องค์ชายจากอดีต

3534 Words
กลิ่นกำยานหอมเยียบเย็นแทรกเข้าจักษุประสาททันทีที่สติฟื้นตื่น เปลือกตาที่ค่อยเผยอลืมรับแสง เริ่มรับรู้สภาพแวดล้อมอันเลือนลาง แล้วค่อยกระจ่างชัดทีละน้อย พอหลิวหงเหินพยายามขยับตัวจะลุกขึ้นนี่ง ถึงได้พบว่าขาของตนถูกล่ามโซ่เส้นใหญ่ให้ตรึงติดอยู่กับหลักแท่นเหล็กขนาดเขื่อง “ พี่ชายมัวขี้เซาอยู่ได้ ตื่นเร็วซิ !.. ตาแกนี่รังแกหนูใหญ่แล้ว ” เสียงเจื่อยแจ้วของพัคนารินกระตุกเรียกให้หลิวหงเหินหันมองหา จึงได้พบภาพประหลาดตาเกลื่อนกลาดอยู่เต็มห้อง…. พัคนารินอยู่มุมห้องทางขวา ข้อเท้านางถูกล่ามโซ่พันธนาการไม่แตกต่างจากมัน นางยังคงอยู่ในอาภรณ์รัดรูปเกล็ดมังกร กำลังนั่งขัดสมาด มือกอดอกด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองขึ้นหน้า เช่นเดียวกับมุมซ้ายสุดของห้องที่มันเห็นความขุ่นเคืองยกระดับเป็นโกรธขึงคำรนคำราม คือชายเลี้ยงหมูที่กำลังดิ้นทุรนทุรายด้วยโทสะสุดกราดเกรี้ยว คล้ายหมูป่าอาฆาตแค้นในขื่อคานอันแน่นหนา ร่างอ้วนใหญ่ถูกโซ่รัดจับตรึงกับไม้กระดานในท่ายืน แขนขามันถูกเหล็กแผ่นรัดติดกับไม้ ซ้ำยังมีกุญแจเหลี่ยมคล้องปิดกั้น ร้ายที่สุดเห็นจะเป็นปากมันที่ถูกหวายเส้นใหญ่มัดแน่น จนออกเสียงได้ไม่ถนัดถนี่ ถึงจะพูดไม่ได้แต่มันก็ยังดิ้นขรุกๆขรักๆ แววตามันส่อนัยยะแปลกประหลาดเมื่อเห็นหลิวหงเหินฟื้นตื่นขึ้นมา มีทั้งความขุ่นเคืองปะปนความหวังรำไรอย่างบอกไม่ถูก กระทั้งหลิวหงเหินหันมองเหล่าผู้คนที่อยู่หน้าตน จึงได้รู้ว่าความหวังในดวงตาชายเลี้ยงหมูมาจากสาเหตุใด เมื่อมาอยู่ต่อหน้ากงกงเฉียน กับกององครักษ์เกราะแดง ย่อมต้องมีความหวังขึ้นมาบ้างเมื่อเจอะเจอใครสักคนที่คุ้นหน้า “ กงกงเฉียนให้เกียรติมาสอบปากคำเอง นับว่าเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูลข้าน้อยนัก ” หลิวหงเหินกล่าวแย้มยิ้มพลางลุกขึ้นยืนน้อมกายคารวะ สีหน้าเย็นชาของขันทีเฒ่ายังคงแน่นิ่งไม่รู้สึกรู้สา มือมันยังสลับนิ้วกลิ้งลูกกลมหยกให้หมุนขรุกๆขรักๆ เช่นเดียวกับเหล่าองครักษ์เสือแดงเข้มทั้งสิบเอ็ดนายที่ยืนเรียงแถวด้านหลัง ล้วนยืนแข็งแน่นิ่งประหนึ่งรูปปั้นศิลา จะมีเพียงเฒ่าหน้าเป็นที่ยืนแนบข้างขันทีทางซ้ายมือ ที่ส่งยิ้มทักทายอารมณ์ดี “ บัณฑิตหลิวท่านตื่นมาก็ดีแล้ว รบกวนท่านเป็นล่ามชั่วคราวได้หรือไม่ หญิงประหลาดผู้นี้กล่าววาจาพิกลไม่รู้ความ ” “ ชิ !…ตาเฒ่าสารพัดพิษ ทำมาเป็นพูดดี วางยาแล้วยังมาสั่งนู้นสั่งนี่…ทุเรศ !…” พัคนารินกล่าวพรวดพราดสวนคำเฒ่าหยางทันควัน ฮ่า…ฮ่า..ฮ่า…หลิวหงเหินหัวเราะร่วน รู้สึกแม่นางจากอนาคตพูดได้ตรงใจนัก ทว่ากงกงเฉียนหาได้อารมณ์ดีร่วมด้วย ดวงตาเล็กเรียวพลันลุกวาว ก่อนจะขยับมือโบกตรงไปที่หลิวหงเหิน ทันทีนั้นทวนสั้นปลายหยักดั่งเปลวไฟได้จี้จ่อมายังลำคอหลิวหงเหิน ว่องไวจนไม่อาจเหลือบเห็น กว่าจะรู้สึกตัวโลหะเยียบเย็นก็แตะสัมผัสเนื้อหนังคนอันนุ่มนิ่มแล้ว ผู้ลงมือย่อมเป็นหัวหน้าองครักษ์เกราะแดง มันจัดเป็นอันดับห้าในสิบยอดองครักษ์ มีนามว่าลวี่จิ้งอัน ฉายาพิรุณโลหิต เพลงทวนรวดเร็วแม่นยำจนคู่มือตกตายไปก่อนเห็นอาวุธมันด้วยซ้ำ ถึงคราเห็นมันลงมือกับตัว หลิวหงเหินจึงยินยอมเชื่อถือว่าคำเล่าขานไม่เกินเลยแม้แต่น้อย “ แม่นางน้อย !…สมควรบอกกล่าว การดึงจักรกาลออกจากร่างเจ้าอ้วนนั้นเถิด มิฉะนั้นจะไม่ได้เห็นศรีษะพี่ชายเจ้าอยู่บนร่างแล้ว ” ใบหน้าซูบผอมของพิรุณโลหิตท่อประกายเหี้ยมโหด ราวยมทูตในชุดแดง “ โห้ !. วิธีโบราณโคตร….ขู่ตัวประกันเนี่ยนะ….อย่างกับพวกคลั่งยายุคไนท์ตี้งั้นล่ะ ” ลวี่จิ้งอันหันหน้างงงัน มองหลิวหงเหินแบบศัตรูที่ขอความเข้าใจ “ นางว่าเจ้าโง่เขลางมงาย ” แรงกระตุ้นโทสะที่มันก่อ ทำเอาปลายทวนจี้ลึกเข้าคอ จนเลือดไหลย้อยเป็นสายลงเรี่ยลำคอ “ โว้ว ๆ…ทำไมป่าเถื่อนนักอ่ะ …เจ็บมั้ยพี่ชาย ? ” พัคนารินตื่นตระหนกจนยันตัวขึ้นยืน “ ไม่เป็นไรหรอกแม่นาง หัวหน้าห้าท่านช่วยถ่ายเลือดออกให้ อีกสักครู่ข้าคงดื่มเมรัยได้คล่องคอนัก ” หลิวหงเหินพูดด้วยรอยยิ้มกว้าง ไม่รู้ทุกข์รู้ร้อนกับการหลั่งโลหิตสักนิด “ จิ้งอัน…พอแล้ว ! ”…เสียงราบเรียบหากเฉียบคม จนบาดเฉือนให้ยอดฝีมือยอมลามือ พิรุณโลหิตถอนทวนเก็บสู่ซองหนังด้านหลัง แต่ดวงตายังจับจ้งมองหลิวหงเหินไม่กระพริบ ชนชาวยุทธล้วนล่วงรู้ว่ากององครักษ์เกราะแดงเหี้ยมโหดอำมหิตเพียงใด ยามลงมือไม่เคยปราณีอ่อนข้อ โดยเฉพาะหัวหน้าห้าผู้เลื่องลือเรื่องความเลือดเย็น สังหารคนโดยไร้ไมตรี ยามนี้มันยอมล่าถอยย่อมแปลกประหลาดเหนือความคาดหมายนัก “ บัณฑิตหลิวท่านซ่อนคมงำประกายเสียมิดชิด เดินทางร่วมกันมาปีกว่าเพิ่งรู้ว่ากำลังขวัญท่านหาญกล้านัก แม้แต่การติดต่อกับคนต่างชาติอย่างลับๆล่อๆยังกล้ากระทำ ” “ ฮ่า ฮ่า ฮ่า…” หลิวหงเหินหัวร่ออย่างปรอดโปร่ง ผิดกับใจกำลังดิ้นพล่านหาทางออก “ ใช้กำลังเอาชัยไม่ได้ ท่านกลับใช้ข้อหากบฎข่มขวัญกันเชียวหรือ นับถือ นับถือ ”…ชายหนุ่มกล่าวทั้งที่ความจำกำลังรื้อฟื้นภาพขันทีเฒ่าในทุกแง่ทุกมุม “ ฮึ ฮึ ฮึ…แล้วเจ้าว่าคำพูดข้าสามารถดลบันดาลให้เจ้าเป็นกบฏได้หรือไม่ เจ้าว่าคำพูดชราของข้าเพียงไม่กี่คำสามารถเด็ดหัวคนในตระกูลเจ้าเจ็ดชั่วโคตรได้หรือไม่ ”.. วาจาสุดท้ายของกงกงเฉียนกราดเกรี้ยวกังวาล สะกดเอาทุกผู้คนแน่นิ่งไม่ไหวติง แม้แต่พัคนารินยีงรู้สึกอึดอัด เหมือนเผชิญหน้าคนทรงอำนาจใหญ่โตในยุคของนาง “ ข้าน้อยย่อมรู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ หากสิ่งที่ไม่รู้คือท่านต้องการสิ่งใดกับบัณฑิตยากไร้ ถึงได้ตั้งขอหาเสียใหญ่โต ” หลิวหงเหินพูดถ่วงเวลา พร้อมกับดึงความทรงจำแบบภาพเขียน เปิดขึ้นทีละแผ่น ที่ละแผ่น ฝ่ามือซีดเผือกของขันทีเฒ่ากำลังเคร้นครึงลูกกลิ้งหยกหมุนวนไปๆมาๆ เกรงว่ากำลังใช้ความคิดหนักไม่ต่างจาดหลิวหงเหินนัก “ ตัวชั่วช้า ….เจ้ารู้อยู่แกใจว่าเกิดอาเพศใดในกองเรือมหาสมบัติ ยังจะทำหน้าซื่อถามไถว่าข้าต้องการสิ่งใด ” ….ขันทีเฉียนต้องการจักรกาล ….. ….คนชราอายุหกสิบกว่าต้องการย้อนเวลาเพื่อสิ่งใด ?….. ภาพความทรงจำฉายวาบภาพแล้วภาพเล่า ตั้งแต่หลิวหงเหินเริ่มวาดรูปบันทึกปูมเรือ เริ่มที่มหาขันทีทั้งห้าที่คุมกองเรือ จากมหาขันทีเจิ้งเหอผู้นำสูงสุด จนมาถึงมหาขันทีเฉียนผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ ในบันทึกเขียนเพียงชื่อกงกงเฉียน เหตุใดไร้ชื่อแซ่แท้จริง… หลิวหงเหินควานหาทุกภาพที่เคยเห็น ทุกเหตุการณ์ที่กงกงเฉียนเกี่ยวข้อง “ บัณฑิตหลิว !…เจ้าเสแสร้งแกล้งบ้าหรือไร ใยไม่ตอบคำ ” ภายในหัวหลิวหงเหินเรียงไล่ภาพแล้วภาพเล่า กระทั้งมาเห็นชื่อแซ่ขันทีเฒ่าจะแจ้ง ณ ป้ายอวยพรแด่ราชโอรส… มันชื่อ…จ้าวฉื่อเฉียน…. “ หลิวหงเหิน เจ้าเสียสติไปแล้วหรือไร ?…” กงกงเฉียนแผดเสียงลั่น “ สตืดีแจ่มใสขึ้นแล้ว องค์ชายจ้าวฉื่อเฉียน ” คำพูดเรียบง่ายของมันทำเอาความกราดเกรี้ยวของขันทีเฒ่าสะบั้นสิ้น เหลือเพียงแววตาร้ายลึกมองชายหนุ่มไม่วางตา “ ร้อยสี่สิบปีก่อนฮ่องเต้องค์สุดท้ายแห่งต้าซ้อง..ซ่งตี้ปิง ต้องพลัดพรากผลัดแผ่นดิน เพราะกองทัพปีศาจมองโกลเข้ารุกราน มีหลักฐานว่าเหล่าเชื้อพระวงศ์ส่วนใหญ่ลี้ภัยไปยังแผ่นดินโซลยอน ( เกาหลี ) …กระทั้งผ่านไปร้อยปีแห่งการครอบครองของมองโกลสิ้นสุดลง เพราะจูหยวนจางและกองทัพประชาชนร่วมขับไล่ชาวต่างชาติออกจากแดนดิน จากนั้นราชวงศ์หมิงจึงสถาปนาขึ้นในใต้หล้า โดยหนึ่งภารกิจแรกแห่งการขึ้นครองราช คือการสืบหาทายาทแห่งราชวงศ์ซ้อง ครั้งนั้นได้รวบรวมคนแซ่จ้าวจากโซลยอนมาได้ร้อยสิบแปดคน แต่ประหลาดที่คนทั้งร้อยกว่าชีวิตหาได้ยอมรับว่าตนเกี่ยวข้องกับราชวงศ์เก่าสักคน…บ้างตระกูลถึงกับสิ้นไร้ทายาทสืบทอดเพราะรุ่นลูกถูกจับตอนเป็นขันทีกันสิ้น ” ฮ่า ฮ่า ฮ่า…กงกงเฉียนเค้นเสียงหัวร่ออย่างเจ็บปวด นับเป็นเสียงหัวเราะสุดน่ากลัวกว่าคำตวาดดุดันของมันหลายเท่า “ ช่างเป็นวาจาภายลมสุนัขโดยแท้ คนไร้ปณิธานเช่นเจ้า ทำได้เพียงกล่าววาจาแดกดันเท่านี้ใช่หรือไม่ ” กงกงเฉียนเน้นเสียงพูดสุดหนักแน่น “ เจ้ารู้หรือไม่…ว่าโลกนี้มีคนอยู่สองประเภท หนึ่งคือผู้ใช้อำนาจ อีกหนึ่งคือผู้ถูกอำนาจช่วงใช้…..เจ้าไม่เพียงถูกอำนาจใช้แต่ยังถูกครอบงำทั้งขีวิต…เจ้ารู้ตัวหรือไม่หลิวหงเหิน…? ” “ อ้อ ?..” หลิวหงเหินรับคำเรียบง่าย โดยยังไม่แน่ใจว่าขันทีเฒ่าจะมาไม้ไหนกันแน่ กงกงเฉียนปรายตาไปทางเฒ่าหยาง พรางกล่าวด้วยรอยยิ้มชั่วร้ายชนิดหนึ่ง “ ตาเฒ่าหยางลองเล่านิทานให้บัณฑิตหลิวฟังสักเรื่องเป็นไร ” “ น้อมรับบัญชา ”…เฒ่าผอมแห้งที่ข้างกายกงกงน้อมกายลงต๋ำ รับคำด้วยถอยวาจาเทิดทูลดั่งอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ก็ไม่ปาน “ บัณฑิตหลิวท่านชมชอบฟังนิทานใช่หรือไม่ ? ”… เฒ่าหยางยังคงยิ้มประจบประแจงขณะกล่าวกับมัน “ ในที่นี้ไร้เรื่องราวกระทำ ได้ฟังนิทานสักเรื่องคงเพลิดเพลินมิใช่น้อย ” “ ย่อมต้องเพลิดเพลินแน่ เพราะนิทานของเราเกี่ยวข้องกับหงษ์ผู้งมงายในรัก ” ดวงตาชราของมันราวกับเรืองแสงกล้าจับจ้องตรงชายหนุ่ม “ อ้อ…ท่านเล่าเถิด ” หลิวหงเหินแสร้งเป็นไม่รับรู้ความมุ่งมาดปราถนาร้าย ยืนสงบรับฟัง “ เรื่องของเราไม่เนินนานนัก เพียงยี่สิบกว่าปีก่อนหน้านี้ ” มันเริ่มเล่าด้วยน้ำเสียงลื่นไหล อย่างผู้เชี่ยวชาญชำนาญการบรรยาย “ ยังมีตระกูลบัณฑิตผู้ทรงปัญญาแห่งเมืองฉางโจว ต้นตระกูลเป็นถึงจอหงวนคนแรกแห่งต้าหมิง คิดมิถึงบุตรคนสุดท้ายของมันกลับผูกสมัครรักใคร่กับยอดยุทธสาวชาวยูนาน แม้จะถูกบังคับห้ามปรามบุตรคนนั้นยังแข็งขืน ยอมสละตระกูลออกไปใช้ชีวิตคู่กับนางในดวงใจอย่างทรนง นับเป็นตำนานระบือเมืองมิใช่น้อย ” ใจหลิวหงเหินหวั่นไหววูบ ล่วงรู้ในบัดดลว่าพวกมันคิดกร่อนทำลายจากภายใน “ ไม่นานทั้งคู่ให้กำเนิดบุตรชายที่ฉลาดเฉลี่ยว ได้เรียนรู้ทั้งบู้และบุ๋นจากบิดามารดา ซ้ำยังได้ฝากตัวเป็นศิษย์กับห้าพิสดาร ผู้ไม่เคยรับศิษย์คนใด….แต่จะว่าไม่เคยรับศิษย์ก็ไม่ถูกต้องนัก เพราะพี่ใหญ่ของทั้งห้าจอมยุทธกลับมีลูกสาวที่จัดเป็นโฉมสะคราญตั้งแต่วัยเยาว์…” …ต้วนผิงผิง…หลิวหงเหินละเมอเพ้อชื่อนางทันทีที่ได้ยินการเอ่ยถึง ภาพของเด็กสาวดวงตากลมโต ใบหน้าเปล่งปลั่ง มีรักยิ้มน้อยๆให้ยลทุกคราที่นางเอ่ยวาจา “ เด็กชายผู้นั้นผูกสัมพันธ์กับบุตรสาวห้าพิสดารมาตั้งแต่วัยเยาว์ เติบโตเจริญวัยเคียงคู่กัน กลายเป็นสัมพันธ์ลึกซึ่งล่วงรู้จิตใจของกันและกัน ดั่งมีเงางดงามอยู่เคียงข้าง ”… ความรู้สึกแช่มชื่นในวัยเยาว์ปรากฏขึ้นในใจหลิวหงเหินแจ่มชัดนัก จนรู้สึกเอิบอาบสุขราวกลับสู่วัยเยาว์ “ ทั้งคู่เติบใหญ่เป็นคู่รักอันสง่างดงามเหมาะสมกันยิ่งนัก…คิดมิถึง..คิดมิถึง ” หัวใจหลิวหงเหินหล่นวูบคล้ายตกจากที่สูง เมื่อนึกถึงความแปรเปลี่ยนในชีวิต “ คิดมิถึงว่าพี่ใหญ่ในห้าพิสดารกลับมาคุกเข่าต่อหน้าลูกศิษย์ ให้มันเลิกรากับบุตรสาวตน…เพราะเหตุใด ?…ใยต้องพรากคู่รักอันมีใจกลมกลืนกลายเป็นหนึ่งลมหายใจเดียวกัน ? ” มันจงใจตั้งคำถาม เน้นย้ำทิ่มแทงเข้าไปในแผลเจ็บช้ำให้กำเลิบปวดแปลบ “ ไม่มีใครคาดว่ายอดยุทธห้าพิสดารกลับมักใหญ่ใฝ่สูง ปราถนาอำนาจเหนือผู้คนทั้งมวล….เป็นอำนาจที่หงษ์ตัวน้อยไม่มีทางมอบให้ …..ผิดกลับคุณชายสูงศักดิ์แห่งตระกลูซือหม่า ที่สามารถดลบันดาลให้ได้….บุตรสาวของมันคือบันไดสู่ความสูงศักดิ์ที่มันปราถนา เพียงครึ่งขวบปีต่อมางานตบแต่งเข้าสกุลใหญ่จึงปรากฏขึ้นในยุทธภพ …อำนาจหน่ออำนาจพรากรัก พรากคน ให้หงษ์เหินพเนจรโดดเดี่ยวชั่วนิรันดร์ ” หลิวหงเหินรู้สึกเจ็บปวดยิ่งกว่าถูกทวนทิ่มแทงเป็นร้อยเท่า คิดไม่ถึงวาจาจากปากชราจะรุกเร้าเข้าทำร้ายใจมันให้เจ็บแสบแทบแหลกราญ…. “ กับความรักยังไม่กล้าต่อสู้ยืนกรานพิสูจณ์ใจ จะนับเป็นผู้มีปณิธานผดุงคุณธรรมในยุทธภพได้อย่างไร ” กงกงเฉียนกล่าวเสียงแหบพร่าแทรกขึ้น สะกดให้ทุกผู้คนแน่นิ่งเงียบฟัง มีเพียงหลิวหงเหินที่ยังลอยละเมออยู่ในอดีต ยิ่งเห็นชัดยิ่งเจ็บปวดเข้าไปถึงไขกระดูกให้ปวดระบ่มไปทั้งร่าง ….คงไม่มีอาวุธอันใดร้ายแรงเท่าความรักอีกแล้ว…. “ หงษ์น้อยตนนั้นตัดสินใจอย่างน่าสมเพชเวทนานัก มันเลือกเดินทางเข้าสอบจอหงวน เพื่อเสียดเย้ยเหล่าอาจารย์มันที่ชิงชังราชสำนักเข้ากระดูกดำ ซ้ำยังทำตนเป็นคนเสเพลเลื่อนลอย พึ่งพอใจกับฉายาปักษาสุราอันน่าบัดซบยิ่ง ….ทั้งหมดของความอัปยศอับปรางล้วนกำเนิดจากอำนาจใช่หรือไม่ เป็นอำนาจที่ครอบงำทั้งชีวิต แม้หงษ์น้อยจะโผบินหนีไปพันลี้ดื่มสุราเป็นพันไหอำนาจนั้นก็ยังคงกลืนกินมันอยู่ทุกลมหายใจ ” แต่ละถ้อยคำของขันทีเฒ่าแฝงเร้นพลังกัดกร่อน จนผู้คนอ่อนปวกเปียก หยัดยืนด้วยขาสั่นเทา แม้แต่พัคนารินยังสะทกสะท้อนใจกับชะตากรรมของชายหนุ่มที่เพิ่งพบเจอ นางได้แต่ขยับปากงึมงำ มีเพียงเสียงแผ่วๆผ่านไลฟัน……" พี่ชาย "…. ' ประเสริฐนัก….ดีแล้วที่เป็นอย่างนี้….' หลิวหงเหินรำพึงในใจ เมื่อรู้แน่ชัดว่าชาวยุทธล้วนเข้าใจว่ามันเป็นคนเสเพลเช่นนี้ ยิ่งร่ำลือว่ามันเหลวไหลไร้สาระมากเท่าใด ต้วนผิงผิงยิ่งจะรอดปลอดภัยมากเท่านั้น…. ธาตุแท้ความเป็นจริงที่ไม่มีใครร่วงรู้ …..คือวันที่อาจารย์มาคุกเข่าขอให้มันเลิกลากับผิงผิงนั้น มีมารดามาคุกเข่าต่อหน้ามันด้วย หลิวหงเหินต้องทรุดกายคุกเข่าก้มต่ำด้วยความอึดอัดละอายใจ ผู้มีบุญคุณเทียมฟ้าไม่อาจให้คุกเข่าต่อมันได้…. มารดากล่าวทั้งน้ำตาว่า ทำผิดต่อมันแล้ว…. อาจารย์ผู้ทรงบุญคุณ กล่าวกับมันว่าต้วนผิงผิงไม่อาจอยู่อย่างสามัญชนได้อีก ราชวงศ์หมิงกลายกล่ำเข้าใกล้นางทุกที หากต้องการให้นางปลอดภัยจำต้องอยู่ไต้การคุ้มครองของตระกูลใหญ่ มิฉะนั้นนางจะตกตายในเร็ววันนี้แล้ว…. เรื่องทั้งหมดพลันกระจ่างมาพร้อมคราบน้ำตา…อาจารย์แจ้งทั้งหมดว่า ต้วนผิงผิงเป็นเชื้อพระวงศ์องศ์สุดท้ายแห่งต้าลี่ อณาจักรเก่าก่อนจะเป็นเมืองยูนาน อาจารย์คือผู้คุ้มครองเชื้อพระวงศ์มาสองชั่วอายุคน จวบจนราชสำนักเริ่มสืบหาใกล้ตัวนางทุกที มีเพียงตบแต่งเข้าสกุลใหญ่จึงเป็นทางรอดเดียว ทว่าใจคนไม่อาจเปลี่ยนรักได้ง่ายดายปานนั้น โดยเฉพาะผิงผิงทั้งดิ้อรั้นทั้งเป็นตัวของตัวเอง จะให้มันเลิกลาตามจริงนางยิ่งจะแข็งขืน ดั่งเช่นบิดามารดามันที่เคยกระทำ มีเพียงวิธีเดียว ! …..เป็นวิธีที่มันกระทำเฉกเช่นขันทีเฒ่ากล่าวทุกประการ ต้องทำให้นางเกลียดชังไม่ใยดีกับมันอีก ….มันยิ่งเมามายนางยิ่งถอยห่าง ยิ่งเสเพลนางยิ่งไม่เหลียวแล ความรักของมันเป็นการหนีนางให้ไกลสุดล้า ชั่วชีวิตไม่อาจครอบครอง นับเป็นรสชาติฝาดข่มปนหวานอันแปลกประหลาดยิ่ง เป็นรักที่ไม่มีใครประจักษ์ถึงแก่นแท้ในใจมัน… ……ว่าไร้รักกลับมีรัก รักจนซึ้งแปรจืดจาง…. “ ถึงครานี้เจ้าประจักษ์หรือไม่ ว่าอำนาจคือมหาเทพสูงสุดแห่งทุกผู้คน ” กงกงเฉียนกล่าวเฉียบคม ดั่งอาวุธบาดเฉือน “ เจ้ากับข้าล้วนเห็นประจักษ์แจ้งว่าเกิดอาเพศใดในกองเรือ ทุกผู้คนไร้สำนึกเมื่อเกิดการย้อนเวลา ไม่มีใครสำนึกถึงอำนาจแห่งเวลาสักน้อยนิด…หากสามารถแก้ไขอดีตได้ เจ้าเลือกจะเป็นปักษาสุราเฉกเช่นวันนี้หรือไม่ ? ”….คำถามอันหนักหน่วงของขันทีเฒ่า มีเพียงคนเดียวที่เข้าใจทราบซึ้ง ทว่าคำตอบของหลิวหงเหินกลับเป็นเสียงปรบมือ ….แป๊ะ แป๊ะ แป๊ะ….. “ นิทานพวกท่านสนุกมิใช่น้อย หากมีถุงเงินในมือ ข้าคงแจกเหรีญให้พวกท่านสักสิบอีแป๊ะ แบ่งคนละห้าอีแป๊ะคงเหมาะสมแล้ว ” หลิวหงเหินกล่าวเสียดเย้ยก่อกวนใจคน คล้ายปักษาสุรากลับฟื้นจากความหงอยเหงา ผงาดขึ้นฟากฟ้าอีกครั้ง “ เรื่องเก่าในอดีตจริงเท็จล้วนแจ้งจบไปแล้ว ที่ยังคลุมเคลือย่อมเป็นโมงยามนี้ใช่หรือไม่ ?….ที่ท่านต้องการจักรกาลเพราะปารถนาการเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงในอดีตใช่หรือไม่ เพื่อให้ปัจจุบันยังมีราชวงศ์ซ้องเป็นราชธานีใช่หรือไม่ ?….องค์ชายจ้าวเฉื่อเฉียน…ไม่ซิ !…ถ้าอดีตเปลี่ยนแปลงสมควรเรียกท่านว่าฮ่องเต้ซ่งตี้เฉียนกระมั้ง ” คำว่าฮ่องเต้กระทบโสตประสาท หัวใจกงกงเฉียนพลันปลื้มปิติราวได้ยินทิพย์ดุริยางค์ก็ไม่ปาน “ หลิวหงเหิน เอ๋ย หลิวหงเหิน เจ้าฉลาดปราดเปรื่องเพียงนี้ ใยมัวแต่งมงายในเรื่องเหลวไหลไร้แก่นสาร หากเจ้าแสวงหาชื่อเสียงลาภยศ ต้องเอกอุเหนือใครในแผ่นดินเป็นแน่ ” กงกงเฉียนกล่าวด้วยรอยยิ้มอย่างผู้ชนะ ภาคภูมิดั่งได้กุมจิตใจฝ่ายตรงข้ามไว้ได้หมดสิ้น “ กงกงเฉียน เอ๋ย กงกงเฉียน ใยท่านงมงายกับอดีตอันเลื่อนลอยนัก ”… คาดไม่ถึงว่ามันจะกล่าววาจาล้อเลียน จนกงกงเฉียนเบิกยิ้มค้างหากดวงตารุกโพลงด้วยเพลิงโทสะ “ ท่านคิดจริงๆเหรอว่าประวัติศาสตร์จะเปลี่ยนได้ด้วยคนๆเดียว หากท่านย้อนเวลาได้จริงเชื่อเหรอว่าจะสร้างให้ต้าซ้องดำรงค์อยู่นิจนิรันดร์ ท่านคนเดียวสามารถหยุดยั้งไม่ให้กังฉินเรืองอำนาจ ห้ามไม่ให้ฮ่องเต้มัวเมากามรมณ์ ห้ามไม่ให้ทุพภิกขภัยเกิดขึ้นทั่วแผ่นดินหรือ….หากท่านจะห้ามปรามมองโกลไม่บุกยึดเมืองด้วยการสังหารกุบไลข่าน เชื่อจริงๆเหรอว่ามองโกลจะไร้ความเข็มแข็งในบัดดล….ประวัติศาสตร์ล้วนเกิดจากการร่วมผสาน ทั้งชัยภูมิบ้านเมือง ภูมิอากาศ ผู้คน วัฒนธรรม ประเพณี โรคภัย…และโชคชะตา……. เหมือนพิชัยสงครามที่ใช้ว่ามีเพียงกำลังจะชนะศึกได้ทุกครา ท่านตื้นเขินนักที่คิดจะพลิกฟ้าคว่ำดินเพียงลำพัง หากเป็นสนามรบท่านคงตกตายตั้งแต่การรบครั้งแรกแล้วกระมั้ง ” โครม !…. เสียงกัมปนาทกึกกก้องขึ้นพร้อมกับพนักพิงแขนฝังมุกหลุดกระเด็น กลายเป็นเศษไม้ชิ้นใหญ่ ด้วยฝ่ามือเหี่ยวย่นอันโกรธเกรี้ยว กงกงเฉียนเลือดขึ้นหน้าจนแดงซ่าน ตะหวาดลั่นราวพยัคฆ์คำรามขู่ “ เดรัจฉานน้อยกล้าเล่นลิ้นไร้ยำเกรง มีแต่ต้องใช้ไม้แข็งต่อเจ้าแล้ว ” ไม่ทันสิ้นเสียงกงกงเฉียนพลันตวัดแขนเสื้อปลดปล่อยประกายสีเงินวาววับพุ่งไป หากเป้าหมายหาใช่หลิวหงเหิน กลับเป็นพัคนารินที่ถูกเข็มเงินที่หัวไหล่ จนร่างนางปลิวกระเด็นไปติดพนัง เข็มเล็กละะเอียดฝังหายเข้าไปในหัวไหล่นาง รอบบริเวณแผลเกิดเป็นจุดดำๆหม่นคล้ำ “ เข็มพิษกระดูกดำ ! ” หลิวหงเหินร้องขึ้นด้วยความแตกตื่น ไม่คิดว่าชนชั้นมันจะใช่วิธีสกปรกเช่นนี้ “ โอ้ย !…ตาแก่ทำอะไรหนูเนี้ย ?…” พัคนารินผสานเสียวร้องครวญอย่างเจ็บปวด “ เจ้ามีเวลาสองชั่วยาม ก่อนพิษจะออกฤทธิ์ถึงหัวใจ เจ้าสมควรให้นางบอกรายละเอียดของการถอนจักรกาลจากร่างเจ้าอ้วนนั้น บอกวิธีใช้จักรกาลให้ถ้วนถี่ และสมควรเขียนให้ละเอียดเป็นอย่างยิ่ง ” กงกงเฉียนพูดเหี้ยมเกรียม พรางปรายตามองหลิวหงเหินอย่างเย็นชา เมื่อขันทีเฒ่าลุกขึ้นยืน เก้าอี้ฝังมุกที่มันรองนั่งพลันแหลกสลายเป็นชิ้นไม้ยิบย่อย สะท้อนถึงพลังปราณอันลึกล้ำที่กำลังครุกกรุ่นด้วยโทสะ มันเดินนำทุกผู้คนออกจากห้องหับ โดยทิ้งท้ายด้วยคำยะเยียบสุดเย็นชา " ชีวิตหญิงแปลกประหลาดผู้นี้ อยู่ในมือเจ้าแล้ว….หลิวหงเหิน…”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD