เจียวลู่เตรียมจะเดินหลบ แต่ทว่าอาชาสีดำทมิฬก็พุ่งใส่ตนเองเสียก่อน เจียวลู่ยืนตัวแข็งทื่อ ดวงตาเรียวรีขยายกว้าง ก่อนที่อุ้งเท้าม้าปีศาจจะกระแทกถูกกลางลำตัว พลันก็มีสายลมสายหนึ่งหอบลำตัวของนางขึ้นสูง พร้อมกับกลิ่นบุรุษเพศที่โชยเข้ามาในรูจมูก
“คุณหนูรอง!!” เจินเอ๋อตะโกนลั่น สีหน้าเผือดซีด
“เจ้าไม่ใช่คนที่นี่ใช่ไหม ข้าไม่คุ้นหน้าเจ้าสองคนเลย” โจฟางหรงเบ้ปาก ใช้ปลายกระบี่ที่ยังไม่ถอดออกจากฝักชี้ไปที่เจินเอ๋อ
“อย่าเสียมารยาท” โจฟางซินโรยตัวลงมา เขาหย่อนเจียวลู่ไว้บนพื้น โดยไม่ได้พูดอะไรกับนางสักคำ “แถวนี้มีม้าเร็ววิ่งบ่อยๆ เจ้าสองคนไม่ควรโอ้เอ้อยู่บนถนนนานๆ” คำสุภาพที่บ่งบอกว่ากำลังตำหนิ
เจียวลู่ถลาเข้าไปหาเจินเอ๋อ แล้วก็พึมพำขอบคุณคนแปลกหน้าที่ช่วยให้นางปลอดภัย “ขอบคุณคุณชาย”
“มิจำเป็น ไปกันเถอะฟางหรง” โจฟางซินพูดเสียงโทนต่ำ เขาถีบตัวขึ้นไปนั่งบนหลังอาชาตัวสีดำที่ยืนหอบหายใจเสียงดังฟืดฟาด
“จำเอาไว้ สตรีไม่ควรมาอยู่แถวนี้” โจฟางหรงตะโกนบอก แล้วก็ใช้หลังเท้ากระแทกสีข้างอาชาตัวสีน้ำตาลที่เป็นอาชาคู่ใจของเขาให้ควบขับตามพี่ชายไป
“เข้าไปข้างในเถอะเจินเอ๋อ ก่อนที่เราสองคนจะถูกม้าเหยียบ” เจียวลู่เพิ่งสังเกต บนท้องถนนเต็มไปด้วยรอยเท้าม้า ถนนเส้นนี้แทบไม่มีชาวบ้านเดิน ยกเว้นร้านรวงค้าขาย ที่ยังพอมีผู้คนยืนรอใช้บริการ
“คนที่นี่เถื่อนจังเลยนะเจ้าคะ” เจินเอ๋อกระซิบกับเจียวลู่
ดรุณีน้อยเม้มปาก หัวใจของนางยังสั่นไม่หยุด นี่เป็นครั้งแรกที่ถูกบุรุษเพศแตะต้องเนื้อตัวของนาง มือหยาบกร้านนั่น แตะใต้ชายโครง ห่างจากทรวงอกของนางไม่ถึงหนึ่งคืบ
“เถ้าแก่ พอมีห้องว่างไหมเจ้าคะ?” เจินเอ๋อถามชายสูงวัยที่นั่งอยู่หน้าแผงลูกคิด ท่าทางเขาน่าจะเป็นเจ้าของโรงเตี้ยมแห่งนี้
“พวกเจ้าลงมาจากรถสกุลถังไม่ใช่หรือ”
“เจ้าค่ะ แต่พวกเรามิได้พักที่สกุลถัง” เจินเอ๋อตอบ
“คงมาคัดเลืองเป็นนางกำนัลในวังใช่หรือไม่” เถ้าแก่โรงเตี้ยมเดาจากท่าทางและกิริยา
ดรุณีรูปงาม ท่าทางเรียบร้อยและสุขุม การเดิน การวางตัวดูผิดแผกจากชาวบ้านทั่วไป
“เหลือแค่ห้องเดียว จะเอาหรือเปล่าละ!!”
เจินเอ๋อพยักหน้ารับ แล้วก็รีบควักเหรียญเงินออกมาจ่ายค่าห้อง เถ้าแก่โรงเตี้ยมส่ายหน้า แววตาหลุกหลิกเปล่งประกายขึ้นวูบหนึ่ง ก่อนจะเลือนหายไป
“หนึ่งเหรียญทอง”
เจินเอ๋อชักมือกลับ แล้วก็มองสบตาเจียวลู่ “แพงจัง”
“ช่วงนี้มีคุณหนูจากสกุลใหญ่ๆ ทั่วทุกสารทิศ เป็นธรรมดาที่ห้องพักจะไม่มีเหลือ พวกเจ้าโชคดีที่โรงเตี้ยมของข้ายังมีห้องว่าง เลือกเอาเถอะ จะนอนบนถนนเพื่อเตรียมตัวเข้าวังในวันพรุ่งนี้ หรือว่าจะหมดโอกาสที่จะเข้าวังไปคัดเลือก”
“เอะ!! เจินเอ๋อ ถุงหอมของข้าละ” จู่ๆ เจียวลู่ก็อุทาน นางก้มมองตัวเอง ถุงหอมที่พกไว้ติดตัว จู่ๆ ก็หายไป นางคิดถึงเหตุการณ์เมื่อสักครู่ บางทีถุงหอมของนางอาจจะติดตัวบุรุษแปลกหน้าสองคนนั่นไป
“ชั่งเรื่องถุงหอมก่อนเถอะเจ้าค่ะ คืนนี้คุณหนูกับข้าจะนอนพักที่ใดกัน” เจินเอ๋อกล่าวเสียงแผ่ว การค้างอ้างแรมนอกเรือนนารีครั้งแรก แม้แต่ที่นอนอุ่นๆ ยังไม่มี เหรียญเงินที่พกติดตัวมาพอแค่ค่ากิน หากต้องเจียดเหรียญเงินทั้งหมดสำหรับที่นอนในราตรีนี้ จากนี้จนถึงวันคัดเลือกนางกำนัล น่าจะได้กินแค่น้ำเปล่า
“ข้านอนที่ไหนก็ได้” เจียวลู่กล่าวเสียงหนักแน่น
เจินเอ๋อถอนใจ พลางรั้งข้อมือของเจียวลู่
ยามที่สองดรุณีน้อยเดินติดขอบถนน เพื่อหลบเลี่ยงอาชาตัวใหญ่ที่วิ่งสวนไปมาไม่ขาดช่วง “ไม่ต้องห่วงนะเจ้าคะคุณหนู คืนนี้ข้ากับท่านมีที่ซุกหัวนอนแน่ๆ” เจินเอ๋อกล่าวเสียงหนักแน่น สองเท้าที่ย่ำลงบนพื้นดินสีแดงเข้มมั่นคง
“เจ้ากับข้าจะนอนที่ไหนหรือเจินเอ๋อ” เจียวลู่ยังไม่คลายความกังวล แววตาของนางยังคงมีความระแวงอยู่ นอกชายคาเรือนนารี ไม่มีสักที่ที่ปลอดภัย ศัตรูที่จ้องอยู่ หากรู้ว่าสกุลเจียวยังเหลือทายาท คนเหล่านั้นต้องเคลื่อนไหวอีกแน่ๆ
“ก่อนเข้าเมือง ข้าเห็นวัดร้าง” เจินเอ๋อพึมพำ สติปัญญาของนาง คงหาที่ค้างคืนได้เท่านี้
เจียวลู่ไม่ได้ถามอีก นางเดินตามเจินเอ๋อไปเงียบๆ
“พี่ใหญ่นั่นอะไร?” ฟางหรงควบม้าไปเทียบข้างพี่ชาย เขาเห็นบางอย่างติดอยู่ที่เข็มขัดของฟางซิน
ฟางซินก้มมอง เขาขมวดคิ้วก่อนจะกระตุกถุงหอมที่ติดอยู่ในซอกเข็มขัดขึ้นมาดูใกล้ๆ ลายปักบนถุงหอมมีฝีมือประณีต กิ่งดอกเหมยเหมือนมีชีวิต กลีบดอกแย้มบานและส่งกลิ่นหอมชวนตะลึ่ง
“คงเป็นของแม่นางคนนั้น” ฟางซินตอบแล้วก็ยัดถุงหอมไว้ในอกเสื้อ เขาคงต้องหาเวลานำถุงหอมใบนี้ไปคืนเจ้าของ ซึ่งคงต้องเป็นวันอื่น เนื่องจากวันนี้เขามีธุระสำคัญต้องทำ
ฟางซินกระแทกส้นเท้ากับสีข้างอาชาตัวโปรด และสัตว์เลี้ยงของเขาก็เหมือนจะรู้ใจเจ้าของเป็นอย่างดี สองขาหน้าจ้วงสุดตัวเพื่อเพิ่มความเร็ว เศษดินสีแดงฟุ้งกระจาย เพียงพริบตาเดียวก็มองไม่เห็นแม้แต่เงา
“ท่านพ่อๆ” ถังเหวินกึ่งวิ่งกึ่งตะโกน
ถังฮุ่ยวางจอกน้ำชาลง แล้วก็ปั้นหน้านิ่ง ทุกครั้งที่บุตรชายโวยวายเสียงตื่นตระหนก มักมีเรื่องร้อนใจมาให้เขาคอยแก้ให้ทุกครั้ง
“อะไรอีก!!”
“ท่านพ่อ คนสกุลเจียวมาถึงแล้ว” ถังเหวินละล่ำละลัก
“เห็นด้วยตาตัวเองหรือไม่?” ถังฮุยย้อนถาม
“ไม่” ถังเหวินตอบสั้นๆ
“แบบนั้นเจ้ารู้ได้ไงว่าเป็นคนสกุลเจียว” ถังฮุ่ยยกจอกน้ำชาขึ้นจิบต่อ
“นั่นสิ แน่ใจได้ยังไง” พ่อบิดาส่งสัญญาณให้ ถังเหวินก็รับรู้ความในนั่น เขายกกาน้ำชารินน้ำชาอุ่นๆ ใส่จอกดินเผาให้ตัวเอง แววตาเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอกไปมา
“อย่าสนใจเรื่องนั้นเลย พรุ่งนี้ ตามพ่อเข้าวัง เผื่อมีตำแหน่งงานว่างๆ ข้าจะกระซิบบอกให้คนของพระสนมจัดการให้” ถังฮุ่ยเปรย ลูกชายหัวทึบของตนเองไม่มีทางสอบผ่านข้อเขียนที่ทางวังหลวงกำหนด โอกาสที่จะได้ทำงานรับใช้ฮ่องเต้ริบหรี่ ทางเดียวที่จะทำให้สกุลถังมีหน้ามีตา ก็คงต้องพึ่งพาบารมีวังหลัง ซึ่งขณะนี้ใครๆ ก็รู้ สกุลเฉินมีอิทธิพลชี้เป็นชี้ตายได้มากขนาดไหน
สีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ของบิดา ทำให้ถังเหวินไม่กล้าพูดต่อ
บุตรชายสกุลถังก้มหน้ายิ้มกรุ้มกริ่ม สตรีสกุลเจียวนับแต่ในอดีต รูปโฉมเป็นที่เลื่องลือ หากครั้งนี้เขาจะฉวยโอกาสดีๆ เผด็จศึกสตรีนางนั้น หรืออีกนัยหนึ่งเพื่อปิดปาก เพราะหลังจากสิ้นผู้นำสกุล สกุลเจียวก็แทบจะไร้ชื่อ
ความเมตตาที่เขาให้สกุลเจียว อีกไม่นานสตรีเหล่านั้นจะซาบซึ้ง สกุลเจียวไร้เกียรติไร้ศักดิ์ศรี ต่อให้โพนทะนาก็คงไม่มีคนฟัง
“ข้าไปพักผ่อนก่อนนะท่านพ่อ”
ถังฮุ่ยไม่ได้ทักท้วง เขากำลังคิดเรื่องของพระสนมผู่เยว่ สตรีผู้นั้นกระหายในอำนาจ หลงใหลโชควาสนา และทรัพย์สมบัติที่ตัวเองครอบครอง มีพ่อค้าจากแดนไกลเดินเข้าออกราชสำนักไม่ขาดในแต่ละวัน ส่วนใหญ่แวะไปที่วังหลัง เพื่อเสนอขายสินค้า บางครั้งก็มีของกำนัลไปฝาก เพื่อให้สกุลเฉินเปิดทางให้ค้าขายได้อย่างไม่มีติดขัดในเมืองเสี่ยวเป้ย
ถังเหวินเดินกระหยิ่ม “อาใช่ จัดปิ่นโตให้ข้าหน่อย ขอกับข้าวสักสอง สามอย่างนะ”
บ่าวรับใช้คนสนิทรับคำสั่ง และไม่ได้ซักถามต่อ ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งเค่อ ถังเหวินก็นั่งรถม้าสกุลถังมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ จุดหมายปลายทางของเขาคือวัดร้าง
4.
เจียวลู่ข่มตาหลับไม่ลง นางนอนมองเปลวไฟที่เจินเอ๋อหาเศษไม้มาจุดให้แสงสว่าง และช่วยป้องกันสัตว์ร้ายได้ด้วย ดวงตาของเจียวลู่มองนิ่งๆ ที่เปลวไฟ ทุกครั้งที่มีแรงลมดรุณีน้อยก็มักจะผวา ความกลัวที่นางสลัดไม่หลุดมักจะย้อนมาในสมอง ทุกครั้งที่อยู่ลำพัง เจียวลู่เม้มปาก พยายามปล่อยวางความกลัวลง
นาทีนี้นางยังมีชีวิต ยังหายใจได้อยู่
ความกลัวที่เกาะติด ไม่มีทางทำอะไรนางได้ หากนางยังมีสติ