รูปเงาในความมืดเคลื่อนขยับเชื่องช้า ค่อยออกมาสู่แสงเรื่อเรืองของดวงจันทร์แรกที่เริ่มฉายรังษีนวลใย
เป็นราตรีอันสยดสยอง เมื่อได้เห็นอมนุษย์หลายสิบชีวิตขยับย่างมาอย่างพิกลพิการ ราวอสุรกายที่ผุดพรายขึ้นมาจากนรกอเวจี
“ ฉางยิ่น !…เจ้า…เจ้า…”
อมิตาร์กล่าวเสียงสั่นเครือ น้ำใสๆเออคลอหน่วยตา รู้สึกอัดอั้นสะเทือนใจเมื่อเห็นสหายผู้ซื่อสัตย์กลับกลายเป็นไม่ใช่คนไม่ใช่ปีศาจ
“ พี่สาวเราต้องรีบหนีแล้ว พวกมันมากันใหญ่แล้ว ! ” พัคนารินวิ่งเข้าไปเกาะแขนเตือนสติ
ทันใดนั้นเหล่าอสุรกายส่งเสียงคำรามฮึมฮ่ำ ก่อนจะดาหน้าวิ่งเข้าหาอมิตาร์
ทว่าพวกมันกลับถูกสกัดด้วยท่อนแขนบึกบึน หมัดทรงพลังของฉางยิ่นตรงเข้าชกอมนุษย์หลายตนกระเด็นไป ถึงกระนั้นเหล่าอสุรกายมีมากมายเกินไป มันต่างถาโถมมาจนฉางยิ่นต้องใช้ร่างใหญ่เข้าขัดขวาง ทั้งที่ตัวมันเริ่มกลายสภาพ จิตใจเริ่มเปลี่ยนไปใกล้หลงลืมความเป็นมนุษย์เข้าไปทุกขณะ
ฉางยิ่นร่ำร้องราวสัตว์ป่า ขณะร่างถูกโถมทับด้วยมนุษย์คางคกสุดคลุ้มคลั่ง
“ ฉางยิ่น ! ”…อมิตาร์ร่ำร้องสุดเสียง น้ำตานางไหลพรากขณะจูงมือพัคนารินวิ่งจากอสูรร้ายไป
โดยด้านข้างยังมีหลิวหงเหินช่วยพยุงดาบทองไท้ซานเร่งฝีเท้าตามไปไม่ห่าง
ทั้งสี่วิ่งฝ่าความมืดสลัวเลื่อน เข้าไปในผืนป่าสนอันรกเรื้อ โดยด้านหลังยังมีฝีเท้าอมนุษย์ไล่กวดติดตามกระชั้น เสียงคำรนคำรามกึกก้องไปทั่วในพงไพร
“ ท่านทิ้งข้าไว้นี่เถิดจอมยุทธหลิว …ข้า ข้า ข้า…เป็นตัวถ่วงพวกท่านเกินไป ! ” ดาบทองไท้ซานกล่าวระร่ำระลัก ทั้งที่เลือดมันไหลอาบทั่วร่าง
“ จะทิ้งท่านให้เป็นมนุษย์คางคกเพิ่มหรือไร เบื่อหน่ายความเป็นมนุษย์แล้วหรือพี่ชาย " หลิวหงเหินฝืนยิ้มกล่าว ทั้งที่ใบหน้าซีดเซียวเรี่ยวแรงถดถอย หากยังเหนี่ยวรั้งชายแขนเดียวไว้สุดกำลัง ไม่ยินยอมให้มันตกตายไปกับตา
แต่แล้วทั้งสี่พลันต้องหยุดชะงัก เข้ามาถอยรวมเป็นกลุ่ม เมื่อพบว่าเบื่องหน้ายังมีอมนุษย์กลุ่มใหญ่ยืนสับส่ายในความมืด คล้ายเป็นปีศาจเมามายได้แต่ไหวเอนเอียงมา
“ เหตุการณ์ตึงมือนัก เจ้ามีแผนอันใดหรือไม่ปีศาจสุรา ! ” อมิตาร์ถามด้วยความหวาดหวั่น เหงื่อซึมออกทั่วใบหน้า ขณะถอยกายมาชนกับหลิวหงเหินเข้าอย่างจัง
“ คงต้องใช้วิธีที่แม่นางถนัดแล้ว ” หลิวหงเหินอมยิ้มเจ้าเล่ห์ ชายตามองนาง
“ ฟันมันให้เละ ! ”
หลิวหงเหินกล่าวกระชับ พลางใข้ฝ่ามือฟันลงบนอุ้งมืออีกข้าง เป็นสัญญาณให้ทุกคนตื่นตัวเตรียมโรมรัน
อมิตาร์ชักดาบโค้งคมวาวเข้าขวางอก อีกมือกุมพัคนารินไว้ด้วยความห่วงใย เหมือนพี่สาวปกป้องน้องสาวคนเล็กก็ไม่ปาน ส่วนดาบทองไท้ซานที่อ่อนหล้ายังฝืนกำดาบชี้ลงต่ำ คิดใช้แรงเฮีอกสุดท้ายตวัดดาบให้มันขาดครึ่งไปสักตัวสองตัว
แต่แล้วการเคลื่อนไหวของอมนุษย์พลันชะงักหยุดนิ่ง เมื่อมีเสียงพิณกังวานใสเลื่อนไหลมา
มันเป็นเสียงกรีดสายอันอบอวลด้วยพลังวัตรลึกล้ำ จนผู้ฝึกวิชายุทธต่างรู้สึกถึงไออบอุ่นแทรกซึมเข้าภายใน
พลันนั้นบังเกิดโคมไฟสว่างไสวโพลงขึ้นทางทิศตะวันออก ผู้ยืนถือคบเพลิงเป็นชายวัยกลางคนหน้าตาเปี่ยมเมตตาในชุดเทา สวมหมวกผ้าทรงเหลี่ยม แต่งกายคล้ายหมอน้อยที่หลิวหงเหินพบพานในถ้ำไม่มีผิด
“ พวกท่านรีบเร่งมาทางนี้โดยไว อสุรกายหาได้หยุดนิ่งนานนักหรอก !” มันเร่งกู่ร้องเรียก
โดยทั้งสี่ไร้ข้อกังขาใดๆ ต่างพากันเคลื่อนไปหาชายชุดเทาว่องไวเท่าใจคิด
“ พวกท่านตามข้ามาให้กระชันชิด อย่าได้คาดสายตาจากคบไฟเด็ดขาด ภายในป่านี้จัดสร้างค่ายกลแปดทิศแปรธาตุไว้ หากหลงไปเกรงว่าต้องอยู่ภายในป่านี้ทั้งชีวิตแล้ว ” ชายถือคบไฟกล่าวราบเรียบ พลางหันหลังเดินนำคนทั้งสี่ไปอย่างว่องไว
ทั้งสี่ล้วนปฏิบัติตามอย่างว่าง่าย เดินตามหลังที่เร็วรี่อย่างไม่ให้คาดสายตา ถึงกระนั้นหลิวหงเหินยังไม่วายช่างเจรจา ชักพาเอาความอยากรู้ถามไปขณะก้าวเดินตาม
“ ท่านคงเป็นศิษย์ของเซียนโอสถกระมั้ง ? "
“ เป็นข้าพเจ้าตงอิดเทียน ศิษย์คนแรกของท่านอาจารย์ ”
“ เลื่อมใส เลื่อมใส ….ที่แท้เป็นพี่ใหญ่แห่งเกาะทิพย์โอสถนี่เอง ” หลิวหงเหินกล่าวหน้าระรื่น ทั้งที่มีเงื่อออกเต็มใบหน้า
" เกรงว่าที่ท่านผู้อาวุโสจ้าวเกาะต้องเร้นกายซ่อนตน เป็นเหตุจากศัตรูกล้าแกร่งนามเทพอสรพิษใช่หรือไม่ “? ”
“ จอมยุทธท่านนี้คาดการณ์ได้หลักแหลมนัก เพียงแต่ผู้มาไม่อาจเรียกศัตรูได้เต็มปากนัก ” มันหันหน้าหาคู่สนทนาชั่วครู่ ก่อรจะกลับมองเบื้
องหน้า ก้าวเดินตรงไป
“ หากนับตามศักดิ์ฐานะข้าพเจ้าควรเรียกเทพอสรพิษว่าอาจารย์ปู่จึงจะถูกต้อง ”
คำพูดมันทำให้ทุกผู้คนแตกตื่นขึ้นทันตา ไม่คิดว่าผู้เพาะบ่มให้อสุรกายกระจายทั่วเกาะ จะเป็นปรมาจารย์ของเซียนโอสถเอง
“ ท่านอาจารย์ล่วงรู้มาเนินนาน ว่าจะช้าจะเร็วเทพอสรพิษต้องมาคิดบัญชีเก็บหนี้ชีวิตจากท่านในสักวัน จึงจัดสร้างค่ายกลนี้ไว้รับมือ เพราะหนึ่งคือไม่อาจต่อสู้หักล้างกับอาจารย์ผู้ทรงคุณ และอีกหนึ่งคือต้องปกป้องวิชาอันทรงคุณไม่ให้มารร้ายครอบครอง ”
กล่าวถึงตรงนี้เสียงพิณสุดเพริศแพร้วพลันขาดหายลับไปแล้ว พร้อมๆกับที่ทุกคนออกมาจากแนวป่า มายืนอยู่ต่อหน้าศิลาสูงตระหง่าน ที่ถูกจัดเรียงเป็นทิวแถวสลับซับซ้อน ทอดยาวไปตลอดช่องเขาแคบ
“ นี่คงเป็นค่ายกลอีกชนิดใช่หรือไม่ ? ” หลิวหงเหินถามแผ่วเบา โดยภายในรู้สึกอิดโรยนัก
“ ถูกต้องแล้ว !….แต่พวกท่านยังไม่ต้องรีบเร่งเข้าสู่ภายในหรอก เพียงอยู่ในชั้นนี้ก็นับว่าปลอดภัยแล้ว ” มันกล่าวพลางเดินชูโคมนำไปที่ข้างผาหิน ที่มีฟื้นไฟกองเล็กพร้อมโถน้ำดื่มจัดเตรียมไว้
“ พวกท่านล้วนบาดเจ็บ มานั่งพักผ่อนให้ข้าพเจ้าตรวจดูอาการก่อนเถิด ” มันกล่าวรวบรัดพร้อมกับเชื้อเชิญดาบทองไท้ซานให้นั่งลงเคียงข้าง ก่อนจะเริ่มตรวจบาดแผลตรงข้อต่อไหล่ที่ถูกดาบสะบั่นขาดของมัน
“ พี่ชายนั่งลงก่อนเถอะ ดูหน้าพี่ซีดเป็นไข่ต้มแล้ว ” พัคนารินกล่าวพลางเข้าไปพยุงหลิวหงเหิน ให้นั่งลงบนคอนไม้ แล้วคว้าเอาโถบรรจุน้ำส่งให้
“ เด็กอกตัญญูรู้จักแต่พี่ชายรึ ? ” อมิตาร์กล่าวประชดประชัน ขณะหย่อนกายนั่งลงอย่างเชื่องช้า
“ โถ่พี่สาว !….ก็พี่ชายเค้าป่วยนิ จะไม่ให้ห่วงได้ยังไง ส่วนพี่สาวน่ะทั้งเก่งทั้งสวย แถมยังมีพี่ฉางยิ่นค่อยข่วยเหลือ …..” กล่าวถึงตอนนี้พัคนารินพลันต้องยกมือขึ้นปิดปาก รู้สึกถึงความไม่ควรพูดหลุดไหลไปแล้ว
ชะตากรรมของฉางยิ่นทำเอาอมิตาร์ได้แต่ทอดถอนใจ แม้นางจะไม่รู้สึกรักใคร่ฉันท์ชู้สาว หากความผูกพันธ์ที่ร่วมเดินทางมาด้วยกันหลายปี ล้วนก่อเกิดความรู้ใจประหนึ่งญาติสนิทขึ้นมา
“ เรียนถามท่านหมอ ผู้ถูกพิษสุคนธราพอมียูบยารักษาได้หรือไม่ ? ” หลิวหงเหินไตร่ถามแทนใจนาง เมื่อเห็นอมิตาร์ซึมเซา หาได้ห้าวหาญดั่งเดิมไม่
“ เอะ !…จอมยุทธท่านนี้รู้จักพิษสุคนธราด้วยรึ ?….ประหลาดแท้ ! นอกจากเทพอสรพิษแล้ว ทุกผู้คนล้วนเรียกมันว่าพิษอสูรเขียวทั้งสิ้น ! ”…มันแหง่นหน้าขึ้นจากการทำแผล มีสีหน้าแปลกประหลาดปนแตกตื่นใจยิ่ง
“ เป็นหมอน้อย เซียวหยวน บ่งบอกต่อข้าพเจ้ามา ”
“ ผู้ใดกันเซียวหยวน ? ”
ราวกับฟ้าผ่าเปรี้ยงลงกลางหัว !…หลิวหงเหินรู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งร่าง
“ เป็นศิษย์น้องเล็กของท่าน อายุราว17-18 มันว่าชื่อเซียวหยวน หรือจะมีชื่ออื่นอีก ” หลิวหงเหินกล่าวขึ้นด้วยความประหม่าสุดระงับ รู้สึกถึงเค้าลางอัปมงคลเข้ากร้ำกราย
“ ผิดท่าแล้ว !….น้องเล็กเราชื่อมั่นหลาง ปีนี้อายุสามสิบเศษแล้ว ! ”….
มันแตกตื่นยืนขึ้นอย่างลนลาน ดั่งพบปีศาจร้ายไล่ล่าเข้าใส่
ทันใดนั้นพลันบังเกิดเสียงกัมปนาทขึ้นในความมืด สะท้อนสะท้านไปทั่ว โดยไม่แน่ชัดนักว่ามาจากทิศทางใด…
“ นายท่านหลิว หลงลืมคำมั่นสัญญาว่าจะไปหาหมอน้อยที่ถ้ำแล้วกระมั้ง ? ” …
ทุกผู้คนตื่นตระหนกดั่งพบภูตพราย รูปเงาเคลื่อนฉับไวกว่าสายฟ้าฟาด เพียงพริบตาเด็กหนุ่มหน้าผ่องใสพลันมายืนอยู่ข้างศิษย์พี่ใหญ่ราวล่องหนหายตัวได้…
“ เป็นท่าน…ท่าน..! "
เสียงร้องแตกตื่นของมันยังเขื่องช้ากว่าอุ้งมือเด็กหนุ่มหลายเท่า มือขาวนวลคว้าเข้าที่ข้อมือศิษย์พี่ใหญ่ และทันทีนั้นแสงสว่างพลันเจิดจ้าเรืองรองออกมาจากช่องท้องเด็กหนุ่ม…
เป็นแสงอันสว่างโล่ราวดวงอาทิตย์ฉายรังษี ผสานเข้ากับเสียงร้องโหยหวนของศิษย์พี่ใหญ่ อันกู่ก้องด้วยความเจ็บปวดดั่งรวดร้าวไปทั้งร่าง
ชั่วอึดใจ เมื่อแสงสว่างสาปสูญ…หลิวหงเหินพลันสะดุ้งตัวลอย มองภาพเบื้องหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา
ศิษย์พี่ใหญ่ผู้นั้นกลับกลายสภาพเป็นศพแห้งกรังนอนตายซากอยู่แทบเท้าเด็กหนุ่ม ที่ตอนนี้ดูมันอ่อนเยาว์ลงไปอีกหลายปี คล้ายเป็นเด็กแรกรุ่นอายุ13ได้ละมั้ง
“ จักรกาลเอนโทรปี. .” พัคนารินตะโกนก้อง
พร้อมเพรียงกับที่อมิตาร์ทุ่มเทกระบวนท่า ชักดาบโค้งคมวาวพุ่งปาดเข้าใส่
“ เจ้าคือเทพอสรพิษ ! ” นางตะโกนกร้าวไปกับกระบวนท่าหมายชีวิตไร้ปรานี
ทว่าเพียงวาดดาบไม่ถึงครึ่งกระบวนท่า กลับถูกพลังลมปราณจากปลายนิ้วเด็กหนุ่ม พวยพุ่งออกฝ่าอากาศม้วนหมุนแรงทะลวงแกร่งกล้าตรงเข้าใส่ไหล่ซ้ายนาง จนร่างบอบบางปลิวกระเด็นไป
อมิตาร์ทั้งเจ็บปวดสุดแสน ทั้งสะทกสะท้านอย่างไม่เคยปรากฏ ที่ได้พบพานผู้ทำร้ายนางได้ในครึ่งกระบวนท่า
“ พี่สาวเป็นไรมั้ย ! ”…พัคนารินรีบวิ่งเข้าไปประคองนาง
ซึ่งนางล้วนกระอักกระอ่วนในทางเดินชีพจร จนสำลักโลหิตออกมาคำใหญ่ รู้สึกว่าซีกซ้ายในกายนางชาด้านไปทั่ว
“ นี่เป็นวิชามารอันใดกัน ! ”…นางร้องกราดเกรี้ยวพร้อมกระชับดาบเร่งฟาดฟันอีกครั้ง
แต่ครานี้เด็กหนุ่มกลับสะบัดมือเบาๆ ก็เกิดลมปราณดึงดูดมหาศาล ส่งแรงเข้าใส่ข้อมืออมิตาร์จี้พลังจนมือนางคลายดาบ แล้วพลังปราณจึงดึงดูดเอาดาบโค้งม้วนหมุนลอยคว้าง ฝ่าอากาศตรงเข้ามาในมือมัน
ราวกับถูกสายฟ้าฟาดกระหน่ำเป็นพันสาย นี่คือสภาวะที่อมิตาร์สิ้นไร้ถึงที่สุด แม้แต่ดาบศักดิ์สิทธิ์อันเป็นประทีปหนึ่งเดียว ยังไม่อาจปกปักรักษา….
“ อย่าทำพี่สาวนะ ! ” พัคนารินตรงเข้าไปยืนขวางขั้นกลาง กางแขนปกป้องคนด้านหลังอย่างไม่เจียมตัวแม้แต่น้อย
“ ฮ่า ฮ่า ฮ่า…แม่หนูน้อยข้าไม่ทำร้ายพี่สาวเจ้าหรอก หากนางอยู่นิ่งๆอย่าได้คิดลงไม้ลงมืออีก ” มันกล่าวพลางใช้สายตาสุกใสเหลือบมองไปยังหลิวหงเหิน และดาบทองไท้ซาน ซึ่งบัดนี้ยืนสั่นงันงกจนดาบทองล่วงหลุดจากมือ
แม้แต่หลิวหงเหินยังถลึงเหลือกตาค้าง เพราะล่วงรู้ระดับฝีมืออมิตาร์เป็นอย่างดี ในใต้หล้าไม่น่าจะมีคนที่สองสามารถสยบนางได้ด้วยการใช้ดัชนีเพียงครั้งเดียว
“ ที่แท้จักรกาลอีกเครื่องอยู่กับยอดปรมาจารย์แห่งยุค ต่อให้เป็นมังกรเก้าเศียรก็คงไม่กล้าต่อกรกับท่านหรอก !” หลิวหงเหินซ่อนความหวาดหวั่น เอ่ยกับมันด้วยใบหน้าแย้มยิ้มทั้งที่ใจเต้นโครมคราม
ฮึ..ฮึ..ฮึ…" นายท่านหลิว ความรู้ท่านกว้างขวางนัก แม้แต่จักรกาลยังรู้จัก " เสียงมันเล็กแหลมราวเด็กน้อยยังไม่แตกเนื้อหนุ่ม หากท่วงท่าสง่างามดั่งเชื้อพระวงศ์สูงศักดิ์ มันยืนเอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งถ่ายเทลมปราณลงไปยังคมดาบโค้ง ควบคุมให้มันหมุนวนดังใบพัดหมุน
“ ไม่ใช้พี่ชายรู้จักคนเดียว หนูก็รู้จัก ! แถมยังรู้ด้วยว่าจักรกาลของน้องเป็นจักรกาลเอนโทรปี ที่มีพลังงานเร่งกระบวนการเอนโทรปีของชีวิตอื่น เข้ามาย้อนกระบวนการเอนโทรปีในตัวผู้ใช้ ”
เทพอสรพิษเอียงคอขมวดคิ้วงง ก่อนจะหันไปมองหลิวหงเหินขอความเข้าใจ
“ น้องสาว เจ้าต้องอธิบายให้ง่ายกว่านี้อีกได้หรือไม่ แม้แต่ข้ายังฟังไม่เข้าใจเลย ” หลิวหงเหินขยับเข้าใกล้นาง พลางกระซิบเบาๆ
“ อ้อ ! ”….นางใช้นิ้วจรดริมฝีปากทำท่าครุ่นคิด ก่อนจะกล่าวสืบต่อ
“ เอาง่ายๆก็คือมันเป็นจักรกาลดูดกลืนพลังชีวิต สูบเอาพลังของคนหนึ่งไปให้อีกคนหนึ่ง เป็นการคดโกงเวลาแบบ All for One… เอาพลังทั้งหมดมารวมเป็นหนึ่ง ….แบบนี้พี่ชายเข้าใจมั้ย ”
ภายในหัวหลิวหงเหินแล่นไหลภาพเป็นน้ำหลาก ตั้งแต่ศพตายซากในเรือแพรพรรณ ถึงซากศพทั้งเก้าในถ้ำ จนถึงซากชีวิตที่เพิ่งปรากฏมาเมื่อครู่…..ทั้งหมดคือฝีมือของเทพอสรพิษนี่เอง….
…มันเป็นอสรพิษผู้ใช้ชีวิตคนอื่นมาลอกคราบ ให้ตัวเองเยาว์วัยขึ้นอย่างนั้นรึ !….
“ แม่หนูนี่ไม่เลวจริงๆ พูดเหมือนเป็นคนสร้างจักรกาลขึ้นมาเอง ”
แย่แล้ว !…อย่าบอกนะ !….หลิวหงเหินร้องก้องในใจ ทว่าไม่อาจห้ามปรามคำกล่าวของนางได้ทัน
“ แน่อยู่แล้วน้องชาย หนูเป็นหนึ่งในทีมสร้างมันขึ้นมานิ ”
เพียงสิ้นเสียงนาง ดาบในมือมันพลันถูกสะบัดลอยไปปักตรึงกับเสาหินเกือบมิดด้าม
“ ระวังไว้น้องสาว ! ”….หลิวหงเหินไม่ทันร้องเตือนเสร็จสิ้น
ร่างบอบบางของสาวน้อยพลันถูกดูดด้วยลมปราณกล้าแกร่ง ลอยละล่องไปเข้ามือเด็กชายราวถูกมวลน้ำทรงพลังฉุดรั้งร่างเข้าหามัน
“ น้องสาว ! ”…
หลิวหงเหินกับอมิตาร์ร้องก้องพร้อมกัน แต่ทั้งคู่กลับต้องกระโดดถอยหลัง เมื่อนิ้วเด็กชายพลันถ่ายเทพลังปราณฝ่าอากาศ ใส่ก้อนหินข้างอมิตาร์จนระเบิดแตกกระจาย ทำให้หลิวหงเหินต้องใช้ตัวป้องกันเศษหินไม่ให้โดนนาง
วิชาที่มันใช้คือ ‘ ดัชนีพิษพิสุทธิ์ ’ ที่ถ่ายทอดพลังปราณผสานไอพิษ จนเกิดเป็นกระแสพลังบริสุทธิ์อันทรงพลังเที่ยงแท้….ในรอบห้าร้อยปีที่ถือกำเนิดยอดวิชา ณ เทือกเขาง้อไบ้ เทพอสรพิษนับเป็นคนแรกที่บรรลุถึงขั้นไร้รูป ทำลายลักษณ์…
“ จ้าวจักรกาลอยู่ที่ใด รีบแจ้งมา ” เด็กหนุ่มกล่าวกร้าวจนสายลมรอบกายสะเทือนสั่น มือซ้ายบีบคอนางไว้มั่น
“ โอ้ย !…โอ้ย !….หนูก็อยากเจอเค้าเหมือนกันนั้นล่ะ ! ” นางตอบด้วยความอยากลำบาก หน้าตาบูดเบี้ยวนัก
“ เทพอสรพิษบุ่มบ่ามไปไม่เกิดผลหรอกท่าน ….ชนชั้นปรมาจารย์ที่วางอุบายมาแยบยลปานนี้ ใยมาพลีพลามเมื่อใกล้ถึงเส้นชัยปานนี้ ” หลิวหงเหินกล่าวเยือกเย็น ทั้งที่ใจร้อนเร่าดังไฟลน
“ หลิวหงเหินเจ้าคิดตีฝีปากอันใดอีก ” มันเหลียวมองด้วยแววตามุ่งร้าย อยู่ภายใต้หน้าตาไร้เดียงสานั้น
“ หาได้ตีฝีปากไม่ ท่านปรมาจารย์….ข้าพเจ้าเพียงเป็นผู้ฝักใฝ่ความรู้ เมื่อพบเจอผู้ปราดเปรื่องย่อมอดชื่นชมมิได้ ”
“ ข้ามีอันใดให้ปัษาสุราชื่นชมนัก ”…
" ย่อมมีมิใช่น้อย…อย่างแรกท่านเลือกที่จะลงโทษศิษย์ของเซียนโอสถด้วยการดูดพลังชีวิตมันสิ้น นั้นหมายความว่าท่านเรียกคืนวิชาทั้งหมดมาคืนใส่ตัว ส่วนสำนักอื่นท่านเลือกที่จะวางยาพิษให้กลายเป็นอสุรกาย นั้นแสดงว่าท่านไม่เห็นสำนักอื่นอยู่ในสายตา มีเพียงดัชนีพิษพิสุทธิ์ของท่านใช่มั้ยที่เป็นหนึ่งในใต้หล้า ? ”
“ ฮ่า ฮ่า ฮ่า…หลิวหงเหิน เอ๋ย หลิวหงเหิน เจ้าจะป้อยอข้าเพื่อสิ่งใดเด็กน้อย ” เทพอสรพิษหัวร่อเสียงใส คลับคล้ายทารกได้ของวิเศษก็ไม่ปาน
“ ไม่ใช้ป้อยอให้ท่านฟัง ให้คนที่อยู่หลังโขดหินฟังต่างหาก ”
เด็กน้อยชะงักหน้ายิ้มค้าง เหม่อมองก้อนหินอย่างระแวดระวัง
“ ว่าอย่างไรเล่าท่านเซียนโอสถ อาจารย์ของท่านมาทวงคืนวิชาจากลูกศิษย์ท่านหมดแล้ว หลงเหลือเพียงท่านคนเดียว สมควรมาส่งมอบแต่โดยดีเถิด ” หลิวหงเหินกล่าวเจื้อยแจ้วกับปราการหิน โดยมีเพียงความเงียบงันที่ตอบกลับ
“ ฮึ ฮึ ฮึ. ลูกเล่นของเจ้าใช้ไม่ได้ผลกับข้าหรอก นายท่านหลิว…อย่าถ่วงเวลาอีกต่อไปเลย "
เพียงสิ้นเสียง ใบหน้าเด็กน้อยพลันตื่นตะหนกขึ้นมาทันทีทันใด
เมื่อบังเกิดเสียงพิณดีดสายสยายทำนองเศร้าสร้อยมากับสายลม
เด็กชายพลันปล่อนมือจากพัคนาริน แล้วเผ่นโผนไปหน้าแท่นหินอันสูงตะหง่าน…
“ ชิงนี่อัน จะหดหัวอยู่ใย ออกมาร่ำเมรัยกับอาจารย์สักจอกสองจอกเป็นไร ” เด็กชายกู่ร้องท่ามกลางเสียงพิณที่แว่วทำนองอ้อยอิ่ง
แต่แล้วปรมาจารย์วัยเยาว์กลับหันไปหาหลิวหงเหิน แล้มใช้พลังปราณดึงดูดเอาร่างระหงมาไว้ในอุ้งมือ
“ โอ้ย ! โอ้ย !…เรื่องในสำนักเหตุใดต้องนำข้าไปเกี่ยวข้อง ! ” หลิวหงเหินร้องก้องเมื่อคอตกอยู่ใต้อุ้งมือมัน
“ อย่าได้ปากมากไป เจ้ารีบเดินนำข้าไปก่อน มิเช่นนั้นข้าจะทำให้โฉมสะคราญทั้งสองแปรเปลี่ยนเป็นคางคกตัวเมียแล้ว ” มันกล่าวเสียงเหี้ยม กวาดตามองสองหญิงสาวอย่างเย็นชา
ซึ่งบัดนี้พัคนารินรีบวิ่งเข้าไปหาอมิตาร์ รีบกุมมือนางไว้ด้วยความหวากลัว
หลิวหงเหินเงี่ยฟังเสียงพิณที่ยังบรรเลงไม่ขาดสาย มองไปรอบๆดูสถานการณ์ว่าไม่มีทางที่สองให้หลบรอด จึงเลือกจะวัดดวงกับปรมาจารย์ใบหน้าเยาว์วัยสักครา
“ หากผู้อาวุโสส่งเสริมเพียงนี้ ผู้น้อยมีแต่ทำตามแล้ว ”
ไม่ทันสิ้นเสียง หลิวหงเหินพลันเผ่นโผนเข้าไปในโขดหิน ทุ่มเทท่าร่างบุปผาลอยลมคิดจะทอดทิ้งเทพอสรพิษไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ ไอ้ตัวแสบ คิดหนีกระนั้นรึ ! ”
มันตวาดเสียงแหลม พลันโลดแล่นตามราวเหินบิน….