ภาพในกลุ่มแสง ปรากฏคลื่นยักษ์สูงใหญ่ถึงฟากฟ้า ตรงเข้าถล่มวังมังกรอย่างบ้าคลั่ง....
ผู้คนภายในเกาะนับหมื่นๆล้วนล้มตายราวใบไม้ล่วงในนที ที่เลวร้ายเห็นจะเป็นหลี่ปู้เวยในร่างชายฉกรรจ์ รีบเข้าไปคว้าจักรกาลทั้งห้า แล้วแสงพลันสว่างวาบไปกับร่างชายที่หนีหายไปเพียงลำพัง....
" หลี่ปู้เวยใช้จักรกาลข้ามเวลาไปในอนาคต ไปยังศูนย์วิจัย ณ ช่วงเวลาที่จักรกาลทั้ง12เพิ่งเสร็จสมบรูณ์.....เพราะมันปราถนาจะใช้เทคโนโลยีของศูนย์วิจัย แก้ไขข้อผิดพลาดที่เพิ่งผ่านมา มันคิดจะสร้างเครื่องเร่งอนุภาคเพื่อดึงดูดดาวหางให้ตกมายังจุดที่กำหนดให้แม่นยำกว่าเก่า "
จ้าวจักรกาลกระดกยิ้มมุมปาก สายตาจ้องมองภาพในแสงด้วยความเหี้ยมเกรียมนัก
" แต่มันคิดผิดพลาดแล้วที่กลับมาในช่วงเวลาเดียวกับข้า เพราะจักรกาลปรมัตถ์ของข้า คือองค์รวมแห่งจักรกาลทั้งมวล เพียงเครื่องหนึ่งเครื่องใดทำงาน ย่อมสะท้อนเข้าไว้ในจักรกาลปรมัตถ์ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะใช้ในยุคใดสมัยใด ล้วนถูกจารึกไว้อย่างครบถ้วน "...
หลิวหงเหินมองภาพในแสงแล้วทำให้เข้าใจคำบอกเล่าของพัคนารินขึ้นมาทันทีทันใด....
นับตั้งแต่จ้าวจักรกาลในวัยฉกรรจ์บุกเข้าทำร้ายผู้คนในศูนย์วิจัย เพื่อชกชิงจักรกาลทุกเครื่องมาไว้กับตัว พร้อมๆกับทำลายเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ ไม่ให้หลี่ปู้เวยใช้งาน....ภาพไล่เรียงไปจนพัคนารินกับศาสตราจารย์ชอว์ในชุดมังกร กำลังเลือนลางหายข้ามกาลเวลาไป....
" หลื่ปู้เวยได้ปรับเปลี่ยนชุดควอนตัมของพัคนาริน ให้เบี่ยงเบนไปจากช่วงเวลาที่ข้ากับมันข้ามไป ...ถ้าเจ้าคิดว่าซากศพชายชราที่พบในเรืออัญมณี นั้นคือหลี่ปู้เวยในร่างศาสตราชอว์นะผิดถนัดแล้ว ชายเสเพล ! "
หลิวหงเหินจ้องมองซากศพชราด้วยความครางแครงใจ หากไม่ใช้ร่างศาาตราชอว์ แล้วเป็นใครกัน ? ...
" ข้ากับหลี่ปู้เวยข้ามเวลามาก่อนเจ้าเกิด600ปี มาในต้นราชวงศ์ซุย ข้ามาตกอยู่ในเอเซียกลาง ต้องใช้จักรกาลดูดกลืนพลังชีพ เพื่อกลับไปเป็นทารก เริ่มใช้ชีวิตในท้องทะลทรายเวิ้งว้าง ในขณะที่หลี่ปู้เวยใช้จักรกาลจำแลงชีพ แฝงจิตกับร่างกายอื่นไปได้ไม่สิ้นสุด ทว่าแรงปราถนาจะขึ้นครองแดนดินยังคุกรุ่นอยู่ในใจมันเสมอมา ! "...
ภาพที่หลิงหงเหินเห็น ปรับเปลี่ยนเป็นเด็กน้อยกลางเวิ้งทะเลทราย ที่กำลังร่ำเรียนคัมภีร์เก่าคล่ำกับภิกษุในจีวรมอซอ
" ความคลุ่มคลั่งของพยัคฆ์ที่ซุ่มซ่อนกาย จำเป็นต้องถูกกยุดยั้งไม่ให้มันถล่มทลายประวัติศาสตร์ให้วิปริตผิดเพี้ยนไป ...เจตนาแห่งการยับยั้งเภทภัยนั้น ทำให้อีกหลายสิบปีต่อมา ข้าจึงหลอมรวมเอาหลักคำสอนของหลายศาสนา ผสานเข้ากับวรยุทธ ก่อกำเนิดเป็นลัทธมนีกี สร้างวีรบุรุษผู้กล้าผดุงธรรมออกมานับร้อยนับพัน "
ในใจหลิวหงเหินลอยละเม้อไปถึงอดีตอันแสนไกล นึกถึงเสือร้ายที่เร้นกายกำลังวางแผนก่อการใหญ่ ขณะเดียวกับที่พญามังกรในร่างมนุษย์ได้สร้างลัทธินักรบกึ่งนักบวชเข้ารับมือกับพิบัติภัยที่คืนคลานเข้ามา
" หลายสิบหลายร้อยครั้งในช่วงประวัติศาสตร์ ที่ต้องรับมือกับความคลั่งอำนาจของหลี่ปู้เวย ถึงกระนั้นมันก็ยังเรืองอำนาจขึ้นมาได้ เมื่อกุมกองกำลังมองโกลไว้ในอุ้งมือ มันบุกทำลายต้าซ้อง ยึดครองแคว้นน้อยแคว้นใหญ่นับร้อย แผ่อิทธิพลปกครองไปครึ่งโลก "
ที่แท้เจงกิสข่านเป็นหนึ่งในร่างหลี่ปู้เวยอย่างนั้นเหรอ ?....ถ้านักประวัติศาสตร์มาได้ยินเข้า คงเกินความโกลาหลในแวดวงการศึกษาแล้ว !....
" ข้าต้องใช้เวลากว่าร้อยปีจึงได้พบ จูหยวนจาง...ตัวหมากสำคัญ ที่สามารถชี้นำมหาชนออกขับไล่พวกอนารยะชนออกจากแผ่นดิน ถึงกระนั้นหลี่ปู้เวยยังสามารถหลบเร้น หายสาบสูญไปโดยไร้ร่องรอย ....ครั้งนั้นข้าล่วงรู้ได้ทันทีว่าหลี่ปู้เวยเรียนรู้จากความผิดพลาดมาหลายครั้งหลายครา โดยมันมีไพ่ใบสุดท้ายอยู่ที่วังมังกร กับพายุฝนดาวตกที่ใกล้มาเยือนโลกขึ้นเรื่อยๆ "
ภาพในแสงปรากฏหอคอยมังกร ซึ่งดูแตกต่างจากที่หลิวหงเหินเห็นครั้งแรก นั้นหมายความว่าวังมังกรที่มีอยู่ถูกสร้างจากต้นแบบที่หายวับไปจากการย้อนเวลาของหลี่ปู้เวย...ผู้สร้างวังมังกรนี้จะเป็นใครได้ ถ้าไม่ใช่ศาสดามังกร...
" เสียดายนักที่สรรพสิ่งในใต้หล้าล้วนมีขอบเขตจำกัด จักรกาลดูดกลืนพลังชีพก็มีขีดจำกัดเหมือนสรรพสิ่งอื่นๆ ...แม้จักรกาลนั้นจะทำให้ข้ากลับสู่วัยเยาว์มาหลาบครั้งหลายครา แต่ร่างกายข้าไม่อาจข้ามผ่านเลือดเนื้อของความเป็นมนุษย์ได้ เมื่อผ่านเวลามา600ปี แก่นแท้แห่งชีวิตข้ากำลังเสื่อมโทรมลงทุกขณะ ด้วยสภาพเช่นนี้ข้าไม่อาจต้านรับหลี่ปู้เวยได้เพียงลำพังแน่ เหตุนี้ข้าจึงต้องค้นหายอดฝีมือเพื่อส่งมอบ7 จักรกาลที่อยู่ในมือข้าให้พวกมัน "....จ้าวจักรกาลได้แต่ส่ายหัวจนเคราหนาสั่นไหว เหมือนรู้สึกกระทำเรื่องผิดพลาดมหันต์นัก
" ใจมนุษย์ช่างลึกล้ำดั่งห้วงมหรรณพ แม้แต่คนชราที่ผ่านเลยเวลามาหลายร้อยปี ยังไม่อาจคาดเดา "
โดยไม่ต้องรอให้จ้าวจักรกาลขยายความใดๆ หลิวหงเหินก็พอเข้าใจอากัปกิริยามันแล้ว เพราะผู้ครอบครองจักรกาลทั้ง7 ที่ชายหนุ่มประสบมา ล้วนวิปริตแปรปรวนเกินกว่าจะเป็นความหวังของปวงชนได้
" ข้าช่างเป็นคนเมามายในฝันโดยแท้ คิดพึ่งพายอดฝีมือเพื่อกอบกู้ภัยมืด แต่แล้วเภทภัยนั้นกลับรวมกำลังพล เคลื่อนทัพเหล่าชาวยุทธมายังวังมังกร ด้วยความพร้อมสรรพทั้งพละกำลัง และความเชื่อมั่นศัทธา "
ภาพในกลุ่มแสงปรากฏกองเรือสำเภาหลายสิบลำ กำลังแล่นละลิ่วเป็นทิวแถวเคลื่อนไปในนที กองเรือเหล่านั้นติดธงทิวของค่ายสำนักในยุทธภพ จนดูละลานตาคล้ายเกิดพิธีชิงจ้าวยุทธกลางมหาสมุทร...
" หลี่ปู้เวยสร้างสถานการณ์ ให้ข้ากลายเป็นจอมมารที่ชาวยุทธปราถนาห่ำหันทำลาย มันชี้เบาะแสมายังเกาะทิพย์โอสถ สามารถระดม18 สำนักใหญ่ 36 พรรคย่อย ให้มุ่งตรงมายังวังมังกรเพื่อยึดครอง แม้แต่4ตระกูลใหญ่แห่งต้าหมิง ยังออกหน้ายกพลร่วมศึก "...
หลิวหงเหินพลันต้องขนลุกตั้งชัน เมื่อได้ยินมันเอ่ยถึง 4 ตระกูลใหญ่ เพราะหนึ่งในสี่ตระกูลนั้นคือตระกูลซือหม่า เป็นตระกูลซึ่งตวนผิงผิงอาศัยอยู่มาตลอดหลายปี....หลิวหงเหินได้แต่ยิ้มเย้ยหยันให้กับโชคชะตา ที่มันดั้นด้นหนีนางมาไกลนับพันลี้ แต่กลับต้องมาเผชิญหน้ากับนาง ณแดนที่ใกล้ล่มสลายแบบนี้อย่างนั้นรึ ?..
" สวรรค์มักชอบเล่นตลก มากมายอารมณ์ขันพิกลนัก ...จะมีใครคาดคิดล่ะว่า ยอดยุทธผู้ครองจักรกาล ยังไม่อาจเทียบชายเสเพลผู้งมงายในรักได้ ! "...
" เป็นข้าพเจ้าอย่างนั้นเหรอ ? "
หลิวหงเหินโพลงถามอย่างไม่มั่นใจนัก เพราะรู้สึกว่าที่ผ่านมา ตนเป็นผู้ถูกทำร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไหนเลยจะเป็นคนยอดเยี่ยมกว่ายอดฝีมือระบือนาม
" หากไม่ใช่เจ้า จะมีผู้ใดอีกเล่าที่สามารถกระตุ้นกงกงเฉียน ให้ระดมกองทัพแห่งวังเมฆาขจีมานับสิบหมื่น มุ่งแล่นกองเรือร้อยสี่สิบสำเภาเคลื่อนกำลังเข้าโอบล้อมเกาะทิพย์โอสถไว้ทั่วทุกทิศทุกทาง...นี่นับเป็นการใช้พิษต้านพิษ ใช้ความละโมบโลภมากต้านคนบ้าอำนาจคลุ่มคลั่ง... นับเป็นวิธีกานอันหมดจรดโดยแท้ "...
" โอ้ย หย๊า า า า า า...."
หลิวหงเหินอุทานขึ้นอย่างลืมตัว เมื่อเห็นกองเรือนับร้อยใต้ธงทิวเมฆาขจี
" กงกงเฉียนระดมกำลังมามากมายเช่นนี้ได้อย่างไรนะ ? จำนวนเรือขนาดนี้คงมีหัวหน้า10 องครักษณ์มาด้วยแล้ว "...
" ไม่เพียงหัวหน้าทั้งสิบ ยังมีอ๋องฟูเจี๋ยนนำทัพมาเองเลย "
จ้าวจักรกาลกล่าวตอบคำว่องไวเท่าใจชายหนุ่มคิด
" เป็นไปได้อย่างไร เวลาจำกัดเพียงนี้ เหตุใดจึงสามารถเตรียมสรรพกำลังมามืดฟ้ามัวดิน ราวกับจะมาออกศึกช่วงชิงเมือง " หลิวหงเหินถามซ้ำด้วยแววตาอัดแน่นความสงสัยนับร้อ
ยนับพัน
" เวลาสามเดือนกว่า เจ้าว่าน้อยเกินไปรึชายเสเพล ? "..
" สามเดือน ! "...
หลิวหงเหินสะดุ้งตัวโยนเมื่อเอ่ยถ้อยคำนั้น
" นี่ข้าหลับใหลมาสามเดือนเลยรึ ตอนนี้ร่างกายข้าไม่เน่าเปื่อยไปหมดเแล้วรึ ? "...
ทันทีที่หลิวหงเหินกล่าวแตกตื่น ภาพในกลุ่มแสงพลันวูบไหวกระพริบมืดๆสว่างๆ จนมาสงบนิ่ง ณ ต้นไม้สูงใหญ่ แผ่กิ่งก้านสาขารกเรื้อนับร้อยนับพัน
" สามเดือนนี่นับว่ารวดเร็วแล้วชายเสเพล เจ้าคิดว่าวิชาฟอกไขกระดูกสามารถบรรลุได้ง่ายดายนักรึ ? ...ตั๊กม่อโจ้วซือต้องนั่งเข้าฌาณในถ้ำถึงเก้าปี ถึงสามารถคิดค้นยอดวิชานี้สำเร็จ เทียบกับสามเดือนของเจ้าแล้วช่างน้อยนิดยิ่ง ! "...
หลิวหงเหินฟังมันด้วยความอื้ออึงนัก พร้อมๆกับจ้องมองภาพในกลุ่มแสง ซึ่งเห็นต้นไม้สูงใหญ่ที่ถูกเรียกว่าต้นไม้แห่งชีวิต โดยใต้ต้นยังมีหนองน้ำเล็กๆ ซึ่งมีรากไม้รกเรื้อกับร่างชายหนุ่ม ที่นอนหลับตาสนิทโดยมีครึ่งตัวแช่อยู่ในน้ำ ส่วนอีกครึ่งใช้ศรีษะนอนหนุนรากไม้ใหญ่ ....แม้ใบหน้ามันจะซูบเซียว แต่ยังมีลมหายใจแผ่วๆ ดันหน้าอกพองยุบ ขึ้นๆลงๆ
" สภาพข้าช่างน่าสมเพชเวทนาเช่นนี้ จะมีความสามารถใดไปหยุดทัพเกรียงไกร ไหนจะต้องเซาะหาพยัคฆ์จำแลงตัวในหมู่ชาวยุทธนับพัน ....ท่านออกจะเสียเวลาสูญเปล่าไปกับข้าพเจ้าแล้ว ! "...
จ้าวจักรกาลฉีกยิ้มเหนือเครารกครึ้มด้วยความพึงพอใจสุดประมาณ ก่อนจะกล่าวอย่างปลอดโปร่งสบายอารมณ์
" เจ้ามันเป็นตัวหมากที่อยู่นอกเหนือความคาดเดาของผู้คนนัก ไม่เพียงหลี่ปู้เวยหละหลวมไม่ทันระวังเจ้า แม้แต่ข้ายังไม่เชื่อตัวเองว่าต้องมาฝากทั้งแผ่นดินไว้ในอุ้งมือคนเสเพลอันงมงาย ...ที่เจ้าไม่เชื่อถือตัวเอง ย่อมนับว่าไม่แปลกประหลาดอันใดเลย "
" นี่ท่านกล่าวปริศนาธรรม หรือใช้โอกาสด่าทอข้าพเจ้ากันแน่ เพราะยิ่งฟังข้ายิ่งรู้สึกเป็นคนเหลวแหลกยังไงพิลึก ! "
จ้าวจักรกาลหัวเราะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ด้วยความพึงพอใจ พลางกล่าวเสียงก้องกระจายกัมปนาท
" คนมากน้ำใจไม่นับว่าเหลวใหลไร้ค่าอันใดนัก มิเช่นนั้นคงไม่มีจิตใจบริสุทธิ์เฝ้าดูแลห่วงอาทร อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันหรอกชายเสเพล "
เสียงกังวานของชายทรงพลังลอยล้อมากับเพลงขลุ่ยแว่วในอากาศ เป็นเสียงขลุ่ยที่ไม่ได้วนเวียนอยู่ในห้อง หากได้ลอดไหลมาจากภาพในกลุ่มแสงอันพราวพราย
ยิ่งมอง หลิวหงเหินยิ่งเบิกบานใจขึ้นมาอย่างประหลาด เมื่อได้เห็นเด็กสาวในชุเหลากสี เดินเท้าเปล่าทอดน่องด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม ตรงไปยังต้นไม้ใหญ่ที่มีร่างหลิวหงเหินนอนอยู่
ในมือข้างหนึ่งของเด็กสาวถือตะกร้าหวายใส่อาหาร อีกมือควงขลุ่ยประหลาด ให้กำเนิดเสียงเพลงด้วยลมปราณ อย่างไม่เคยพบเจอจากที่ใด
...นางเหมือนมีรังษีความสุขแผ่สยายทั่วเรือนกาย เพียงมองจากที่ไกลๆ หลิวหงเหินยังรู้สึกเบิกบานใจเปี่ยมล้น
" เจ้าคนโฉดชุดครามหิวรึยัง วันนี้มีปลาจาระเม็ดสามรสด้วยนะ เฒ่าวานรทำปลาอร่อยมากเลยรู้มั้ย ? "
เด็กสาวกล่าวเสียงใสพลางหย่อนกายนั่งลงเคียงข้าง แล้วเอื้อมมือนุ่มนวลมาสัมผัสที่ข้างแก้มมัน
" หนวดเคราเจ้าขึ้นไวนัก !...เป็นบุรุษเพศนี่มีแต่สิ่งโฉดขั่วขึ้นทั่วตัวจริงๆ มิน่ามารดาจึงว่าชายทุกคนล้วนโฉดชั่วทั้งสิ้น "....
เด็กสาวกล่าวแย้มยิ้ม ขณะหยิบมีดสั้นออกจากตะกร้าอาหาร แล้วตรงเข้าใช้คมมีดลูบโกนหนวดเคราที่เริ่มขึ้นเป็นตอ
หลิวหงเหินเม่อมองนางจนเคลิบเคลิ้มไป ....นานนับหลายปีแล้วที่ไม่มีหญิงใดอ่อนโยน เอาใจใส่กับมันถึงเพียงนี้
" ตลอดสามเดือนกว่าที่ผ่านมา ถ้าไม่ได้ซียี้ปานนี้เจ้าคงกลายสภาพเป็นปุ๋ยให้รากไม้ข้าไปแล้ว ....นั้นเพราะวิชาฟอกไขกระดูกลึกล้ำสุดหยั่ง เมื่อเริ่มฝึกแล้วจะไม่อาจขาดช่วงการเดินลมปราณสักอึดใจ แม้แต่สมณะที่เข้าฌาณได้ยาวนาน ยังไม่อาจบรรลุยอดวิชาได้ นับประสาอะไรกับเจ้าที่รู้จักแต่เสพสุข ร่ำเมรัย หากไม่มีเด็กสาวจิตใจบริสุทธิ์คอยดูแล เจ้าคงหมดเรี่ยวแรงสิ้นลมปราณไปตั้งแต่เดือนแรกแล้ว.... เมื่อเจ้าฟื้นตื่นขึ้น สมควรตบแต่งนางเป็นภรรยาดีหรือไม่ ? "...
หลิวหงเหินได้แต่ส่ายศรีษะอย่างอ่อนล้า ฝืนยิ้มด้วยวี่แววอันหม่นเศร้านัก
" หากนางอายุมากกว่านี้สักสามสิบปี ข้าคงพร้อมใจยกให้นางเป็นมารดาน้อยเป็นแน่ หรือถ้านางอายุน้อยกว่านี้สักสิบปี ข้าคงเรียกนางเป็นบุตรีกตัญญูได้เต็มวาจา....แต่ท่านดูนางตอนนี้ซิ ! ทั้งอ่อนเยาว์กว่าข้านับสิบปี ทั้งบริสุทธิไร้เดียงสา จะลากนางมาอยู่กับคนเสเพลไร้แก่นสารเพื่อประโยชน์ใด "....
ฮ่า ฮ่า ฮ่า...จ้าวจักรกาลหัวร่อกัมปนาทสุดพึงพอใจ ก่อนจะกล่าวอย่างเบิกบานนัก
" นี่เจ้ามีเงื่อนไขกับอายุของนางเท่านั้นเองรึ ?...เพียงเวลาของนางไม่เท่าเจ้าที่เป็นขวากหนาม หรือจริงๆแล้วมีบางช่วงเวลากับใครบางคนที่ยังยึดกุมใจเจ้าอยู่ สิ่งนั้นน่าจะเป็นหนามแหลมแท้จริงแล้ว..."
หลิวหงเหินคิดต่อปากต่อคำกับจ้าวจักรกาลอีกหลายวาจา สมควรเรียกมันศาสดารัก แดกดันสักหลายคำ...
ทว่าปากของมันกลับรู้สึกอบอุ่นขึ้นวูบวาบ ลิ้นมันได้สัมผัสเนื้อนุ่มนิ่ม มีรสหวานกลมกล่อม พอมันเหลือบตามองไปที่ภาพกลางแสง ทำเอามันถึงกับถลึงเหลือกตาพอง เมื่อรู้ที่มาของความอบอุ่นแล้ว...
ภาพที่มันเห็น คือเด็กสาวกำลังก้มลงใช้ปากที่อมอาหารประกบกับริมฝีปากมัน แล้วใช้ลิ้นดันอารหารส่งป้อนให้มัน คล้ายกับแม่นกป้อนเหยื่อให้บุตรในรัง จะต่างเพียงที่ริมฝีปากนางช่างนุ่มนวล ละมุนละไม หาใช่เป็นจงอยแหลมคมดั่งนกไม่
" นาง ...นาง..!.. "
หลิวหงเหินร้องแตกตื่น พลางหันไปหาคำตอบจากจ้าวจักรกาล แต่แล้วมันกลับต้องถลึงเหลือกตามากกว่าเก่า
เพราะมันไม่คาดคิดว่าชายเคราดกหนา จะมีน้ำตาหลั่งรินเปื้อนใบหน้า พร้อมๆกัยมีรอยยิ้มฉีกกว้างตรงมาที่มัน
" ท่านเป็นไรไปแล้วจ้างจักรกาล เหตุใดจึงทั้งยิ้ม ทั้งร่ำไห้เช่นนี้ ! "
จ้าวจักรกาลตรงเข้ามาตบไหล่มัน ทั้งๆที่น้ำตายังหลั่งรินมาไม่หยุด
" ที่ข้ายิ้มได้ปลอดโปร่ง เพราะล่วงรู้แล้วว่าเจ้าบรรลุวิขาวิเศษแล้ว เมื่อเจ้าสามารถรับรู้รสอาหารจากกายเนื้อ นั้นหมายความว่าลมปราณอันโคจรคล่ำเคร่งมาหลายเดือนได้คืนสู่ปกติ เจ้าสามารถคืนสู่โลกแห่งความจริงได้แล้วชายเสเพล...."
แสงสว่างรอบกายพลันวูบหายเมื่อสิ้นเสียงทรงพลัง สรพสิ่งดั่งม้วนกลืนสู่ห้วงมืดดำสนิท แล้วสองมังกรเกล็ดมรกตได้วูบวาบบินโฉบใกล้หลิวหงเหิน วนเวียนอยู่รอบตัวมัน
" และที่ข้าต้องหลั่งน้ำตา เพราะจะต้องสูญเสียสหายที่พูดคุยได้ในรอบหลายร้อยปีไป "
สองมังกรบินเข้าหาจ้าวจักรกาล แล้วเลื่อยพันมันดั่งสายน้ำมรกตเวียนไหล
" จะอย่างไรเจ้าก็คือหงษ์ที่ต้องบินถลาลมออกสู่ดินแดนแห่งความเป็นจริง แตกต่างจากมังกรที่อาศัยอยู่ได้แต่ในดินแดนฝันเท่านั้น หนึ่งจริง หนึ่งฝัน ไม่อาจรวมหลอมเป็นหนึ่ง....เพียงพบเจอเพื่อจำพราก นับเป็นอมตะวาจานัก ! "....
เสียงกัมปนาทของมันก้องกังวานไปในความมืด
เพียงอึดใจในม่านอลธกาล พลันเกิดแสงสว่างวาบจากฝ่ามือหนาใหญ่ พุ่งตรงเข้าหาหลิวหงเหิน
" เวลาผ่านเลยว่องไวราวติดปีก ....จงโบยบินเข้าสู่ใจกลางไฟ ก่อนเพลิงจะผลาญทุกสรรพสิ่งมอดไหม้... ในอีก5วันฝนดาวตกจะมาเยือนตามวงโคจรของมันแล้ว..."
คำกล่าวสุดท้ายของจ้าวจักรกาล ลอยละล่องมากับแสงฝ่ามือตรงเข้าปะทะร่าง
จนร่างมันปลิวกระเด็นดั่งดาวตกพาดผ่านนภาไป……..