ฝ่าดงศาสตรา

2528 Words
เพลงทวนสกุลลวี่สืบทอดมายาวนานหลายชั่วรุ่น…. มีเรื่องเล่าเป็นดั่งตำนานว่า บรรพชนผู้คิดค้นเพลงทวนคือลวี่ปู้ (ลิโป้) ยอดขุนศึกแห่งยุคสามอณาจักร …กาลเวลากว่าพันปี ต้องผ่านมรสุมน้อยใหญ่ในการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินนับไม่ถ้วน ได้แปรเปลี่ยนให้วิชาทวนอันแกร่งกร้าวทรงพลัง ให้กลับกลายเป็นใช้ความฉับไวเข้าเอาชัย โดยเฉพาะยุคร้อยปีที่ผ่านมา ตระกูลลวี่ต้องลี้ภัยการปกครองของมองโกล เข้าอาศัยร่มเงาของสำนักเตี๊ยมชัง ได้ฝึกฝนลมปราณสายพรต ร่วมหล่อหลอมพลังวัตรเข้ากับกระบวนเพลงทวน ก่อกำเนิดเป็นวิชาทวนคู่พิรุณโลหิต… …พร่างพรมทั่วฟ้า โหมกระหน่ำทุกสารทิศ พิชิตชัยในพริบตา….. ทั้งสามวลีคือแก่นแท้แห่งวิชาพิรุณโลหิต ซึ่งลวี่จิ้งอันเข้าถึงอย่างท่องแท้ตั้งแต่อายุสิบแปด จอมยุทธวัยเยาว์ควงทวนคู่ท่องทะยานทั่วยุทธภพ จนฉายาพิรุณโลหิตกระเดื่องดังในเวลาอันสั้น ลวี่จิ้งอันโลดโผนใต้คมเหล็กหยาดโลหิตอยู่แรมปี กว่าจะสมยอมเข้าสังกัดวังเมฆาขจี ประหนึ่งวิหคพลัดถิ่นย่อมต้องหาร่มเงาใต้ต้นไม้ใหญ่พักอาศัย เสียดายที่ร่มเงาไม้หาได้มีนกไร้รากเพียงตัวเดียว ไม่เพียงมีพญานกอินทรีซ้ำยังมีนกพิราบสีขาวสะอาดช่วยเปิดหูเปิดตา ถึงความไพศาลแห่งวรยุทธ ครั้งแรกที่ทวนคู่ในมือมันได้ประลองกับกระบี่คู่ของจูเง็กจือ ลวี่จิ้งอันได้พบพลังปราณสายพรตอันเที่ยงแท้ ได้พบเพลงกระบี่อันหมดจรด ชั่วพริบตาแห่งความหละหลวม กระบี่เยียบเย็นพลันแตะถูกหน้าอกมันเพียงข่วงครึ่งกระบวนท่า การประลองคัดเลือก10หัวหน้าหน่วยครั้งนั้น ลวี่จิ้งอันสูญเสียตำแหน่งอันดับสี่ไปเพียงครึ่งกระบวนท่า เป็นครึ่งกระบวนท่าที่มันไม่ยินยอมพร้อมใจ… ปมในใจขยายใหญ่ขึ้นทุกคราที่เห็นกระบี่คู่ของจูเง็กจือแกว่งไกว เร่าร้อนทุกคราที่เห็นความภาคภูมิโอ่อ่าในชุดขาวเปล่งประกายเรืองรอง ยามนี้เมื่อกระบี่คมวาวมาขวางกั้นหนทางจู่โจม ได้เห็นแววตาระรื่นของจูเง็กจือ คล้ายไร้ความยำเกรงทวนในมือมันแม้แต่น้อย…เพลิงโทสะจึงโหมกระหน่ำใส่ พร้อมแผลลึกในใจที่ถูกสกิดให้เจ็บแปลบจนแสบระคาย ….โอกาสแก้มืออยู่ต่อหน้านี้แล้ว !…. ลวี่จิ้งอันแผดร้องในใจ พลางเปลี่ยนทิศทางตวัดแทงทวนเข้าใส่จูเง็กจืออย่างไร้ปรานี ทวนคู่ถาโถมคราเดียวแปดกระบวนท่า แทงสกัดต่อเนื่องยังจุดตายทั่วร่างอย่างเหี้ยมโหดคลุ้มคลั่ง ราวกับห่าฝนบ่าทะลัก จูเง็กจืถอยล่นตามสัญชาตญาณ ใช้สองกระบี่ปัดป่ายแปดกระบวนท่าติด แต่ทวนกราดเกรี้ยวยังโหมกระหน่ำรุกไล่ หากคราวนี้จูเง็กจือหาได้ถอยล่นสักครึ่งก้าว ชายชุดขาวตวัดกระบี่โต้ตอบ หนึ่งฟันหนึ่งแทงในกระบวนท่าสายลมร่ายวนเวียน แยกโจมตีสองทิศทางจนทวนต้องชะงักกลับมาปัดป้องแทนการรุกไล่ แล้วพลิกกลับฉับพลันเป็นแทงสวนดุดัน ประกายอาวุธกระทบกันเคร้งคร้าง หักล้างทั้งพลังปราณทั้งกระบวนท่า จนเห็นเป็นเพียงเงาร่างขาวและแดงสองสายโรมรันไหลวน ไล่ห้ำหันราวพายุคลุ้มพิรุณคลั่ง พุ่งปะทะจนอากาศแปรปรวน “ พวกเจ้าหยุดมือกันเดี๋ยวนี้ ! ” เสียงตวาดห้ามปรามของกงกงเฉียน เหมือนจะไม่ระคายเข้าหูมันทั้งคู่ ทั้งทวนและกระบี่ยังระเริงพลังปราณเข้าสัปยุทธ โดยไม่อาจเบี่ยงเบนแยกสมาธิมองผู้ใด พอกงกงเฉียนคิดจะก้าวเข้าไปตวาดซ้ำ พลันต้องมีอันชะงักค้างเมื่อยอดยุทธอีกสองคนตรงกาบเรือเริ่มเคลื่อนขยับศาสตรา อมิตาร์ลอยตัวขึ้นฟ้าวาดวงดาบทันทีที่เห็นผู้คนเสียสมาธิ จากการเบี่ยงเบนสายตาชมการสัปยุทธของสององครักษ์… เพียงพริบตาคือชัยชนะของผู้ฝึกยุทธ… จางจงตงย่อมล่วงรู้กฏข้อนี้แต่แรก เพียงอมิตาร์โคจรพลังมันก็ปล่อยห่วงทองร้อยเป็นสายสะบัดฟาด พอนางโจนร่างลอยตัวมันก็เผ่นโผนติดตาม ดายโค้งกับห่วงทองฟาดปะทะรุนแรง จนเกิดประกายไฟวิบวับกลางฟ้าราตรี ทั้งเบื้องบนเสากระโดงและเบื้องล่างพื้นเรือล้วนมียอดฝีมือประลองวิชา พร่างพราวตาจนผู้คนไม่เหลือบแลหลิวหงเหินกันสักสายตา หากมันต้องการหลบหนี เวลานี้ช่างเหมาะสมยิ่ง ทว่าหลิวหงเหินกลับกระทำสิ่งไม่คาดคิด …เมื่อปล่อยให้พัคนารินนั่งลงกับพื้น ร่างระหงในชุดครามพลันโผวิ่งหลบเหลี่ยงเหล่าองครักษ์สิบกว่านาย พุ่งตรงเข้าหากงกงเฉียนพร้อมปล่อยเพลงหมัดเย้ยยูไล หมายมั่นเข้าใบหน้าชรา เสียดายที่กงกงเฉียนมีพลังการฝึกปรือ50กว่าปี เพียงลมปราณมาดร้ายพุ่งเข้าใส่มันจึงรับรู้ได้โดยพลัน ขันทีเฒ่าเพียงเบี่ยงตัวหลบ หมัดแรกจึงพลาดเป้าไปแค่คืบ ถึงกระนั้นหลิวหงเหินยังจู่โจมตามติด จากหมัดสลับเป็นฝ่ามือวกกลับแล้วปล่อยหนึ่งหมัดหนึ่งฝ่ามือ รุกรานกราดเกรี้ยวอย่างไม่เคยพบเห็น ทั้งวิชาฝ่ามือและเพลงหมัดล้วนเป็นวิชาแกร่งกร้าว ซึ่งไมใข้แนวทางถนัดของมัน การทุ่มเทใช้สองวิชาจึงผิดวิสัยปักษาสุราจอมเสเพลอย่างไม่เคยปรากฏ… แม้แต่กงกงเฉียนผู้มีพลังปราณสูงเยี่ยม ยังไม่วายต้องถอยล่นเมื่อประสบกับการลงมือของมัน เพียงแต่พลังการฝึกปรือของทั้งคู่ห่างชั้นกันหลายสิบปี ผ่านไป30กระบวนท่ากงกงเฉียนก็ช่วงชิงการมีเปรียบทางกระบวนท่าไว้สิ้น ชั่วพริบตาฝ่ามือเย็นยะเยือกของขันทีเฒ่า ก็ตรงเข้าปะทะฝ่ามือกับหลิวหงเหิน เป็นการหักล้างพลังภายในกันซึ่งหน้า…จนหลิวหงเหินมีอันต้องเซถอยไปหลายก้าว ชายหนุ่มรู้สึกปั่นป่วนลมปารณไปทั่วร่าง สองมือสะท้านเย็นคันคะเยอ ราวกับมีเข็มน้ำแข็งนับร้อยทิ่มแทงใส่ “ ฝีมืออ่อนด้อยเช่นนี้ คิดจะมาให้ข้าขยี้เล่นหรือไร ? ” ไม่ทันสิ้นเสียง หลิวหงเหินพลันจู่โจมเข้าใส่โดยไร้เสียงโต้ตอบใดๆ เป็นการใช้ฝ่ามือกระหน่ำรุกรวดเร็ว จนองครักษ์นับสิบที่ถืออาวุธในมือยังไม่ทันได้เข้ากีดกัน กระบวนท่าบุปผาลอยลมผสานเข้ากับฝ่ามือใจจำพราก รุกเข้าประชิดตัวขันทีเฒ่าในชั่วลัดนิ้วมือ ทั้งคู่หักล้างกันอีกสิบกว่ากระบวนท่า ก่อนที่หลิวหงเหินจะย่อตัวสะบัดแขนจู่โจมที่เอว จนขันทีเฒ่าต้องใช้มือสะกัดกั้น แต่ชายหนุ่มกลับกระโดดตัวลอยจี้ดัชนีพุ่งเข้าใส่กระหม่อม กงกงเฉียนตวัดมือตั้งรับอีกครา หากดัชนีนารีเป็นอื่นยังคงเบี่ยงเบนไม่อาจคาดเดา แทนที่จะจี้ตรงกลับเบี่ยงตวัดลงข้างเอว แล้วสลับดัชนีเป็นฝ่ามือคว้าจับกุญชร ตรงเข้าตะปบเอาขวดหยกที่ห้อยอยู่ข้างเอวขันทีเฒ่ามาไว้ในอุ้งมือ กงกงเฉียนตวาดกร้าว พร้อมปล่อยพลังฝ่ามือเข้าใส่… หลิวหงเหินหมุนตัวกลับแล้วปัดป่ายฝ่ามือแรก หากฝ่ามือยะเยือกที่สองได้พุ่งทะลวงปะทะหน้าอกหลิวหงเหินเต็มแรง พลันนั้นร่างสูงระหงต้องลอยละลิ่วไปวาเศษ ก่อนจะล่วงตกกระแทกพื้นดัง โครม !… ” พี่ชาย ! เป็นไรมั้ย ? "…พัคนารินรีบวิ่งเข้ามาประคองขายหนุ่ม ที่กำลังพะยักพะเยิดขึ้นจากพื้น หลิวหงเหินฝืนยิ้มทั้งที่เจ็บปวดไปทั้งหน้าอก “ ธุระข้าเสร็จสิ้นแล้ว ! ”….ชายหนุ่มยกขวดหยกในมือให้พัคนารินดู แววตาเจิดจ้าคล้ายได้ชัยในการประลองก็ไม่ปาน ” จับพวกมันไว้ ! "… กงกงเฉียนออกคำสั่งกร้าว ขณะที่รู้ตัวว่าเสียทีหลิวหงเหินเสียแล้ว เมือ่เห็นขวดหยกเขียวขจีอยู่ในมือมัน เหล่าองครักษ์เสือแดงสิบกว่านายเดินกำทวนตรงรี่เข้าหาคนทั้งคู่ ทว่าเหล่าองครักษ์มีอันต้องแตกกระเจิง เมื่อพื้นเรือเกิดพังทลายเป็นช่องโพรงใหญ่ พร้อมกับที่ร่างมหึมาลอยขึ้นจากช่องแตก แล้วกระโดดลงมาขว้างหน้าชายหญิงทั้งคู่ไว้ “ เหตุใดมาเชื่องช้านักเล่า ? ”…หลิวหงเหินถามเสียงแหบแห้ง ขณะหยัดยืนโดยมีพัคนารินคอยประคองไหล่อยู่ข้างๆ “ มาช้าดีกว่าไม่มานะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า…” ชายอ้วนหัวร่อร่า พลางออกหมัดเข้าใส่องครักษ์ในบัดดล กระบวนหมัดอันแข็งกร้าวทะลวงชกจนทวนหลายเล่มปลิวกระเด็น ตามต่ออีกสามเพลงหมัดซัดร่างองครักษ์เจ็บจุกลงไปกองกับพื้น รุกไล่จนใกล้ตัวกงกงเฉียนเข้าไปทุกขณะ… “ ระวังด้านบนไว้ ! ” หลิวหงเหินร้องลั่น พร้อมกับเผนโผนเข้าคว้าชายอ้วนไม่ให้ก้าวต่อ หยุดเพียงชั่วครู่ ประกายสีทองวับวาวโฉบผ่านร่างมันไปแค่คืบ “ อ้ายหย่า !…หวาดเสียวนัก ! ” ชายอ้วนตื่นตะลึงกับห่วงทองที่ล่อนผ่านใบหน้า ตรงเข้ากระทบพื้นแล้วกระเด็งลอยกลับมาเข้ามือจางจงตง ที่ล่อนลงมาขวางหน้ากงกงเฉียนไว้ “ กำลังขวัญเทียมฟ้านักเจ้าเดรัจฉาน บังอาจแตะต้องขุนนางชั้นผู้ใหญ่เชียวรึ ? ” จางจงตงยกแขนตั้งห่วงขวาง โดยสายตายังจับจ้องไปยังอมิตาร์ ที่กำลังพลิ้วกายล่อนลงมายืนเคียงข้างเหล่าชายชาญบนพื้น “ ท่านปลอดภัยดีอยู่หรือไม่ ต้าร์น้อย ? ” ชายอ้วนปรับเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มประจบประแจ้ง ว่องไวราวนักแสดงงิ้วถอดหน้ากาก “ เจ้าสมควรถามคู่ประลองของข้าดีกว่าฉางยิ่น มีผู้หนีดาบข้าหัวซุกหัวซุนนัก ” นางชม้ายตามองยั่วจางจงตง ทั้งที่ยังเกร็งพลังวัตรแผ่พุ่งลงปลายดาบ “ ถูกต้องแล้ว สมควรถามผู้ถอยหนีจึงจะถูกต้อง ” ฉางยิ่นกล่าวโอนอ่อนผ่อนตาม ยิ้มประจบประแจ้งยิ่งกว่าพ่อค้าตามง้อลูกค้ารายใหญ่ “ เจ้าคนถือห่วง เจ้าปลอดภัยดีหรือไม่ ? ” มันพาลซื่อถามตรงๆ จนผู้ฟังยิ้มไม่เข้าร้องไห้ไม่ออก “ ผายลมสุนัข จะมีผู้ใดทำอันตรายหัวหน้ารองได้เล่า ” สุ่มเสียงลอยละล่องมากับสายลม พร้อมกับเงาร่างสีแดงเข้มพุ่งลงมายืนเคียงข้างจางจงตง สองมือกำทวนเกร็งเขม็ง ฮ่า ฮ่า ฮ่า…" พี่จิ้งอันกล่าวถูกต้อง เสียดายการกระทำไม่ค่อยถูกต้องนัก….แลกเปลี่นนวิชายังไม่บรรลุถึงปลายทาง เหตุใดท่านรีบพรากจากมาเล่า ? " เป็นจูเง็กจือโจนทะยานติดตามมา หากมันกลับล่อนลงเคียงข้างหลิวหงเหิน หาได้เข้าไปรวมกลุ่มกลับเหล่าองครักษ์ไม่ “ บัญชีของเราอย่างไรต้องชำระแน่ หากเวลานี้มันสมควรแล้วหรือ ? ” ลวี่จิ้งอันกล่าวฉะฉาน พลางก้าวเปิดทางให้กงกงเฉียนที่อยู่ด้านหลังให้ผู้คนเห็นถนัดตา “ เง็กจือ เจ้าคิดช่วยเราจับคนร้าย หรือคิดจะเป็นคนร้ายเสียเอง ? ” กงกงเฉียนกล่าวเฉียบคม เย็นชา ราวลูกศรน้ำแข็งทิ่มแทงถึงจิตใจ จูเง็กจือหนาวสะท้านไปทั้งร่าง รู้สึกสับสนในใจ จำต้องหันมองสหายขี้เมาอย่างลังเล หลิวหงเหินได้แต่ส่ายหัวเชื่องช้า พลางฝื้นยิ้มกล่าว “ เจ้าสมควรกระทำหน้าที่อันไม่ผิดต่อบรรพชนเถอะ ส่วนหนี้สินสุราของเรา เพียงนำเมรัยมารดราดหลุมศพข้าก็นับว่าไม่ผิดคำพูดแล้ว ” จูเง็กจือได้แต่ทอดถอนใจ มองสลับไปมาระหว่างกระบี่ในมือ กับใบหน้าหลิวหงเหิน “ หัวหน้าองครักษ์สี่ !”…. กงกงเฉียนตวาดเรียกสติกึกก้อง ทำเอาจูเง็กจือได้แต่ก้าวเนิบนาบเข้ากลุ่มขันทีเฒ่า “ สุนัขรับใช้ อย่างไรก็เป็นสุนัขรับใช้ !” อมิตนร์กล่าวเน็บแนม จนจูเง็กจือสะดุ้งมองนางด้วยความละอายใจ “ โจรโฉดหญิงชั่ว ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาแล้วกระมั้ง ” เสียงกัมปนาทของขันทีเฒ่า ราวกลองรัวลั่นออกรบ องครักษ์เสือแดงนับสิบชักทวนตั้งท่ารบ โดยมีเหล่าทหารกว่าสามสิบคนวิ่งออกมารายล้อมพวกหลิวหงเหินไว้สิ้น บนเสากระโดงเรือทั้งสี่ต้นยังมีทหารยึดเกาะบนลำต้น โดยยกหน้าไม้เล็งตรงมายังคนทั้งสี่ ส่วนจางจงตงและลวี่จิ้งอันล้วนตั้งอาวุธ โคจรลมปราณเตรียมจู่โจม สถานการณ์บีบคั้น เหมือนไม่อาจหนีการหลั่งเลือดไปได้ “ ต้าร์น้อย ท่านรีบพาแม่นางน้อยนี้หนีไปเถอะ เดี๋ยวข้าจะต้านรับคนเหล่านี้ไว้เอง ” ฉางยิ่นกล่าวกระซิบกระซาบ ทว่าโฉมสะคราญชุดเหลืองกลับหันมองชายอ้วนด้วยสีหน้าฉงน “ เหตุใดข้าต้องพานางหนีด้วยเล่า ” “ สมควรพาหนีเป็นอย่างยิ่งต้าร์น้อย เพราะแม่นางน้อยรู้วิธีนำเอาจักรกาลออกจากตัวพวกเราได้ ” พอคำว่าจักรกาลหลุดออกจากปาก สายตาสีฟ้าสวยซึ้งเพ้งมองพัคนารินไม่กระพริบ เช่นเดียวกับกงกงเฉียนที่ถลึงเหลือกตามองนาง ราวเหยี่ยวนักล่ากระหายเหยื่อน้อย “ ยังไม่รีบลงมืออีก หรือจะให้ข้าเข้าไปจับมันเอง ! ” สิ้นเสียงสั่ง อาวุธคมวาวนับสิบต่างตวัดฝ่าอากาศ หมายมั่นไปทางเดียว ทว่าทุกศาสตรากลับค้างคากลางอากาศกลางคัน เมื่อแสงสว่างวาบฉายอาบไปทั่ว พร้อมเพรียงกับที่ปรากฏร่างกงกงเฉียนนับร้อยคนยืนสง่าผ่าเผยกระจายไปทั่วเรือ ขวางกั้นจนบดบังชายหญิงทั้งสี่ไว้สิ้น ทำให้ทุกผู้คนชะงักค้างไม่อาจลงมือกับผู้มีศักดิ์ฐานะเหนือล้ำกว่าใคร “ มายากลขั่วช้า เร่งลงมือโดยไว้ ! ” กงกงเฉียนทั้งร้อยกว่าคน ต่างตวาดลั่นเป็นประโยคเดียวกัน เสียงกึกก้องไปทั่วลำเรือจนผู้คนตะลึงลาน ไม่อาจกระดิกกระเดี้ยลงมือ “ ไอ้พวกเหลวไหล ใช้การไม่ได้ ” ความโกรธขึงของขันทีเฒ่า ถูกระบายออกไปกับฝ่ามือกราดเกรี้ยวรุนแรง พลังฝ่ามือทะลุผ่านร่างกายเบื้องหน้าดั่งฝ่าอากาศ กงกงเฉียนฟาดติดต่ออีกสาม-สี่ครั้ง ทั้งหมดล้วนทะลุเลยผ่านร่างกายเสมือนมันไปสิ้น พอจะปล่อยกระบวนท่าตามต่อ พริบตาร่างเสมือนกลับอันตารธาน ไร้ตัวตนผู้ใดให้มองเห็น หลงเหลือเพียงขันทีชราต้นแบบ ที่กำลังขับเขี้ยวเคี้ยวฟัน เนื่องจากเบื้องหน้ามันไร้สิ้นโจรทั้งสี่ให้จับกุม “ ไอ้พวกโง่เขลาบัดซบ ยังไม่รีบติดตาม จับกุมตัวพวกมันมา ” “ รับบัญชา !” …เสียงตระโกนดังสล่อนพร้อมเพรียง ครู่ต่อมาทุกผู้คนล้วนแยกย้ายกระจายกำลังเสาะหาผู้หลบหนี ไม่เว้นแม้แต่จางจงตงและลวี่จิ้งอันที่ออกคำสั่งเหล่าองครักษ์ ให้ติดตามมันไปยังเรือลำข้างๆ แต่เมื่อจูเง็กจือคิดจะขยับติดตาม กลับถูกห้ามปรามด้วยเสียงกระด้างเย็นชา “ เง็กจือ อยู่คุ้มกันข้างกายข้าที่นี่ อย่าได้พ้นสายตาข้าไปสักก้าวเชียว พลันนั้นชายขุดขาวรู้สึกถูกตีตรวนด้วยโซ่ล่องหนในบัดดล…
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD