กรุกระดาษเพียงเล็กน้อยถูกผลักให้เปิด สายลมเย็นจากด้านนอกพัดกรูเข้ามา เปลวไฟโบกสะบัดไหวเอน เจินเอ๋องัวเงียลืมตา แล้วก็รีบวิ่งไปกางมือขวางทางถังเหวินไว้
“คุณชาย ท่านมาผิดที่แล้ว”
“ถอยไป” ถังเหวินออกแรงผลักเจินเอ๋อจนกระเด็น แล้วก็ย่างสามขุมเข้าใส่เจียวลู่ ที่นั่งตัวแข็งทื่ออยู่กับที่
“แม่นางน้อย วาสนาเจ้าไปไม่ถึงวังหลวงเสียแล้ว” ถังเหวินเยาะเย้ย พลางขยับเดินเข้าไปอีก
เจินเอ๋อโผเผไปขวางหน้า นางกางมือปกป้องนายสาวด้วยการเอาชีวิตของตัวเองเข้าแลก ถังเหวินโมโหจัด เขาล้วงมีดพกประจำตัวออกมาจากซอกเอว ก่อนที่ปลายมีดจะปักลงไปบนอกเจินเอ๋อ อาวุธลับไร้ตาก็พุ่งเข้าในมีดในมือถังเหวินจนหลุดกระเด็น
“ใครวะ!! “ ถังเหวินตวาดลั่น
เจินเอ๋อสะบัดจนหลุด แล้วก็วิ่งไปหาเจียวลู่
ดรุณีน้อยสองนางกอดกันกลมอยู่บนพื้นที่เต็มไปด้วยเศษฟางแห้ง
ถังเหวินมองไปรอบๆ ตัวเพื่อหาตัวเสือกที่สอดมือเข้ามายุ่ง
“ข้าสกุลถัง นามถังเหวิน ถ้าไม่อยากเดือดร้อน ก็อย่าสอดมือเข้ามายุ่ง!!” เสียงพึมพำนั่นทำให้เจียวลู่กับเจินเอ๋อกลัวมากขึ้น
“คุณชายท่านอยากได้อะไร เอาไปเถอะ ข้ากับคุณหนูจะไม่ขัดท่านเลย”
ถังเหวินแสยะยิ้ม เดินเข้าใส่สองสาว
“เป็นอนุข้าเถอะน้องลู่เอ๋อ พี่เหวินคนนี้ สัญญาจะดูแลเจ้าอย่างดี”
“ปากพล่อยๆ เยี่ยงเจ้าไม่มีวาสนาได้เคียงคู่กับคุณหนูของข้าหรอก” เจินเอ๋อตวาด ถังเหวินง้างมือสะบัดใส่หน้าเจินเอ๋อแรงๆ ใบหน้าเล็กๆ สะบัด พอหันกลับมาก็มีลิ่มเลือดทะลักออกมาตรงมุมปาก
“เจินเอ๋อ เจ็บหรือไม่” เจียวลู่ถามสาวใช้ของตัวเสียงสั่น
เจินเอ๋อไม่ทันได้ตอบ ร่างเล็กบางของนางก็ถูกกระชากออกมา เจียวลู่ผวาตาม นางพยายามรั้งข้อมือเจินเอ๋อไว้ “ข้าไม่คิดว่าคนสกุลถังจะทำตัวต่ำช้า ได้มากกว่าพวกโจรป่าเสียอีก”
“ฮ่าๆ” ถังเหวินเงยหน้าหัวเราะลั่น “พวกเจ้ามีสิทธิอะไรมาเปรียบข้ากับโจรป่าพวกนั้น”
“ท่านกำลังทำร้ายคุณหนูของข้า ถ้าข้ารอด ข้าจะไปแจ้งกับทางการ ข้าก็อยากรู้เหมือนกันท่านพ่อของท่าน จะช่วยท่านได้ยังไง” เจินเอ๋อตะโกนสวน แววตาของนางเด็ดเดี่ยว
“รอให้เจ้ารอดไปได้ก่อนเถอะ” ถังเหวินคำราม แล้วก็กระโจนใส่
เจียวลู่ร้องหวี๊ด กระชากเจินเอ๋อให้ออกวิ่ง นางกับเจินเอ๋อวิ่งไปคนละทาง เจียวลู่หลับตาวิ่งมาตลอดทาง นางเกือบตกหน้าผา หากไม่มีเงาร่างของใครบางคนกระโดดมารั้งเอาไว้
ลำตัวนางสั่นระริก มีน้ำอุ่นๆ ไหลออกมาจากดวงตา
“ไม่เป็นไรแล้ว เจ้าปลอดภัยแล้ว” เจียวลู่กะพริบเปลือกตาปริบๆ แล้วก็รีบผละออกจากอ้อมอกที่อุ่นจนเกือบร้อน นางยืนนิ่ง มือกำอยู่ที่ชายเสื้อ
“ขะ ขอบคุณ” เสียงพึมพำแผ่วๆ
ฟางซินถอนใจแรงๆ เขาไม่ควรสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องของสกุลถังเลย แต่ก็อดเวทนาดรุณีสองนางนี่ไม่ได้ สตรีตัวเล็กๆ จะหาญสู้กับบุรุษจิตใจต่ำช้าได้ยังไง ถังเหวินเป็นคนไม่ดี บิดาของเขาก็ไม่รู้จักสอนสั่ง ปล่อยปละละเลยจนเด็กหนุ่มกลายเป็นหนุ่มใหญ่ที่ทั้งการกระทำและคำพูดโสมมไม่ต่างกัน
“เจ้ามาทำอะไรที่วัดร้างนั่น”
หากเป็นสตรีมีสกุล ไฉนเลยถึงมาค้างอ้างแรมที่เพิงพักข้างทาง ที่เต็มไปด้วยอันตราย
เจียวลู่เม้มปาก “ข้ามีเหรียญเงินไม่พอที่จะพักที่โรงเตี้ยมได้”
ฟางซินเหลือบมองวงหน้าเกลี้ยงเกลาที่ก้มต่ำ เขาถอนใจแรงๆ “ช่วงนี้โจรภูเขาอาละวาด พวกเจ้าไม่ควรมานอนที่วัดร้างนั่นเลย”
“พรุ่งนี้ข้าก็จะไปแล้ว” เจียวลู่พึมพำตอบ
“ข้าเกรงว่า เจ้ากับคนของเจ้าจะอยู่ไม่ถึงเช้าน่ะสิ” กองทหารของฟางซินไล่ต้อนโจรภูเขาจนค่ายแตก แต่ก็ไม่แน่ว่าเร็วๆ นี้ กลุ่มโจรจะรวมตัวกันได้อีก ชาวบ้านตาดำๆ ทุกข์ใจเพราะโจรภูเขากกนี้ พวกเขาถูกปล้นสะดม ถูกช่วงชิงทรัพย์สินที่หามาได้ ฮ่องเต้มีคำสั่งให้สกุลโจนำกองกำลังมาปราบปราม เขาทำสำเร็จทลายรังโจรได้ แต่ยังจับตัวหัวหน้าโจรภูเขาไม่ได้สักที ฟางซินไม่อยากวางใจ เขาไล่ตามหัวหน้าโจรมา และคลาดกันก่อนที่จะเข้าสู่ตัวเมืองเสี่ยวเป้ยนี่เอง
เจียวลู่ผวา “ขะ ข้า”
“เอาเถอะ ไหนๆ ข้าก็สอดมือเข้ามายุ่งกับเรื่องของเจ้าแล้ว ข้าคงต้องช่วยให้ถึงที่สุด” ฟางซินยัดนิ้วใส่ปากแล้วเป่าแรงๆ เสียงสัญญาณดังหวี๊ด พร้อมกับเสียงฝีเท้าอาชาตัวใหญ่ดังขึ้น เจียวลู่เงยหน้ามอง นางเห็นแค่เพียงเสื้อเกราะรมควันสีดำกับผ้าคลุมสีน้ำตาล ก่อนที่ร่างของนางจะลอยขึ้นไปบนอากาศ และหยุดสนิทบนหลังม้าตัวใหญ่สีดำนิล
“นายท่าน ท่านจะพาข้าไปไหน” เจียวลู่ถามเสียงสั่น
ไม่มีคำตอบจากบุรุษร่างใหญ่ที่นั่งซ้อนอยู่ด้านหลัง มือของเจียวลู่กำขนที่แผงคอม้า ขณะที่ลำตัวสั่นคลอนเพราะต้องทรงตัวอยู่บนหลังม้า ในขณะที่ม้าออกวิ่งไปด้วยความเร็วปานลูกธนู
กลิ่นเหล็กผสมน้ำยาบางชนิดระเหยออกมาจากตัวบุรุษผู้นั้น เจียวลู่เกร็งตัวมาตลอดทาง เวลาชั่วลมพัดที่นางหลับตา ในที่สุดความทรมานก็หยุดลง
“พี่ใหญ่!!” ฟางหรงเตรียมจะอ้าปากถามพี่ชาย
ทว่าตอนที่ฟางซินถลาลงมาจากหลังม้า คำถามที่เขาเตียมไว้ก็ถูกกลืนกลับไปที่เดิม ในอ้อมแขนพี่ชายมีดรุณีน้อยหน้าตาซีดเผือดติดมาด้วย
“หาที่นอนให้นางหน่อย พรุ่งนี้เช้านางก็คงจากไปแล้ว” ฟางซินสั่งเสียงห้วน แล้วก็เดินแยกไปอีกทาง ฟางหรงยกมือเกาใต้ปลายคาง เขารู้สึกแปลกๆ ตั้งแต่ท่าทางกระวนกระวายของพี่ชาย ตอนที่สั่งให้เคลื่อนพล หลังจากได้ยินเสียงหวีดร้องที่ดังมาจากวัดร้าง
“คนของเจ้า รออยู่ที่นั่น” ฟางหรงชี้มือไปที่ห้องเก็บฟืน
ในจวนสกุลโจ ทุกห้องเต็มไปด้วยทหารกล้า พวกเขากร่ำศึกหนักติดต่อกันหลายอาทิตย์ เหนื่อยและต้องการพักผ่อน ฟางหรงเลยพาดรุณีน้อยนางนั่นไปพักที่ห้องเก็บฟืนแทน ที่นั่นน่าจะอบอุ่นและมีความปลอดภัยสำหรับสตรีที่เพิ่งเฉียดตายมาหมาดๆ
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” เจียวลู่พึมพำ แล้วก็ก้มหน้าเดิน
“คุณหนู” เจินเอ๋อตะโกนลั่น จากนั้นก็ถลาไปหานายสาว
เจียวลู่สำรวจเรือนกายของบ่าวรับใช้ เจินเอ๋อเจ็บหนักเอาการ มีบาดแผลที่ข้างแก้ม เหมือนถูกปลายมีดกรีดลงไป “เจินเอ๋อเจ้าบาดเจ็บ”
“อย่าใส่ใจเลย แค่นี้ข้าไม่ตายดอก”
เหรียญเงินเหลือไม่เท่าไหร่ หากต้องเจียดมาจ่ายค่ายา จากนี้ไปเรื่องอาหารการกินคงลำบาก ยิ่งต้องเตรียมไว้สำหรับ ‘ซื้อ’ ผู้คุมสอบสักคน เรื่องบาดเจ็บของตนเองเลยกลายเป็นเรื่องเล็กน้อย
“ไม่ได้สิจินเอ๋อ หากหน้าเจ้ามีแผล ภายภาคหน้าเจ้าจะไม่ได้ออกเรือน” เจียวลู่ท้วง เตรียมจะเดินออกไปด้านนอก ต้องมีร้านขายยาสักที่ที่ยังเปิดอยู่ นางพอรู้สูตรยารักษาแผล แม้จะต้องเจียดเหรียญเงินที่เหลือเพียงน้อยนิดเพื่อซื้อสมุนไพรส่วนผสมยาก็ตาม
“จะออกไปที่ใด นี่มันดึกแล้วนะ” ฟางหรงยื่นขวดยาให้ พร้อมกับตำหนิด้วยเสียงที่แข็งกระด้าง “เจ้าเป็นสตรี ไม่รู้สึกถึงความกลัวบ้างเรอะ!!”
เจียวลู่รับขวดยามาและหมุนตัวกลับไป
“สูตรยาสกุลโจ อีกสามวันแผลคงสมาน” ฟางหรงอธิบาย