สัญญาณออกศึก

3239 Words
" ตาแก่นี่พูดเป็นเด็กเล่นขายของไปได้ จะถอนจักรกาลออกจากอกคนได้ยังไง เครื่องมือผ่าตัดก็ไม่มี อุปกรณ์ควบคุมพลังงานก็ไม่มี จะให้ใช้ช้อนตักเป็นคดข้าวใส่จานรึไง " … พัคนารินพูดเจื้อยแจ้วขึ้นทันทีที่ทุกผู้คนออกจากห้องไป หลงเหลือเพียงผู้ที่ถูกพันธนาการทั้งสาม “ เจ้านี่ช่างเจรจานัก ไม่เจ็บปวดบาดแผลหรือไร ? ” หลิวหงเหินถามขึ้นด้วยความห่วงใย ขณะดึงปิ่นปักผมออกจากมวย ปล่อยให้ผมยาวสยายลงปรกไหล่ “ ฮืม…เจ็บซิ !…ตาแก่นี่ซาดิสม์จริงๆ ” นางพูดพลางจับไหล่ที่ปวดแปล๊บ “ อย่าเพิ่งขยับตัว รอข้าสักครู่ !” ชายหนุ่มพูดทั้งที่ก้มตัวลงไป ใช้ปิ่นปักผมแหย่แทงรูลูกกุญแจทรงเหลี่ยม โยกไปๆมาๆสี่-ห้าครั้ง กุญแจอันหนาหนักจึงหลุดออกจากโซ่ตรวน จากนั้นจึงก้าวยาวๆไปหาพัคนาริน เร่งใช้ดัชนีสกัดจุดสามแห่งที่หัวไหล่นาง ไม่ให้พิษแผ่ซ่านรวดเร็วเกินไป แล้วมันจึงประกบฝ่ามือกับแผ่นหลังนางถ่ายเทพลังลมปราณผลักไสเข็มแหลมคมพุ่งหลุดล่วงออกจากบาดแผล “ โอ้ย !…พี่ชายทำอะไรเนี้ย ? ” นางแผดเสียงลั่นทั้งตกใจทั้งปวดระบม โดยยังเร่งยกแขนขึ้นปกป้องหน้าอก “ อยู่เฉยๆซิ ข้าจะปลดกุญแจให้ ” หลิวหงเหินก้มลงคว้ากุญแจที่ข้อเท้านาง แล้วใช้ปิ่นเงินโยกไปมาในรูกุญแจ “ พี่ชายคิดอะไรทะลึ่งรึเปล่าเนี้ย ชักไม่น่าไว้ใจแล้ว ” นางยังจับจ้องตาขวาง สองแขนกอดหน้าอกไว้แน่น หลิวหงเหินได้แต่ลอบยิ้มขบขัน โดยมือเร่งไขกุญแจจนปลดพันธนาการได้ “ หากเจ้าไม่ไว้ใจข้า เราสมควรแยกจากกันในลักษณะนี้ดีหรือไม่ ? ” ชายหนุ่มกล่าวกลั้วยิ้ม พลางลุกขึ้นยืนบ่ายหน้ามองไปทางประตู และชายอ้วนที่ถูกโซ่ร่ามมัดตัว “ โห้ !…จะทิ้งกันง่ายๆอย่างนี้เลยเหรอ ? ก็เห็นอยู่ว่าหนูมาต่างบ้านต่างเมือง ไหนจะบาดเจ็บอีก นี่จะใจดำกับหนูได้ลงคอเลยเหรอ ? ” นางพรวดพราดลุกขึ้นยึน พร้อมทั้งลอยหน้าลอยตาพูดฉอดๆ “ ชูว์ ….” ชายหนุ่มใช้นิ้วจรดริมฝีปาก พลางกล่าวเบาๆ “ เจ้าสมควรเบาเสียงกว่านี้หน่อยนะแม่นาง หลังประตูยังมีผู้คนถืออาวุธครบมือตั้งตารอเราอยู่ ” “ โว้ว !…คนยุคนี้เอ๊ะอ่ะก็จะตีลันฟันแทง ป่าเถื่อนชมัด ” นางบ่นพึมพำ ขณะพาร่างไปแอบแนบประตู โดยใช้หางตาลอบมองผ่านข่องลูกกรงเหล็ก ไปเห็นแต่ทางเดินมืดดำ ส่วนหลิวหงเหินเหลียวกลับมามองชายเลี้ยงหมู ที่กำลังดิ้นขืนโซ่เหล็กที่ร้อยรัด ในลำคอส่งเสียงอึกๆอักๆ คล้ายอยากจะบอกกล่าวเรื่องใดสักหลายคำ “ เจ้าก็อยากเป็นอิสระใช่หรือไม่ ? ” ชายหนุ่มยื่นหน้ามาถามมันเบาๆ ชายอ้วนได้แต่พยักหน้าตอบ “ ข้าต้องช่วยเจ้าด้วยเหรอ ? ในเมื่อเจ้าเอาแต่ลงไม้ลงมือไม่เจรจาถามความสักคำ " ชายอ้วนหน้าตาตื่นตระหนก เอาแต่ส่งเสียงอู้ๆอี้ๆลอดเส้นหวายหนาที่คาปาก หัวโตๆของมันส่ายไปมาเหมือนปฏิเสธสุดกำลัง “ ประเดี๋ยวพยักหน้าประเดี๋ยวส่ายหัว ตกลงเจ้าจะเอาอย่างไรแน่ ? ” หลิวหงเหินประดับยิ้มเจ้าเล่ห์ หยอกล้อไปตามนิสัย แต่เจ้าอ้วนกลับมีสีหน้ารนราน ดวงตาแดงกร่ำด้วยความหวาดหวั่น “ โห้ !…พี่ชายทำไมชอบแกล้งคนแบบนี้ ดูดิเขาดิ้นเป็นหมูโดนน้ำร้อนรวกแล้ว ” " ฮ่า ฮ่า ฮ่า…เจ้าก็อยากให้ข้าปลดปล่อยมัน ไม่กลัวมันจู่โจมทำร้ายแล้วรึ ? " " โถ่ พี่ชายถามได้…เห็นๆอยู่ว่าเขาถูกตาแก่นั้นจับไว้เหมือนกัน มีศัตรูคนเดียวกันเท่ากับผูกเป็นพันธมิตรกันแล้วเพ่ !….สมการง่ายๆ !. " หลิวหงเหินระบายยิ้มทั่ววงหน้า ขณะปลดกุญแจ8ตัวรอบๆร่างชายอ้วน โดยปากยังบ่นพึมพำ “ สมเหตุผล สมเหตุผล ”…. กระทั้งโซ่ตรวนหลุดออกจากตัวชายอ้วนสิ้น มันพลันกระโดดลงไปนั่งคลุกเข่าต่อหน้าพัคนาริน น้ำตาซึมหน่วยตามือดึงกระชากหวายที่มัดปากออก “ แม่นางน้อยท่านนี้ รู้วิธีนำจักรกาลออกจากร่างข้าใช่หรือไม่ โปรดเถิด โปรดช่วยข้าด้วย ข้าพเจ้าทรมานเหลือเกินแล้ว ” มันละล่ำละลักสะอื้นพลางคลานเข่าเข้าใกล้นาง จนพัคนารินต้องก้าวถอยร่น “ ท่านรู้หรือไม่ จักรกาลนี้กร่อนทำลายร่างกายข้าพเจ้าอยู่ทุกวันเวลา ทั้งเจ็บปวดแสบร้อนดั่งไฟรุมจนไม่อาจหลับได้เต็มตา และเมื่อยามใช้มันทุกครั้งร่างกายข้าเหมือนจะโดนแยกเป็นเสี่ยงๆ มันแสนร้อนเร่าทรมานนัก แต่ก็ต้องฝื่นใช้มันไม่เช่นนั้นจักรกาลจะแผ่พลังกระทบอวัยวะภายในให้ร้าวรานนัก แม่นางน้อยได้โปรดเมตตาถอดถอนมันด้วยเถิด ” พัคนารินสบตากับชายหนุ่มด้วยความประหลาดใจ ไม่คิดว่าเครื่องจักรชิ้นเท่าฝ่ามือจะมีพิษร้ายแรงปานนี้ จัดมันเป็นวัตถุโทษลงทัณฑ์ทรมาน คงเหมาะสมกว่าเป็นศาาตราที่ฟ้าประทาน “ ใจเย็นๆนะพี่อ้วน ถ้าตอนนี้หนูมีเครื่องไม้เครื่องมือ รับรองต้องเอามันออกให้แน่ๆ ” พัคนารินรีบทรุดตัวลงคลุกเข่า ตบไหล่เบาๆปลอบโยนมัน “ ท่านสัญญาแล้วนะแม่นางน้อย …ฮือ..ฮือ. ” มันปาดน้ำตากล่าวสะอื้น ก่อนจะพรวดพราดลุกขึ้น มองตรงไปยังประตู “ มาเถอะแม่นางน้อย เราออกไปหาเครื่องมือกัน ” “ เดี๋ยว ๆ !….นั้นเจ้าจะทำอะไร ? ” เสียงร้องปรามของหลิวหงเหินยังไม่ทันขาดคำ เจ้าอ้วนพลันกู่ร้องกังวาล “ ฮู้ว์…ฮู้ววววว….” เสียงมันยืดยาวทำเอาแสบแก้วหู พร้อมเพรียงกับที่มันใข้สองกำปั้นต่อยตรงไปยังประตูไม้ โครม !….. ประตูไม้พังกระเด็นฉีกเป็นสองเสี่ยง เผยให้เห็นทหารยามแปดนายหันมาฉงนปนตกใจมองมา ไม่ทันที่เหล่าทหารหาญจะชักดาบออกจากฝัก ชายอ้วนพลันโจนเข้าใส่พร้อมหมัดหนักหน่วงห้ากระบวนท่า เข้าร่างทั้งแปดจนปลิวกระเด็นลงไปกองกับพื้น “ เจ้านี่น้า…ไม่คิดจะวางแผนหลบหนีเลยเหรอ ? ” หลิวหงเหินเกาคางกล่าวเนื่อยๆ “ วางแผนแล้ว นี่ละแผนการสุดเหี้ยมหาญของผู้กล้า ? ” มันยังคงกล่าวภาคภูมิ ผสานเข้ากับแผ่นพื้นสะเทือนเลื่อนลั่นจากแรงเท้าวิ่งกรูเกรียว “ เจ้าอยู่หลังข้าไว้อย่าได้ห่าง ” หลิวหวเหินหันมากล่าวกับพัคนาริน ขณะรู้สึกว่าแผนของชายอ้วนกำลังส่ออันตรายถึงตัว หญิงสาวรีบวิ่งไปเกาะไหล่หลิวหงเหิน แล้วกล่าวขึ้นด้วยความตื่นตระหนก “ พี่ชายห้ามทิ้งหนูเด็ดขาดเลยนะ ไม่งั้นหนูจะแช่งให้พี่ดื่มเหล้าไม่รู้รสชาติไปทั้งชีวิต ” “ ฮ่า ฮ่า ฮ่า…เป็นคำข่มขู่ที่น่ากลัวที่สุดที่ข้าเคยได้ยินมาเลย ผู้น้อยน้อมอารักค์ขาแม่นางเอง " “ ฮิ ฮิ..ดีๆ ว่าง่ายดีจริงๆเลย ” นางกล่าวพลางลูบศรีษะหลิวหงเหินอย่างเอ็นดู หลิวหงเหินได้แต่ส่ายหัว รู้สึกไม่สมควรหยอกล้อกับนางมากเกินไปในภาวะเช่นนี้ เพราะแรงพื้นสะเทือนเริ่มรุนแรงหนักหน่วงขึ้น กระทั้งได้เห็นเหล่าผู้วิ่งมาถนัดตา อู๊ต อู๊ต อู๊ต อู๊ต…. “ หมูเนี่ยนะ ! ”…. พัคนารินร้องเสียงหลง เมื่อเห็นฝูงหมูป่าเขี้ยวโง้งขนดำขลับกรูวิ่งมา พวกมันมีเกินสามสิบตัวกำลังตะบึงวิ่งไปหาขายร่างอ้วน ต่างร้องเซ็งแซ่เข้ามาล้อมรอบมันไว้ ชายอ้วนหัวร่อเบิกบาน พร้อมกับก้มลงไปลูบคล่ำพวกมันสุดหฤหรรษ์ ทว่าความยินดีของพวกมันพลันต้องเปลี่ยนเป็นดุดันกระทันหัน เมื่อเห็นเหล่าทหารในอาวุธครบมือวิ่งดาหน้าตามหลังฝูงหมูมา “ ฮู้ว ว ว ว…..” ขายอ้วนกู่ร้องอีกครั้ง โดยคราวนี้ฝูงหมูล้วนหันหลังกลับ แล้ววิ่งเข้าใส่เหล่าทหารหาญราวพายุดำทมึน ทหารหลายคนถูกชนจนล้มขม่ำ ซ้ำยังถูกเหยียบซ้ำจนส่งเสียงร้องครวญสุดเจ็บปวด บางคนเงื้อดาบฟัน บางคนใช้หอกจ้วงแทง แต่หมูป่าเหล่านั้นทั้งหนังหยาบหนาทั้งว่องไว จนไม่อาจฟาดฟันให้ล้มตายในคราเดียว พวกทหารได้แต่ฟาดฟันพร้อมล่าถอย ให้กับพายุหมูป่าอันคลุ้มคลั่งบ่าทะลักไม่หยุดยั้ง “ เป็นอย่างไรบ้าง แผนรบของข้า ? ” ชายอ้วนกล่าวอย่างภาคภูมิใจ โดยหลิวหงเหินได้แต่ยกนิ้วโป้งให้ พร้อมเผยอยิ้มอย่างจำยอม ฮ่า ฮ่า ฮ่า…ชายอ้วนหัวเราะก้อง ก่อนจะตะบึงวิ่งเข้าใส่เหล่าทหารที่รอดพ้นจากพลังหมูป่าเข้ามา ชายอ้วนปล่อยเพลงหมัดใส่ทหารที่หน้าตาตื่นไม่หยุดยั้ง เปิดทางให้หลิวหงเหินกับพัคนารินเดินตามไม่ห่าง เสียงอึกทึกครึกโครมดั้งฟ้าถล่มดินทลาย ผสานเข้ากับแรงสั่นสะเทือนไปทั้งพื้นและผนังไม้ ทำให้หลิวหงเหินล่วงรู้โดยว่องไวว่าพวกตนยังอยู่ภายในชั้นล่างสุดของเรือโภชนาการ ทางรอดเดียวคือต้องขึ้นบันสู่ดาดฟ้าเรือให้เร็วที่สุด ทว่าหนทางไม่ง่ายดายอย่างที่คิด เมื่อมีเงาสีแดงเข้ม9สายวิ่งไต่มาตามผนังทั้งสองด้าน พวกมันกระโจนข้ามฝูงหมูตรงเข้าใช้ทวนสีเงินวาววับทิ่มแทงชายอ้วนจากสี่ทิศทาง หมัดทลายภูผาปลดปล่อยพลังออกปัดป่ายทวนเบี่ยงเบนไปหกสาย หากมีอีกแท่งทวนจ้วงแทงเข้าตรงตำแหน่งแผ่นหลังมัน “ ผิดท่าแล้ว ! ”… หลิวหงเหินตะโกนก้อง พร้อมกับเผ่นโผนถึงข้างตัวชายอ้วน แล้วใช้วิชาคว้าจับกุญชรหมุนควงทวนเล่มนั้นให้วกย้อนกลับ ทั้งคนทั้งทวนจำต้องตีลังกากลับหลัง หยัดกายลงพื้นตั้งท่าเตรียมจู่โจม เช่นเดียวกับองครักษ์เสื้อแดงอีกแปดนาย ที่โดนหมัดสกัดทวน จนต้องถอยล่นไปตั้งแถวหน้ากระดาน ยกอาวุธขึ้นมุ่งหมายฆ่าฟัน “ ปีศาจสุราเจ้ารับทางขวาไปหกคน ส่วนข้ารับสามคนทางซ้าย ตกลงหรือไม่ ! !” “ เจ้านับเลขผิดหรือเปล่า ? ” ไม่ทันสิ้นเสียงถามของหลิวหงเหิน ชายร่างอ้วนพลันโจนเข้าใส่สามทหารทางซ้าย พุ่งพลังหมัดรวดเร็วรุ่นแรง จนทวนในมือทหารคนหนึ่งปลิวกระเด็น ส่วนอีกสองคนพลอยล่าถอยตาม หลิวหงเหินเห็นช่องโหว่คู่มือ จึงปล่อยฝ่ามือถาโถมเข้าใส่ทหาร หลอกล่อให้หกทวนกวัดแกว่งตั้งรับ ชั่วอึดใจชายร่างระหงลอยตัวเข้าใช้วิขาคว้าจับ ยึดกุมมือที่กุมทวนไว้ได้หนึ่ง จากนั้นจึงสะบัดหมุนจนร่างองครักษ์หมุนเป็นวงลอยเข้าชนอีกหนึ่งองครักษ์ จนปลิวกระเด็นไปทั้งคู่ สี่องครักษ์ที่เหลือล้วนตื่นตระหนกลนลาน จึงเร่งกระบวนท่าแลกชีวิต ทว่ายังเชื่องช้ากว่าวิชาดัชนีนารีเป็นอื่น …. ทั้งๆที่เห็นชัดว่าดัชนีจี้ตรงมา แต่ทิศทางกลับแปรเปลี่ยนเป็นแตะสัมผัสเข้าข้างชายโครง ….เป็นเคล็ดวิชาลมปราณแผ่พุ่งพลังสองสายหากเลือกบรรลุจุดหมายเพียงหนึ่ง ดั่งนารีแบ่งแยกสองใจ ไหนเลยบุรุษจะจำแนกรู้เท่าทัน…. ชั่วลัดนิ้วมือทั้งสี่องครักษ์ถูกสกัดจุดคนละสี่-ห้าตำแหน่ง จนร่างกายพวกมันแน่นิ่งกับที่ เป็นเวลาเดียวกับชายอ้วนสยบเอาสามองครักษ์ให้มอบนิ่งแทบพื้นไม้ แต่เหตุกาณ์กลับตึงมือเพิ่มขึ้น เมื่อมีทวนลอยละลิ่วสิบกว่าสายพุ่งตรงมา หลิวหงเหินพริ้วกายเข้าคว้าตัวพัคนาริน ให้หลบเลี่ยงทวนซัดไปแค่คืบ ขณะที่ชายอ้วนคว้าร่างองครักษ์ที่นอนกับพื้นขึ้นมาเป็นโล่มนุษย์ สกัดทวนสามเล่มให้ปักตึงกับร่างที่แน่นิ่ง จนตกตายในบัดดล ผู้ซัดทวนเป็นองครักษ์ชุดแดงสิบกว่านายที่กำลังวิ่งเข้าโจมตี พร้อมทวนสั้นอีกเล่มในมือ “ ขับขันยิ่ง !….แม่นางรีบขึ้นมาบนหลังข้าเร็ว ” หลิวหงเหินหันหลังให้หญิงสาว ขณะกล่าวรวบรัด “ แหม…โอปป้า เราสนิทกันขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย….” นางกล่าวด้วยใบหน้าแดงซ่าน ขณะโดดขึ้นหลังชายหนุ่ม ใช้สองแขนโอบรอบคอ สองขาหนีบเอวไว้แน่น “ เกาะให้แนบแน่นแบบจิ้งจกเลยนะแม่นาง ” สิ้นเสียง หลิวหงเหินพลันแผ่พลังปราณกระโจนลอยตัว โลดแล่นผ่านหัวองครักษ์ที่กำลังโรมรันกับชายอ้วน ขณะลอยคว้างกลางอากาศ หลิวหงเหินพลันพลิกตัวกลับหลัง แล้วใช้ท่วงท่าบุปผาปลิดปลิว ตวัดเท้าเตะเข้าที่ทรวงอกองครักษ์นายหนึ่งจนล้มขม่ำ พร้อมเพรียงกับที่เกิดแรงส่งให้ร่างชายหนุ่มม้วนตัวตีลังกาลงไปยืนกับพื้น ทำให้หญิงสาวที่แนบหลังร้องโวกเวกอย่างตื่นตระหนก “ เจ้าไม่เป็นไรใช่มั้ย ? ” “ หวาดเสียวอย่างกับนั่งรถไฟเหาะเลยพี่ ” นางตอบด้วยสีหน้าตื่นเต้น แววตาลุกโพลงด้วยอารมณ์พลุนพล่าน “ อีกสักประเดี๋ยวจะหวาดเสียวกว่านี้อีก เจ้าเกาะข้าไว้ให้ดี ! ” เพียงสิ้นเสียง ปลายทวนคมกริบได้ทะลึ่งแทงเข้าใส่ แต่หลิวหงเหินขยับกายเพียงแผ่วเบา ทวนสั้นกลับเลยเฉียดร่างไปแค่คืบ แล้วสองดัชนีก็จี้สกัดจุดองครักษ์ผู้รุกรานมาสองตำแหน่ง จนร่างมันเข่าอ่อนทรุดลงด้วยขาชาด้าน “ มัวพิรี้พิไรอยู่ใย รีบไปโดยไว !…” ชายอ้วนตวาดก้อง โดยสองมือยังกำหมัดสะบัดต่อยต่อกรกับคมทวนที่รายล้อม “ เจ้าก็อย่ามัวพิร่ำพิไรเล่า รีบตามข้ามาให้ทัน ” หลิวหงเหินกล่าวพร้อมกับใช้ท่วงท่าบุปผาลอยลม ทยานไปในทางเดินอันคับแคบ หลิวหงเหินกระโดดสะท้อนแรงไปตามผนัง โดยใช้ความฉับไวเลี่ยงหลบทวนไปหลายเล่ม มันเคลื่อนที่ดั่งสายลมโชยไม่ทันที่องครักษ์คนใดจะสกัดกั้นไว้ได้ ชั่วแล่นหลิวหงเหินก็บรรลุถึงบันไดทางขึ้นเบื้องบน ชายหนุ่มกระโจนขึ้นบันไดเพียงสามครั้ง ก็ผ่านพ้นขึ้นไปชั้นสอง ซึ่งบันไดขึ้นชั้นดาดฟ้าอยู่ไม่ห่างไปนัก ทว่าหลิวหงเหินไม่ทันขยับตัวไปถึง ทวนคู่พลันจู่โจมประชิดเข้าใกล้ พลังทวนครานี้หาได้อ่อนด้อยอย่างที่เคยพบพาน เพราะผู้โรมรันเข้ามาคือลวี่จิ้งอันยอดองครักษ์อันดับห้า มันใช้เพลงทวนว่องไวสะบัดแทงดั่งห่าฝนคลั่ง วับวาวแพรวพราวจนสกัดกั้นการถอยหนีไปสิ้น …พิรุณโลหิตสมคำล่ำลือนัก….หลิวหงเหินอุทานในใจ ขณะวาดฝ่ามือปัดป้อง พร้อมใช้ท่วงท่าหลบเลี่ยง โดยรู้สึกตึงมือกว่าครั้งใดที่เคยรับมือชาวยุทธมา แม้หลิวหงเหินจะหลบเลี่ยงได้ทุกกระบวนเพลงทวน ถึงกระนั้นคมทวนยังปาดเอาแขนและหน้าอกจนเลือดไหลซึม ….หากยังพัวพันกับมันนานกว่านี้ เกรงว่าคงพรุนไปทั้งตัวแล้ว…. หลิวหงเหินครุนคิดในใจ ด้วยล่วงรู้ว่าผู้มีอาวุธในชั้นฝีมืที่ใกล้เคียงกัน ย่อมมีชัยได้ในไม่ช้า….. ทางรอดอยู่ที่ขั้นบันไดนั้น… ยามขับขัน หลิวหงเหินเกิดปฏิภานวูบ มันรีบกระโดดม้วนตัวกลับหลังแล้วใช้แรงดีดเข้ากับผนัง เกิดเป็นแรงเร่งพุ่งเข้าใส่ตัวลวี่จิ้งอัน ยอดองครักษ์แตกตื่นกับท่วงท่ามัน คาดไปว่าคู่มือคิดทุ่มเทหักล้างลมปราณ มันจึงรวมลมปราณผลักทะลวงทวนเข้าใส่ ทว่ากระบวนท่าของหลิวหงเหินหาได้คาดเดาง่ายดายนัก มันกลับหมุนตัวเป็นเกลียวกลางอากาศ ใช้มือขวาปัดป่ายทวน อีกมือตบใส่พื้นเปลี่ยนทิศทางพุ่งให้เบี่ยงไปทางขวาตรงสู่บันไดทางขึ้น “ เจ้าเล่ห์เจ้ากลนักปักษาสุรา !”….ลวี่จิ้งอันตวาดขึง พลางวกทวนกลับตวัดติดตาม “ น้อมรับคำชมเชย ”…หลิวหงเหินยังคงยิ้มยียวน ขณะยืนผงาดอยู่บนขั้นบันได แต่ชายหนุ่มหาได้รีบขึ้นบันได มันกลับส่งลมปราณฝาดฝ่ามือเข้ากับบันไดไม้จนขาดครึ่ง แล้วตบฝ่ามือซ้ำให้บันไดหมุนวนราวลูกข่างพุ่งเข้าใส่องครักษ์ห้า ทำให้ลวี่จิ้งอันต้องยกทวนต้านรับ จนถอยล่นไปตามบันไดไม้อันหมุนคว้าง ส่วนหลิวหงเหินใช้เรี่ยวแรงโจนขึ้นบันไดที่ยังเหลืออีกครึ่ง แล้วแตะเท้ากับบันได ส่งพลังพวยพุ่งสู่ชั้นดาดฟ้าเรืออันสว่างเรืองรอง….. ..เมื่อร่างระหงที่มีหญิงสาวเกาะหลังได้ลอยละลิ่วลงสู่ดาดฟ้าเรือ…. ความแปลกประหลาดใจถาโถมเข้าใส่ทันทีที่เห็นสภาพการณ์โดยรอบ…. ที่กาบเรือเบื้องขวาปรากฏหญิงสาวในชุดเหลืองถือดาบโค้งคมวาว ยืนสงบอยู่ท่ามกลางลมราตรีโชยชาย ส่วนผู้ที่อยู่ตรงข้ามนางคือหัวกน้ารองแห่งวังเมฆาขจี จางจงตงถือห่วงทองสองมือ ปล่อยแขนห้อยลงคล้ายกำลังเจรจาหาข้อยุตติ ถัดลงมาจากกาบเรือ ยังมีชายชุดขาวกุมกระบี่คู่ไขว่หลัง ยืนมองคนทั้งคู่ด้วยท่าทีปลอดโปร่ง ดั่งกำลังรอคอยยอดฝีมือประลองวิชา แตกต่างจากกลุ่มชายสิบกว่าคนที่อยู่ทางพังงาเรือ ล้วนมีสีหน้าถมึงทึงประหนึ่งจะกินเลือดกินเนื้อ เหล่าองครักษ์ชุดแดงที่ว่าหน้าตาดุดันแล้ว ยังไม่เท่าขันทีชราในชุดเลื่อมทองโอ่อ่าที่ทอประกายตาเหี้ยมเกรียม ราวกับจะแผดเผาอมิตาร์ให้ลุกไหม้เป็นจุล…. “ แม่นางลงจากหลังเราสักครู่เถิด ข้ามีเรื่องเป็นตายต้องกระทำเพียงลำพัง " หลิวหงเหินหันมากล่าวกับหญิงสาวที่แนบหลัง “ จะทิ้งหนูอีกแล้วเหรอ ! ” พัคนารินกล่าวเง้างอน ฮ่า ฮ่า ฮ่า…" มาถึงขั้นนี้ยังกลัวข้าทอดทิ้งอีกรึ !" มันยักคิ้วหลิ่วตาตอบ ใจจริง พัคนารินอยากปะทะคารมอีกสักหลายคำ แต่แรงพุ่งพลังที่โจนขึ้นจากชั้นล่างของเรือ ทำให้นางตกตะลึงจนหลงลืมถอยคำไปหมดสิ้น “ ปักษาสุรา สิ้นหนทางหนีแล้วกระมัง ?”…. ลวี่จิ้งอันนั้นเองที่กระโดดขึ้นมาพร้อมตวาดลั่น สองมือร่ายรำทวนคู่เหินลอยเข้าหาคนทั้งคู่ หลิวหงเหินรีบโคจรพลังเตะฝ่าเท้ากับพื้น ผลักไสให้ตนห่างไปหลายคืบ จนหลุดพ้นจากคมทวนไปหวุดหวิด ถึงกระนั้นลวี่จิ้งอันยังโถมกำลัง ปล่อยเพลงทวนตามติด ทว่าทวนทั้งคู่กลับถูกสกัดด้วยคมกระบี่ดัง “ เปรี้ยะ !….” “ ท่านพี่จิ้งอัน….เหตุใดลงไม้ลงมืดุเดือดนัก เราคนกันเงอทั้งนั้น ” จูเง็กจือสะบัดกระบี่เข้าขวาง สีหน้าห่วงใยสหายอย่างไม่อาจปกปิด “ คุณชายสี่ เจ้าถอยไป !…. หาใช่เรื่องของเจ้าไม่ ! ” ลวี่จิ้งอันขู่เสียงกร้าว “ หากข้าไม่ถอยเล่า ! ” …จูเง็กจือแย้มยิ้มท้าทาย ไร้วี่แววยำเกรงแม้แต่น้อย ลวี่จิ้งอันเขม้นมองตาวาวโรจน์ ราวกับเรืองแสงเร่าร้อนออกมา…
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD