สงคราม12 องครักษ์

2377 Words
" โอ๊ะ โอ๊ะ ! ....คนโฉดชุดครามเจ้าได้สติแล้ว !..." เสียงสดใสที่แทรกเข้าหู เป็นสิ่งแรกที่หลิวหงเหินสัมผัสเมื่อลืมตาตื่น ใบหน้าอ่อนหวานที่อยู่ใกล้จนลมหายใจรดใบหน้า ทำเอาชายหนุ่มต้องเขยิบตัวหนี " นี่ข้าเอง !...เจินจีซี ....เจ้าจำข้าไม่ได้แล้วรึ ! ถอยหนีข้าทำไม ?.... " " เพราะจำเจ้าได้นั้นล่ะ ถึงได้ถอยหนีเช่นนี้ " " เอ๊ะ !...เจ้านี่ประหลาดจริง ! " เด็กสาวผุดยืนขึ้น สองมือเท้าสะเอว เพ่งมองชายหนุ่มอย่างขุ่นเคือง " มันสมควรตื่นแล้ว หากตื่นเชื่องช้ากว่านี้ ก็ไร้ผู้คนให้มันพบเจอแล้ว " เสียงแหลมเล็กผลุบโผล่ขึ้นมากับชายชราร่างเล็ก ที่มาปรากฏอยู่บนคอนไม้ข้างหลิวหงเหิน " สติมันฟั่นเฟื่อนเช่นนี้ ถึงตื่นมาก็ช่วยอันใดไม่ได้หรอกเฒ่าวานร ! " เด็กสาวกล่าวเสียงขุ่น ทั้งที่ยังหลี่ตามองชายหนุ่มอย่างคลางแคลงใจ " ยิ่งสติฟั่นเฟื่อนยิ่งยอดเยี่ยมนัก ในยามวิกฤตเช่นนี้ ผู้คนสติดีงามย่อมตกตายง่ายดายนัก ต้องวิปริตแปรปรวนซิถึงจะเหมาะกับศึกสงคราม "... เกิดเสียงกัมปนาทดัง ตูม !..สนั่นลั่นมาหลังเสียงเฒ่าวานรไม่ทันจาง " นั้นประไร !. เจ้าพวกกองเรือมันเล่นปืนใหญ่อีกแล้ว "...เฒ่าวานรกระโดดตัวลอยขึ้นไปเกาะยอดไม้สูงลิ่ว พลางแหง่นหน้ามองไปที่ไกลตา เหมือนกำลังมองหาที่มาของเสียงดังสนั่นนั้น ตูม ! ตูม ! ตูม ! เสียงปืนใหญ่ยังรัวสนั่นอีกเป็นระรอก จนหลิวหงเหินรู้สึกถึงผิวน้ำกระเพื่อมตามแรงสะเทือนขึ้น " เอ !...เฒ่าวานร ท่านแน่ใจเหรอว่าคนโฉดสติไม่สมประกอบแบบนี้จะหยุดหายนะได้ ? " เด็กสาวถามทั้งที่ควงขลุ่ยไปมาด้วยความกังวลไม่แน่ใจนัก " ข้าไร้ความสามารถมองเห็นอนาคต ย่อมไม่สามารถตอบเจ้าได้กระจ่างแจ้งนักหรอกซียี้ ! " คำตอบมันแว่วอยู่ข้างตัวเด็กสาว พร้อมๆกับร่างเล็กแคระมาปรากฏตัวว่องไวในพริบตา " ถ้าเช่นนั้นเหมาะสมยิ่ง เมื่อไม่รู้อนาคต ย่อมมีเรื่องท้าทายให้พิสูจณ์ใช่หรือไม่ ?....ในความท้าทายย่อมเป็นได้ทั้งดีและร้าย ความไม่แน่นอนแบบนี้สามารถเก็บเกี่ยวเดิมพันได้ไม่น้อยเลยนะ ! "... " เจ้าคิดเดิมอันใดกับข้ารึ เด็กน้อย ! " " ย่อมต้องเป็นยอดอาหารที่ท่านไม่เคยปรุงให้ข้าพเจ้ารับทานนั้นล่ะ " " อืม !....เป็น8 อมตะ ใช่หรือไม่ ที่เจ้าอยากรับทาน " " ถูกต้อง ! " " แล้วถ้าข้าชนะเจ้าจะให้อันใด " " ข้าสมควรปรุง8 วายปราณให้ท่านรับทานดีหรือไม่ ".... " ฮ่า ฮ่า ฮ่า...ถ้าข้าชนะทุกคนย่อมวายปราณสิ้นแล้ว เจ้าไม่ต้องเสียเวลาปรุงอาหารอันใดหรอก " " จริงแท้นัก ชีวิตผู้คนนี่ช่างเปราะบางนัก " เด็กสาวส่ายหัวน้อยๆ พลางควงขลุ่ยไปมา คล้ายคิดใคร่ครวญถึงชีวิต ก่อนนางจะเบิกตาโพลงพร้อมกับใช่ขลุ่ยตีฝ่ามือ เหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ " เพราะฉนั้นข้าพเจ้าต้องเร่งรีบหาวัตถุดิบมาปรุงอาหารแล้ว ขืนชักช้าจะไม่มีโอกาสได้รับทานแล้ว " นางขยับตัวคิดเผ่นผิวจาก แต่แล้วกลับต้องหันมาสั่งเสียกับเฒ่าวานรเป็นครั้งสุดท้าย " ฝากท่านดูแลคนโฉดสติฟั่นเฟื่อนชั่วครู่นะ สักประดี๋ยวข้าจะกลับมาพร้อมยอดโภชนาการ " นางเผ่นโผนไปว่องไวพอๆกับถ้อยคำทิ้งท้าย ปล่อยทิ้งให้สองชายต่างวัยยืนเคว้งคว้างอยู่ท่ามกลางเสียงปืนใหญ่ระเบิดเป็นระยะ " สภาพเจ้าไม่ต่างจากผ้าขี้ลิ่วเลยชายเสเพล ! " เฒ่าวานรกล่าวพร้อมทำจมูกฟุตฟิต เหมือนได้กลิ่นฉุนขึ้นจมูก โดยหลิวหงเหินไม่ทันกล่าวตอบโต้ ร่างชราพลันหายวับไปกับตา และเพียงอึดใจมันกลับมาผลุบโผล่ที่ด้านซ้ายของชายหนุ่ม โดยในมือมันยังถืดไว้ด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่เอี่ยม ที่ทักทอจากใยไหมสีขาวสะอาด มีลายเป็นรูปหงษ์กระพือปีกสีฟ้าอ่อนโบยบินอยู่สอง - สามตัว " เจ้ารีบชำระล้างร่างกาย แล้วเปลี่ยนชุดเสีย...ข้าจะไปรอคอยเจ้าที่ห้องอาหาร " มันกล่าวรวบรัด ก่อนจะหายตัวไปอีกครา ปล่อยทิ้งให้หลิวหงเหินยืนถือเสื้อผ้าชุดใหม่อย่างเดียวดาย " ระเบิดโครมครามขนาดนี้ ยังจะมีอารมณ์ลิ้มโอชารสอีก ?...คงเป็นการเลี้ยงส่งมื้อสุดท้ายกระมั้ง ? " ชายหนุ่มระบายยิ้มเย้ยหยัน ก่อนจะเริ่มปลดเปลื้องเสื้อผ้าเก่าคล้ำออก แล้วก้าวลงไปชำระร้างร่างกายในบึงน้ำอันเยียบเย็น.... …………… .... ภายในวังมังกรถูกประดับประดาด้วยวัตถุล้ำค่าจากนานานประเทศ มีอาวุธหลายชนิดแขวนติดผนังไว้เรียงรายไปตลอดทางเดิน มีทั้งดาบเปอร์เซีย กระบี่ชาวฮั่น หอกของโรมัน คันธนูใหญ่แบบชาวอาทิตย์อุทัย " สมคำล่ำลือนัก ลัทธิมนีกี นับเป็นศาสนาของนักรบโดยแท้ " หลิวหงเหินเปรยกับตัวเองเบาๆ ขณะเดินจากต้นไม้แห่งชีวิตที่มันพักพิงมาแรมเดือน มันเดินไปตามทางหินอ่อนที่ถอดย่าวไปในโถงทรงโค้ง ชายหนุ่มมองของตบแต่งอย่างสนอกสนใจ ไม่เพียงสรรพอาวุธที่รายล้อม ยังมีอัญมณีวางเกลื่อนกลาด ดั่งกรวดทรายไร้ค่าอยู่สองข้างทาง ชายหนุ่มเดินอย่างเดียวดาย ท่ามกลางความเปลี่ยวร้างของอาคารรโหฐาน ผสานเข้ากับเสียงปืนใหญ่ก้องดังอยู่ไกลๆ... กระทั้งชายหนุ่มในชุดไหมใหม่เอี่ยมเดินมายังจุดสูงสุดแห่งวังมังกร จุดที่ซึ่งเป็นลานหินทรงกลมคล้ายประภาคายอดเนินผา โดยมียอดทรงกลมสะท้อนแสงวับวาวให้เรืองสว่าง จากที่มันยืนอยู่สามารถมองไปเห็นบรรยากาศภายนอก ซึ่งมีแต่เทือกเขารายล้อมไว้ทุกด้าน ซึ่งเหมือนปราการทางธรรมชาติที่ป้องกันวังมังกรไว้จากโลก แต่คนบนยอดวังยังพอมองเห็นความเป็นไปของโลกภายนอก จากกลุ่มควันไฟโขมงที่ลอยคลุ้งมาจากทิศเหนือ และทิศตะวันออก นั้นแสดงว่าเกิดการรบพุ่งรุนแรงถึงสองจุดในเวลาเดียวกัน .... " กองทัพวังเมฆาขจี เลื่องลือถึงการโจมตีศัตรูพร้อมกันแปดทิศสิบทาง ยิ่งมีสิบองครักษ์มาพร้อมพรั้ง ยิ่งทรงพลานุภาพเกินกว่าผู้ใดจะต้านทานได้ " หลิวหงเหินนึกถึงสหายเหล่าชาวยุทธนับพันบนเกาะ ที่ล้วนแต่เชี่ยวชาญแต่การต่อสู้ตัวต่อตัว ไม่อาจรับมือกับยอดขุนศึกผู้ช้ำชองพิชัยสงครามได้... " เจ้าหลงทางมานี่เอง ชาบเสเพล....เราต้องรีบแล้ว เวลาไม่คอยท่านัก "...เฒ่าวานรผลุบโผล่ขึ้นข้างกาย ว่องไวจนแทบไม่ทันกระพริบตา " เพียงรับทานอาหาร ใยต้องเร่งรีบนักเล่า ? " " ใครว่าให้เจ้าเร่งรีบไปทานอาหารเล่า ! " คำโต้ตอบของเฒ่าวานรกล่าวไม่ทันจบ มือมันก็คว้าเข้าที่ข้อแขนชายหนุ่ม ก่อนแสงจะเรืองสว่างวาบอาบทั่วตัวทั้งคู่ แล้วฉับพลันชายสองวัยได้เคลื่อนที่ไปราวสายฟ้าแลบผ่าน หลิวหงเหินรู้สึกเหมือนสรรสิ่งถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เห็นเพียงแสงพราวพรายวูบวาบรอบกาย.... ทว่าเพียงชั่วอึดใจ ลมปราณในกายหลิวหงเหินพลันปรับเปลี่ยนแนวโคจร จนร่างกายอุ่นละอุ สายตากลับแจ่มกระจ่างเห็นทุกสิ่งรอบกายแจ่มชัด เหมือนเดินเล่นทอดตาชมทิวทัศน์ ชายหนุ่มแตกตื่นกับสิ่งที่ปรากฏกับตัวนัก ....วิชาฟอกไขกระดูกช่างพิสดารขนาดนี้ แม้เคลื่อนที่ด้วยความเร็วดั่งสายฟ้า ยังปรับเปลี่ยนสายตาให้มองเห็นทุกสิ่งดั่งยืนนิ่งอยู่กับที่ มันพบว่าเฒ่าวานรพาโลดแล่นลงจากวังมังกร วิ่งวนผ่านช่องทางวงกตหิน แล้วละลิ่วลัดเลาะไปตามแนวป่าด้วยความเร็วเสียง กระทั่งมาหยุดสนิท ณ เชิงผาสูงที่ซึ่งมีเด็กสาวในชุดหลากสียืนคอยอยู่ " มาจนได้นะ เจ้าคนโฉดชุดคราม หากมาเชื่องช้ากว่านี้ มีหวังไม่ทันมาบอกลาสหายเจ้าแล้ว ! " " สหายข้า ? " เด็กสาวชี้มือลงเบื้องล่างหน้าผาแทนคำตอบ หลิวหงเหินพบว่าที่เบื้องล่างหน้าผา มีกองทัพเกราะเงินนับร้อยชีวิต วางกำลังรายล้อมหน้าปากถ้ำใหญ่ นั้นหมายความว่า เหล่านักรบเกราะเงินได้ไล่ตอนผู้คนให้เข้าไปติดกับดักในถ้ำนั้นแล้ว " พวกเจ้ารีบกระทำการให้เสร็จสิ้น จะได้มาชำระหนี้เดิมพันกันให้หมดจรด " ชายชราร่างแคระ ยักคิ้วหลิ่วตาให้กับเด็กสาว ก่อนจะโลดแล่นไป จนคล้ายร่างสลายวับไปกับตา " ท่านตระเตรียมอาหาร8อมตะให้ครบถ้วนเถิด แล้วข้าพเจ้าจะกลับไปรับทานให้หนำใจ " เด็กสาวแผดเสียงร้องไล่หลังชายชราไป ทำให้หลิวหงเหินต้องรีบรั้งแขนเด็กสาวให้หลบเลียงมาข้างพุ่มไม้ แฝงเร้นกายจากเหล่านักรบที่อาวุธครบมือ " ท่านทำอันใดชายโฉด ? " นางแวดเสียงสูง พรางสะบัดแขนออกจากมือชายหนุ่ม " เจ้าร้องเรียกข้าศึกมาหาตัวหรือไร ? " " ถูกต้อง !...หากพวกมันไม่พบเจอข้าพเจ้า ไหนเลยจะลงไม้ลงมือกันได้ " เด็กสาวผุดยืนด้วยใบหน้ายิ้มระรื่น โดยมือซ้ายยื่นส่งพวงเชือกอันร้อยไว้ด้วยจอกสุรา5จอกเป็นพวงยาว " นี่มันจอกสุราของข้าพเจ้า ! " หลิวหงเหินรีบเอื้อมมือรับจอกสุราไว้ " ย่อมต้องเป็นของเจ้าแน่ ไม่เช่นนั้นข้าจะคืนให้เจ้าทำไม? " นางกล่าวพร้อมกับควงขลุ่ยไปมา ปลดปล่อยให้เสียงหวีดหวิวกระจายจากลำขลุ่ย คล้ายจะบ่งบอกตำแหน่งที่อยู่ให้แน่ชัดขึ้น " ที่แท้เจ้าเป็นเทพสงคราม จำแลงมาเป็นอิสตรีนี่เอง จึงได้ชมชอบต่อยตีนัก " หลิวหงเหินหยัดตัวยืน พร้อมกับร้อยพวงจอกสุราไว้ข้างสายรัดเอว " ย่อมต้องต่อยตีแล้ว มิเช่นนั้นข้าจะกระทำภารกิจของมารดาให้เสร็จสิ้นได้อย่างไร " เด็กสาวพูดเจื้อยแจ่ว พร้อมกับใช้นิ้วรั้งสร้อยห้อยคอให้หลิวหงเหินเห็นถนัดชัดตา สร้อยที่ห้อยคอนางผูกร้อยไว้ด้วยถุงผ้าเล็กๆสามถุง คล้ายเป็นถุงใส่ขนมของเด็กน้อย " มารดาท่านไหว้วานให้ท่านแจกจ่ายขนมให้ข้าศึกอย่างนั้นรึ ? " หลิวหงเหินกล่าวด้วยรอยยิ้มยียวน โดยสายตาเหลือบไปเห็นประกายโลหะวับวาว เคลื่อนขบวนขึ้นมาจากเนินผา " เจ้าคิดก่อกวนข้าหรือไร ! มารดาข้าจะแจกจ่ายขนมให้พวกมันทำไม ...มารดาให้ข้าพเจ้ากระทำสามเรื่องราวต่างหาก สำเร็จหนึ่งก็ได้ลิ้มรสลูกกวาดเชื่อมน้ำตาลหนึ่งเม็ด !... เจ้าเข้าใจหรือไม่ " " อ้อ... " หลิวหงเหินแย้มยิ้มอารมณ์ดี เมื่อเห็นเด็กสาวทำท่าเง้าหงอนขุ่นเคืองอารมณ์ แต่แล้วรอยยิ้มมันต้องสลายหายลงพลัน เมื่อเหล่าทหารสวมเกราะนับสิบนายต่างกรูวิ่งจากเนินผา ในมือแกว่งดาบด้ามใหญ่ อีกมือถือโล่ห์โลหะทรงกลมเป็นเงามัน " เจ้าเป็นชาวยุทธจากค่ายสำนักใด รีบวางอาวุธ มอบตัวแก่ข้าโดยไว " หนึ่งในทหารหน้าเหี้ยมแผดเสียงสั่ง ราวฟ้าคำราม " พวกเจ้าช่างมีตาหามีแววไม่ พบเจอปักษาสุรา ยังไม่รีบมาน้อมกายคารวะอีก " เด็กสาวกล่าวฉะฉาน ก่อนจะกระโดดขึ้นยอดไม้สูง เหมือนจะลอยตัวพ้นผ่านความขัดแย้งที่กำลังก่อตัว เพราะวาจาไม่กี่คำของนาง " ปักษาสุรา !....หลิวหงเหิน ....เจ้าคือกบฏหลิวหงเหินอย่างนั้นรึ ?....รีบล้อมจับมันไว้ ! "... เสียงคำรามก้องไปพร้อมเหล่าทหารชุดเกราะเงินตวัดดาบวิ่งเข้ามาร่ายล้อมหลิวหงเหินไว้ โดยชายหนุ่มได้แต่ส่ายหัวอับจนปัญญา " หลับใหลไปเพียงตื่นเดียว ต้องกลับกลายเป็นกบฏเสียแล้ว " ชายหนุ่มบ่นพึมพำกับตัวเอง ขณะพลิ้วกายหลบดาบแรกที่ฟันเข้าใส่ จากนั้นหลิวหงเหินพลันต้องใช้ท่าร่างบุปผาลอยลม หลบเลี่ยงดาบแล้วดาบเล่าที่ถาโถมมา มันเคลื่อนไหวราวลมโชยพัด จนคมดาบได้แต่ฟาดฟันอากาศดัง วืดๆ วาดๆ ชั่วพริบตา หลิวหงเหินได้เคลื่อนตัวเข้าประชิดชายที่เหมือนจะเป็นหัวหน้ากอง โดยใช้วิชาคว้าจับกุญชร ตะบบมือเข้ากับข้อแขนขวาของนายกอง แล้วบิดข้อจนดาบมันปลิวกระเด็นไป " ท่านหัวหน้ากอง ท่านเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ข้าพเจ้าพลัดหลงในเกาะนี้มาเนินนาน ไหนเลยจะคิดก่อการกบฏได้ " หลิวหงเหินคิดใช้การเจรจราคลี่คลายสถานการณ์ ทว่าสิ่งที่ตอบกลับ คือความกราดเกรี้ยวของนายกอง ที่ใช้โล่ห์คมกริบ ตรงเข้าตวัดฟันมือขวามันขาดกระเด็น หลิวหงเหินแตกตื่นราวพบภูตผี มองมือขวาที่ติดมือมันมาอย่างไม่เชื่อสายตา ขณะเดียวกับที่นายกองเกลือกกลิ้งตัว หลบจากการจับกุม โดยปากยังตะโกนคำสั่งลั่น " รีบลงมือ จับตายในทันที ! "... ปฏิกิริยาของเหล่าทหารว่องไวนัก พวกมันต่างยกโล่ห์ ควงดาบ แล้ววิ่งเข้าใส่ชายหนุ่ม ทว่าพวกมันยังเชื่องช้ากว่าเด็กสาวไปครึ่งก้าว เพราะนางพลันกระโจนจากต้นไม้ แล้วลอยพลิ้วโดยใช้ขลุ่ยหยกขาวสะบัดจี้สะกัดจุดสองนายทหารให้แน่นิ่งไป " เจ้ายังไม่รีบลงมืออีกเจ้าคนโฉด ! หรือจะให้มันตัดแขนให้ท่านทุกคน ! " หลิวหงเหินเข้าใจโดยทันที ว่าเด็กสาวคิดหยุดการนองเลือดด้วยวิชาสะกัดจุด ....ชายหนุ่มจีงเร่งกระบวนท่าส่งดัชนีเข้าใส่นายทหาร่างแล้วร่างเล่า จนทั่วทุกคนต้องแน่นิ่งเป็นหินผาไป " เจ้ายังไม่รีบช่วยข้า เปลื้องชุดเกราะมันอีก " เด็กสาวหันมากล่าวกับหลิวหงเหินด้วยรอยยิ้มทะเล้น " ท่านคิดจะทำอะไรแม่นางน้อย ? " เด็กสาวฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์ พลางควงขลุ่ยกล่าวอย่างซุกซนยิ่ง " สภาพการณ์เช่นนี้ ท่านว่าเราสมควรใช้พิชัยยุทธใดดี...เจ้าคนโฉด ! " หลิวหงเหินเบิกตามองชุดเกราะเหล่านายทหารด้วยประกายวับวาว ก่อนจะเอ่ยขึ้นเป็นเสียงผสานเดียวกับเด็กสาวเป็นคำดียวกัน " กลยุทธ กร่อนทำลายจากภายใน ! "...
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD