สำนักเตี๊ยมชังมีรากฐานยาวนานมานับสองร้อยปี สืบต่อวิชาสายตรงจากสำนักชวนชิงก่า ที่มีแนวทางฝึกลมปราณมากกว่าเพลงอาวุธ….เป็นการเพาะบ่มพลังปราณให้ชีวิตยืนยงไม่แก่เฒ่า กลับกลายเป็นเซียนเหนือวัฏฏะสงสาร
เมื่อวิชาสืบต่อถึงรุ่นหลัง วรยุทธจึงหมดจรดไปด้วยพลังปราณอันท่องแท้ แต่กระบวนท่าเพลงยุทธกลับเทอะทะสัตย์ซื่อยิ่ง
ยิ่งเมื่อเป็นฝ่ายรุกไล่เปิดศึก กระบวนท่าจึงเปิดช่องว่างรอยโหว่ไว้ทุกการเคลื่อนไหว…..เพียงสิบกระบวนเพลงที่อมิตาร์เป็นฝ่ายตั้งรับ ก็มองทะลุปรุโปร่ง สามารถเอาชัยในกระบวนท่าได้เพียงลัดนิ้วมือ …แต่นางกลับจงใจหักล้างพลังวัตรอันเป็นจุดแข็งของสำนัก ให้พวกมันแจ้งประจักษ์ !…
นางถ่ายเทพลังวัตรเข้าดาบโค้งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนส่งพลังเฉียบขาดฝาดฟันเข้าคทาเหล็กท่อน มุ่งหมายหักล้างพลังวัตรซึ่งหน้า
เช้ง !… เช้ง ! ….
เพียงอึดใจคทาเหล็กพลันถูกสะบั้นขาดเป็นสองท่อนในพริบตา
นักพรตหน้าดำพลันม้วนตัวตีลังกากลับหลังลงไปยืนกับพื้น ด้วยความตื่นตระหนก
“ แม่นางน้อย นับว่าเป็นยอดฝีมือรุ่นใหม่ที่หาได้อยากนัก ” นักพรตเซี้ยซ่งฟางกระโดดเข้าขวางนาง พลางสะบัดแส้ปัดอ่อนในมือ เกิดเป็นพลังลมปราณฝ่าอากาศ ขยายพลังกว้างขึ้นเรื่อยๆ ราวมีแรงกดดันแผ่กระจายจนน้ำในห้วยแหวกเป็นทาง เข้าหาอมิตาร์ที่ส่งฝ่ามือเดียวตั้งรับพลังพรต
ทำให้มือนางสะท้านสั่น รู้สึกมีกระแสอบอุ่นแผ่กระจายทั่วร่าง ภายในอุ่นละอุไปทั่ว
อมิตาร์ลอยถอยหลังอย่างตื่นตระหนก ล่วงรู้ในบัดดลว่าตนประมาทเกินไป ….นักพรตผู้นี้มีพลังฝึกปรือกล้าแข็งนัก แม้เพียงปล่อยพลังฝ่าอากาศโดยไม่ต้องแตะต้องตัวยังรุนแรงเพียงนี้….
“ เป็นถึงสำนักมาตรฐานในยุทธภพ คิดกลุ้มรุมหรือ ?…ข้าพเจ้าประลองมากับสองยอดยุทธแล้วท่านยังฉวยโอกาสลงมืออีก ! ” นางพลันกล่าวหลีกเลี่ยงไปโดยรู้แน่แก่ใจว่าไม่มีทางหักล้างกำลังภายในโดยตรงได้
“ ใช่ !..ใช่ !…พวกท่านเป็นชนชั้นผู้อาวุโส คิดรังแกผู้เยาว์หรือไร ? ”
“ เป็นสำนักใหญ่…เหตุใดไร้คุณธรรม ”
“ ใช่ !…ใช่ !… นักพรตทุศีล !..”
คิดไม่ถึงเหล่าผู้คนจากพรรคเล็กพรรคน้อยที่นางช่วยเหลือ ต่างตะโกนปกป้องนาง ทำเอาเซี้ยซ่งฟางชะงักสับสน ไม่อาจลงมือตามต่อ
“ แม่นางน้อย พวกเราต่างไร้เรื่องบาดหมาง หากท่านคือหมอวิเศษ สมควรเมตตารักษาผู้คนให้ทั่วถ้วนเถิด บัดนี้เจ้าสำนักเรามีอาการไม่ดีนัก ! ”
“ เชอะ !…ท่านพูดเอาแต่ได้ไปหรือเปล่า !…ทำร้ายคนบาดเจ็บ แล้วยังมีหน้าข่มขู่เอาการรักษาจากผู้คนอีก ”
“ นางมารโสโครก …ข้าขอแลกชีวิตกับเจ้า ! ”….เทียนหลังซู่ที่มีเลือดไหลอาบตาวิ่งพรวดด้วยความคลุ่มคลั่ง สองหมัดปลดปล่อยพลังรุนแรงแฝงไอแค้นเปี่ยมล้น
มันรุกไล่เข้าประชิดหาอมิตาร์ ทว่าพลังหมัดถูกสะกัดด้วยท่อนแขนใหญ่โต ตรงเข้าปะทะต้านทานจนสองลมปราณระเบิดโพลง ไอพลังแทรกหนองน้ำใต้เท้าคนทั้งคู่ จนเกิดคลื่นกระจายเป็นวงกว้าง…สาดซัดให้กระจายเปียกปอนผู้คนโดยรอบ
ฉางยิ่นถูกพลังปราณผลักส่งทำให้ต้องก้าวถอยหลังไปหลายก้าว ภายในมันกระอักกระอ่วนปั่นป่วนจนสำลักโลหิตออกมาคำใหญ่ ถึงกระนั้นมันยังปากกร้าว คำรามก้อง !…
“ ตาเฒ่าคงท้ง มาประลองให้แตกหักกันเลยประไร !”..
เทียนหลังซู่ที่บาดเจ็บภายในไม่ยิ่งหย่อน ก็ยังผนึกลมปราณพุ่งเข้าจู่โจมด้วยเพลงหมัดราชสีห์พิโรธสุดแค้นคลั่ง
สองยอดฝีมือตรงเข้าหักล้างเพลงหมัด ราวสัตว์ป่าคะนองคลั่ง เสียงคำรามแผดร้องกึกก้อง เป็นสองพลังอันดุดัน ถล่มทลายจนแผ่นดินสะเทือนเลื่อนลั่น
ยิ่งนานเสียงคำรามกัมปนาทเหมือนจะกระจายขยายไปทั่ว…
ด้วยประสาทอันว่องไว อมิตาร์รับรู้ได้โดยพลันว่าสุ่มเสียงอันกึกก้อง หาได้เกิดจากสองยอดฝีมือทั้งสองคน หากแต่เป็นเสียงที่ร่วมผสานของผู้คนนับสิบ มันคือเหล่าพรรคเล็กพรรคน้อยที่ยืนอยู่บนโขดหิน กำลังร้องคลั่งคร่ำครวญ เนื้อตัวกระตุกเกร็ง มีบางคนดิ้นพล่านลงไปเกลือกกลิ้งกับพื้น
อมิตาร์พลันต้องกระโดดถอยห่างลอยตัวลงไปยืนบนเนินทราย ที่มีเหล่านักพรตเตี๊ยมชังยืนละล้าละลังอยู่
“ เกิดอันใดขึ้นอันแน่ ! ”…นักพรตหน้าดำกล่าวแตกตื่นนัก
ทว่าความแตกตื่นของมันกลับเพิ่มทวีมากขึ้น เมื่อเหล่าศิษย์คงท้งทั้งแปดกลับมีอาการเกร็งกระตุก เฉกเช่นคนบนโขดหินไม่มีผิด
อ๊ า ก ก ก ก ก….
เหล่าคนพรรคเล็กพรรคน้อยกระเด้งคลุ้มคลั่ง เนื้อตัวพวกมันกลับกลายสภาพเป็นตะปุ่มตะป่ำ ออกเป็นสีขียวคล้ำ ดวงตามันแดงกร่ำ ปากอ้าค้างน้ำลายไหลย้อย
“ อย่าได้ถูกตัวมันต้าร์น้อย ! ”…ฉางยิ่นกู่ร้องก้องพร้อมหลบเลี่ยงจากวงหมัดของเทียนหลังซู่ แล้วกระโดดเข้าไปใช้เท้าเตะส่งชายผิวคางคกไปสามคน เข้าไปสมทบเคียงข้างอมิตาร์ที่กำลังตวัดดาบคุ้มกันตัว
“ พวกมันถูกพิษของเทพอสรพิษ…มีพิษกระจายทั่วตัว ถ้าถูกตัวมันมีอันต้องกลายสภาพเป็นเช่นเดียวกับพวกมันแล้ว ”
พอได้ยินคำว่าเทพอสรพิษ เหล่านักพรตเตี๊ยมชังพลันสะบัดแขนเสื้อเข้าคลุมมือ แล้วสะบัดท่าร่างผลักส่งพลังกระแทกชายคางคกปลิวกระเด็นไปหลายคน
ถึงกระนั้นมนุษย์คางคกกลับเพิ่มจำนวนมากขึ้น เมื่อเหล่าศิษย์คงท้งกลับดีดตัวขึ้นมาด้วยรูปลักษณ์อัปลักษณ์ยิ่ง พวกมันต่างโจนเข้ากอดรัดนักพรตจนอยากจะเลี่ยงหลบ
มีเพียงเซี้ยซ่งฟางที่สะบัดแส้ปัด สะบัดลมปราณช่วยเหลือศิษย์วัยเยาว์ให้รอดพ้นภัย
“ แย่แล้ว !…พัคนารินกับหลิวหงเหินเล่า ? ”…อมิตาร์ร้องลั่น ก่อนจะลอยร่างละลิ่วผ่านม่านน้ำทะลวงเข้าไปในโพรงถ้ำ
พร้อมเพรียงกับฉางยิ่นกระโดดตามติดไป…
…..ทั้งคู่พลันเบิกตาโพลง เมื่อพบว่าภายในถ้ำล้วนมีแต่ซากศพมนุษย์คางคกตกตายเกลื่อนกลาด มีเพียงชายเคราดกหนาถังเมี่ยนคนเดียวที่นอนเกลือกกลิ้งอยู่กับพื้นรวยรินลมหายใจนัก
“ เอ๊ะ !….พวกมันหายไปที่ใดกัน ? ”…อมิตาร์กล่าวฉงนพลางไล่สำรวจมองไปรอบๆถ้ำ
“ เจ้าพวกนี้เป็นพรรคฉลามเงินทั้งสิ้น ” ฉางยิ่นลงไปคุกเข่าสำรวจเหล่าศพที่ผิดรูปผิดร่างมนุษย์
“ พวกมันต่างถูกดาบสังหาร ย่อมไมใช่หลิวหงเหินลงมือ ! ” อมิตาร์ปรายตามองเพียงปราดเดียว ก็กล่าวรวบรัดชัดเจน ดวงตานางมองชายชราหัวหน้าพรรคที่เพิ่งช่วยเหลือด้วยความสะท้อนใจ มันเพิ่งได้สติกลับคืนมาครู่เดียว ต้องกลายสภาพเป็นซากศพน่าอนาจเพียงนี้….
แค๊ก !… แค๊ก !… แค๊ก !…
ฉางยิ่นไอแห้งๆ เมื่อรู้สึกอึดอัดในทรงอก “ พลังวัตรของเฒ่าคงท้งกล้าแกร่งนัก ”
“ เจ้าโคจรลมปราณรักษาอาการบาดเจ็บสักครู่เถิดฉางยิ่น ภายนอกสับสนวุ่นวายยิ่ง คงไม่มีผู้ใดติดตามมาหรอก ! ” อมิตาร์กล่าวนุ่มนวลชวนให้ผ่อนคลายนัก
“ ถูกต้อง ถูกต้อง …ข้าพเจ้าสมควรโคจรลมปราณรักษาอาการก่อน ” ฉางยิ่นยังคงเชื่อฟังคำนางดั่งได้ยินเสียงสวรรค์
รีบทรุดกายนั่งขัดสมาดผนึกลมปราณร่วมหลอมเข้าไปยังจุดตั้นชั้ง แน่นิ่งชั่วครู่ก่อนจะกระจายพลังโคจรไปตามสิบสองสายชีพจร
ขณะฉางยิ่นนั่งแน่นิ่ง อมิตาร์กลับว้าวุ่นใจไปกับลอยคราบเลือดที่สูญหายไปในผนัง ที่ร้ายคือรอยเลือดบนพื้นมีรอยเท้ากระต่ายเล็กๆของนาง ย่ำเป็นทางยาวหายไป
“ ต้องเป็นช่องทางลับแน่แล้ว ! ” อมิตาร์ล่วงรู้โดยฉับไว ตามที่เห็นหลักฐานรายล้อม
นางเลื่อนมือไปตามผนัง ใช้ด้ามดาบเคาะฟังเสียงอยู่ชั่วครู่ จึงได้ยินเสียงกรวงจากภายใน….แล้วนางยังสังเกตุว่าที่สัมผัสคือแท่งหินถูกสะกัดให้เรียบเป็นแผ่นเรียบสูงกว่าร่างกายคน
“ ประตูหินอย่างนั้นรึ ”
ทันทีที่นางล่วงรู้แน่ชัด จึงเร่งผนึกพลังวัตรแล้วปล่อยฝ่ามือปะทะประตูหินเต็มแรง…
ค รื้ น น น น น น !….
ประตูหนักอึ้งค่อยเลื่อนเขยือนไปทางซ้าย เปิดเป็นช่องขนาดพอดีคนเดิน
กรี๊ด ด ด ด …" อย่าเข้ามานะ อย่าเข้ามา ! "….
เกิดเสียงแผ่วเบาจากที่ไกลๆ ลอยลอดออกมาตามช่องทางเดิน
“ พัคนาริน ! ”…
อมิตาร์เผ่นโผนเข้าไปในช่องทางเดินทันทีทันใด เมื่อแน่ใจว่าเสียงที่ได้ยินมาจากหญิงสาวแห่งอนาคตกาล
นางเร่งฝีเท้าไปตามทางเดินคับแคบ ทุ่มเทท่าร่างวิชาตัวเบา เคลื่อนขยับร่างรวดเร็วแผ่วเบา ราววิหคสีเหลืองอ่อนโผบินไปในนภา
อมิตาร์ท่องทะยานผ่านช่องทางอันเลือนลางแสงอยู่ชั่วอึดใจ กระทั้งมาพบช่องทางออกเบื้องนอกอันเป็นท้องทุ่งกว้าง ที่ซึ่งมีหลิวหงเหินใช้ท่อนไม้ขนาดเท่าลำแขนค้ำยันชายฉกรรจ์ล่ำสัน ที่กำลังดิ้นทุลนทุลายบนพื้นหญ้า
ส่วนพัคนารินก็ใช้ท่อนไม้ยันชายอีกคนให้ติดต้นไม้ใหญ่ โดยยังมีชายแขนขาดอีกคนช่วยใช้ดาบทองแทงเข้าท้องมันให้ติดตรึงกับต้นไม้อีกแรง
“ พี่สาว !…ช่วยด้วย !…หนูจะต้านลุงเค้าไม่อยู่แล้ว ”…พัคนารินร้องลนลาน เมื่อเหลือบเห็นอมิตาร์ก้าวเข้าใกล้
ยิ่งเข้าใกล้อมิตาร์ยิ่งเห็นถนัดตาว่า ชายที่ถูกยันติดกับต้นไม้มีสภาพเป็นมนุษย์คางคก ที่กำลังออกอาการบ้าคลั่ง จนดาบทองที่ตรึงติดท้องยังไม่อาจหยุดยั้งมันได้ !…
เพียงชั่วอึดใจ อมิตาร์ตัดสินใจตวัดดาบตรงเข้าสะบั้นคอมนุษย์คางคกขาดกระเด็น
“ พี่ใหญ่ ! ”….
ชายแขนขาดร้องตื่นตระหนก ไปพร้อมกับหัวคนครึ่งคางคกที่ลอยละลิ่วลงไปกลิ้งขลุกขลักอยู่กับพื้น
“ ท่านพี่ ท่านพี่ !..” มันทรุดตัวคลานเข่าตามหัวที่กลิ้งไปกับพื้น มันร้องไห้โหยหวนราวสูญเสียญาติผู้ใหญ่ไปกับตา…
“ ลุงอย่าไปแตะตัวเค้านะ !”…พัคนารินรีบเข้าไปรั้งไหล่ชายแขนเดียวไว้
เป็นเหตุให้มันหยุดนิ่ง ก้มหน้าลงซบพื้นร้องไห้คร่ำครวญ
“ โธ่..ลุง !”….พัคนารินรีบทรุดเข่าลงตาม พลางฉีกชายกระโปรงออกมาพันห้ามเลือดที่หัวไหล่ให้มัน
อมิตาร์กุมดาบมั่น ลมปราณยังเปี่ยมล้น เมื่อเห็นว่าหลิวหงเหินยังแข็งขืนอยู่กับมนุษย์คางคก นางเร่งรุดวาดดาบโค้งคมวาว ตรงเข้าหาทั้งคู่
“ อย่าเพิ่งฆ่ามัน ”
หลิวหงเหินร้องก้อง พลางกระโดดถอยหลังปลดปล่อยให้มนุษย์คางคกลุกขึ้นจากพื้น
“ เจ้าคิดจะทำอะไร ? ”…อมิตาร์ขึ้นเสียงแหลม เมื่อเห็นชายอัปลักษณ์สะบัดตัวคลุ้มคลั่ง วิ่งตรงเข้ามา
“ ต้องจับมันเป็นๆ ”…มันแผดเสียงตอบ พร้อมกับสะบัดไม้ในมือต่างวิชาดัชนี ส่งลมปราณตรงเข้าแทงจี้สะกัดจุดตามตัวมันสี่ห้าตำแหน่ง
ทว่ามนุษย์คางคกยังกระตุกเร้าไปทั้งร่าง ยังไม่หยุดนิ่ง….หลิวหงเหินจึงสะบัดไม้จี้สะกัดจุดมันอีกสิบห้าตำแหน่ง จนมันล้มครื้น ถึงกระนั้นก็ยังส่งเสียฮึมฮำในลำคอ
ในขณะที่หลิวหงเหินพลันเซถลาไปหลายก้าว รู้สึกลมปราณในกายแปรปรวนหนัก ประเดี๋ยวร้อนรุ่ม ประเดี๋ยวเย็นยะเยือก….ภายในมันปั่นป่วนอย่างหนักเมื่อออกแรงโคจรลมปราณ …..หรือยาเม็ดของหมอน้อยนั้น จะก่อเกิดเภทภัยมากกว่ารับบุญวาสนาแล้ว……
“ พี่ชายเป็นอะไรอ่ะ ? ”…พัคนารินรีบวิ่งเข้าไปประคองชายหนุ่ม เมื่อเห็นอาการมันเหมือนคนบาดเจ็บภายใน
“ ไม่เป็นไรมากหรอกน้องสาว แค่ร่างกายต้องการสุราขนาดหนักเท่านั้น ! " มันกล่าวแหบแห้งด้วยใบหน้าซีดเซียว
“ โห้!…พี่ชายหน้าสิ่วหน้าขวานขนาดนี้ ยังจะพูดเล่นอีก ! ” นางเค้นเสียงกล่าว พร้อมกับพยุงตัวชายหนุ่มนั่งลง
อมิตาร์ยังไม่หายความระแวดระวัง มือยังกุมดาบมั่น กวาดตามองไปรอบๆ แม้แสงอาทิตย์จะลาลับใต้หล้าไปแล้ว แต่พอยังมองเห็นบรรยากาศโดยรอบ ว่าถัดออกไปจากลานหญ้ากว้างเป็นป่าสนดกหนา สิ่งแวดล้อมแตกต่างจากเชิงผาน้ำตกที่นางเพิ่งผ่านมานัก
“ มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่น้องสาว ? นี่เราอยู่ที่ใดกันแน่ ” นางถามรวบรัด ขณะเก็บดาบคืนฝักแล้วเดินเข้าสมทบกับคนทั้งคู่
“ หนูก็ไม่รู้หรอกพี่สาว เราก็แค่วิ่งตามกระต่ายเข้ามา ก็มาโผล่มาอยู่นี้ !…อย่างกับอริสอินวันเดอร์แลนด์เลย ” พัคนารินกล่าวเสียงสั่นด้วยความตื่นเต้นแน่นอก
โดยไม่ทันเฉลียวใจสักนิด ว่าคำพูดนางจะพาความงงงวยมาสู่ผู้ฟัง
ทำให้หลิวหงเหินต้องหัวเราะขบขัน พลางเอ่ยอธิบายความเป็นมาก่อนอมิตาร์จะงงงันมากเกินไป
“ คนทั้งสามนี่คือสามดาบทองไท้ซาน พวกมันบุกเข้ามาในถ้ำม่านน้ำ คิดจะคร่ากุมตัวน้องสาวไปรักษาอาการป่วยให้เจ้าสำนักมัน แต่เหตุการณ์กลับแปรเปลี่ยนเมื่อเหล่าพรรคฉลามเงินเกิดอาการคลุ้มคลั่ง แปรสภาพเป็นอมนุษย์ไร้สติ บุกเข้าทำลายพวกเราจนสามดาบทองต้องลงไม้ลงมือฆ่าฟัน เหตุการณ์ยิ่งตรึงมือมากขึ้นเพราะอมุษย์เหล่านั้นล้วนทนทานเกินปกติ พวกมันรุกไล่เราจนมาชิดติดผนังหิน ยังโชคดีที่กระต่ายน้อยของท่านกระโดดนำทางพวกเราเข้าไปในช่องทางเล็กๆ พวกเราจึงช่วยกันผลักประตูหินเปิด แล้วเร่งปิดโดยพลันเพื่อไม่ให้มนุษย์คางคกติดตามเข้ามา " หลิวหงเหินเล่ายืดยาว ทั้งที่เสียงเบาลงเรื่อยๆ คล้ายอาการแปรปรวนในกายจะกำเลิบเพิ่มขึ้นทุกขณะ
“ ไม่คาดคิดว่าพอเราเดินทางออกจากช่องทางลับ ก็พบว่าสองดาบทองกลับกลายติดพิษร้ายเปลี่ยนสภาพพวกมันเป็นมนุษย์คางคกเข้าทำร้ายพวกเรา ศิษย์น้องของพวกมันถูกฟันแขนขาดอย่างที่ท่านเห็น ส่วนข้าก็มีสภาพเช่นนี้ล่ะ ! ” มันกล่าวจบทุกถ้อยคำแล้ว จึงนั่งขัดสมาธิโคจรลมปราณอันมวลหมุนรุนแรงนัก
“ เราประมาทไปจริงๆพี่สาว ทีแรกก็คิดว่าพวกลุงเจ้าสำนักแค่โดนสะกดจิต เหมือนที่พี่ฉางยิ่นเล่าให้ฟัง แค่ใข้พลังงานจากจักรกาลของพี่สาวก็คลายสะกดได้แล้ว แต่ที่ไหนได้พวกเขาไม่ได้ถูกสะกดจิตอย่างเดียว กลับถูกพิษแปลกประหลาดพวกนี้ด้วย ! ”….พัคนารินกอดอกกล่าวพรั่งพรูคำที่อยู่ในใจ รู้สึกผิดคาดหมายไม่ต่างจากอมิตาร์เท่าใดนัก…
แต่อมิตาร์พลันฉุกคิดขึ้นกระทันหัน เมื่อทวนคำหลิวหงเหินว่าต้องปิดช่องทางลับ ไม่ให้มนุษย์คางคกตามเข้ามา
“ ผิดท่าแล้ว ข้าไม่ได้ปิดประตูหินนั้น !”….นางร้องตาเบิกโพลง พลันเร่งฝีเท้าไปยังหน้าปากทางลับ
ทว่านางกลับต้องชะงักเท้าค้าง เมื่อพบร่างใหญ่โตค่อยๆเดินเชื่องช้าออกจากเงามืดในทางลับ
“ ฉางยิ่น !…นั้นเจ้ารึ ! "…..นางกล่าวถามด้วยความตื่นเต้นยินดีนัก
“ ตาร์น้อย….อย่าได้เข้ามาใกล้ข้าพเจ้า รีบถอยออกไป ” เสียงมันสั่นเครือ กล่าวแต่ละคำกระอักกระอ่วน เกร็งเขม็งไปทั้งลำคอ
กระทั้งร่างอ้วนใหญ่เดินผ่านพ้นจากเงามืด รูปลักษณ์มันทำเอาอมิตาร์ร้องกรี๊ดโดยไม่ทันตั้งตัว
ฉางยิ่นกลับกลายเป็นมนุษย์คางคก ผิวตะปุ่มตะป่ำทั่วตัว ที่ร้ายกว่ารูปลักษณ์มันคือมีเหล่าอมนุษย์นับสิบตนคืบคลานออกมาจากโพรงมืดทะมึนเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น…
" รีบไปตาร์น้อย รีบไป…ข้า…ข้า…ข้าจะทนไม่ไหวแล้ว !…”