เสียงพิณกรีดสายในทำนองศร้าสร้อย ลอยลอดอารมณ์ละเมียดละมัยสะท้อนสะท้านไปในช่องผาหิน เกิดเป็นคลื่นแว่วก้องกระจายไปทั่วทางเดินอับซับซ้อน จนจำแนกทิศทางแหล่งเสียงได้ไม่แน่ชัด
หลิวหงเหินได้แต่ทุ่มเทท่าร่างพุ่งผ่านไปในที่ว่างโดยไร้จุดหมาย เพียงหวังให้ถอยห่างจากยอดปรมาจารย์พิษให้ไกลที่สุด แม้ภายในมันจะปวดแปลบแทบขาดใจในทุกๆการโคจรพลังปราณ ถึงกระนั้นมันยังกัดฟันโจนทะยานไปตามผาหินโดยไม่ลดละ
ตราบกระทั้งเกิดแรงระเบิดโครมใหญ่ที่โขดหินใต้เท้ามัน ทำให้ชายร่างระหงเสียหลักวางเท้าพลาดจนล่วงหล่นไปกับพื้น หน่ำซ้ำยังมีแรงระเบิดอีกสองครั้งข้างตัว สะกดจนหลิวหงเหินแน่นิ่งอยู่กับที่
“ นายท่านหลิวยิ่งเร่งรีบโคจรพลัง เหมือนยิ่งทำลายอวัยวะภายในใช่หรือไม่ รั้งรอข้าสักครู่จะประเสริฐกว่ามิใช่น้อย…” คำกล่าวเรียบรื่น เคลื่อนคล้อยมากับร่างบอบบางที่ลอยละล่องลงมาราวเงาภูตพราย
ใบหน้าอ่อนเยาว์ของมันโปรยปรายรอยยิ้มไร้เดียงสา ขณะสองดัชนีปลดปล่อยพลังปราณฝ่าอากาศ พวยพุ่งเรี่ยวแรงไร้รูปทรงเข้าทำลายผาหินด้านหลังหลิวหงเหิน เกิดเป็นแรงระเบิดดัง…ตูม !….
หลิวหงเหินยังฝืนยิ้มอยู่ได้ทั้งที่ใจประหวั่นไร้หนทางทดถอย ซ้ำร้ายไอเย็นยะเยือกยังแทรกเข้าภายในกาย ราวถูกภูผาน้ำแข้งโถมทับใส่
“ ปรมาจารย์น้อย ดูท่าทางท่านจะชมชอบทรมานผู้คนนัก เกรงว่ายาเม็ดสุริยะอำพันที่ให้ข้าพเจ้ารับทาน คงเป็นยาพิษพิสดารอีกชนิดกระมั้ง ”…หลิวหงเหินฝืนยิ้มแห้ง มือสั่นเทาเอื้อมจับทรวงอก พยายามโคจรลมปราณเข้าร่างกาย
“ ฮ่า ฮ่า ฮ่า…ในศาสตร์แห่งโอสถไม่มีอันใดจัดเป็นยาโดยไร้พิษ และไม่มีพิษอันใดที่ไม่แฝงฤทธิ์ยารักษาอาการป่วย เสียดายที่ในตัวท่านมีลมปราณเยียบเย็นแผ่ซ่าน มิเช่นนั้นยาเม็ดสุริยะอำพันจะเสริมพลังวัตรให้ท่านอีกหลายปีฝึกปรือ ”
หลิวหงเหินได้แต่ส่ายหัวอับจนปัญญา….หากไม่บาดเจ็บจะรับทานยาเม็ดไปทำไมกัน ?…..
“ แต่เมื่อมีปราณเยียบเย็นปั่นป่วนในกายท่าน ยาเม็ดสุริยะอำพันจึงกลายสภาพเป็นพลังปราณเร่าร้อน ตรงเข้ากร่อนทำลายอวัยวะภายในทุกคราที่เจ้าโคจรลมปราณ …คงมีแต่ทำลายพลังวัตรที่เจ้าฝึกปรือมาทั้งหมด จึงจะสามารถมีชีวิตยืนยาวต่อไปได้ ” เด็กหนุ่มกล่าวเยียบเย็นอำมหิต ล่วงรู้แน่ชัดว่าผู้ฝึกวิชายุทธหวงแหนกำลังภายในของตนมากกว่าชีวิตด้วยซ้ำ
ไม่คาดคิดว่าชายสูงระหงเบื้องหน้ากลับหัวเราะร่า เหมือนไร้ความหวาดกลัวใด
“ หากข้าพเจ้าสิ้นเรี่ยวแรงง่ายดายเกินไป เกรงว่าจะไม่เกิดประโยชน์อันใดแก่ท่านนัก เพราะท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญพิษหาได้เชี่ยวชาญค่ายกลใช่หรือไม่ แม้แต่ค่ายกลแปดธาตุแปรลักษณ์ในป่าสน ท่านยังต้องใช้มนุษย์คางคกมากมาย กวดไล่ให้ศิษย์เอกเซียนโอสถแสดงตัวมานำทางฝ่าค่ายกล….แล้วในวงกตศิลานี้เล่า ท่านกลับบุ่มบ่ามเข้ามาโดยไม่ไตร่ตรอง เกรงว่าต้องเคียงข้างนอนตายไปพร้อมกับข้าแล้วกระมั้ง ”…
“ นายท่านหลิวท่านคิดขมขู่ข้าพเจ้ากระนั้นหรือ ” เด็กหนุ่มเดินแย้มยิ้มไปเบื้องหน้าหลิวหงเหิน อยู่ห่างเพียงแค่ช่วงแขนเอื่อม
“ เจ้าเชื่อหรือไม่ว่า ข้าพเจ้ามีพิษยี่สิบ-สามสิบชนิดสามารถดลบันดาลให้ท่านเจ็บปวดทุกข์ทนกว่าความตายหลายสิบเท่า ”…
“ เลื่อมใส เลื่อมใส….ปรมาจารย์น้อยกล่าวเพียงนี้ ย่อมมีหนทางไม่ให้ข้าพเจ้าล้มตายไปเปล่าๆปลี้ๆแล้ว ! ” …
เด็กน้อยหัวเราะฮา ฮา พึงพอใจ พลางเอื้อมมือเยียบเย็นมุ่งหมายไปที่ไหล่หลิวหงเหิน….
…ชั่วแล่นที่หลิวหงเหินสิ้นไร้ทางต่อสู้ คิดว่าครานี้คงถึงฆาตแน่แล้ว…
……ทว่าเสี้ยวเวลาแห่งความตาย เหตุใดเนินนานราวชั่วนิรันดร์ ?…
หลิวหงเหินรู้สึกว่าทุกสิ่งรอบกายหยุดนิ่ง ….เทพอสรพิษยืนแน่นิ่ง แขนยกค้างกลางอากาศอยู่ห่างจากไหล่หลิวหงเหินแค่คืบ
สรรพสิ่งหาได้หยุดนิ่งโดยสิ้นเชิง หากแต่เคลื่อนขยับเชื่องช้ายิ่ง เป็นความเชื่องช้าจนมองเห็นลมหายใจกระเพื่อมไหลเข้าจมูกได้ชัดเจน
จะมีเพียงเสียงพิณที่ลอยละมัยอย่างมีชีวิตชีวา ยิ่งฟังยิ่งรู้สึกเริ่งร่าราวบุปผาแรกผลิบาน
พลันนั้นแสงสว่างเจิดจ้ามาเป็นโพรงทอดยาว ตรงจากทางเดินเบื้องหน้าเข้ามาอาบไล้ตัวหลิวหงเหินไปทั่ว ….
…มีเสียงจิ๊บๆจั๊บๆของนกน้อยบินลอยมากับกลุ่มแสง เบื้องล่างบนพื้นมีกระรอกตัวน้อยวิ่งเล่นล้อกันมาสี่-ห้าตัว ซ้ำยังมีกวางดาวสามตัววิ่งเยาะๆตรงเข้าหาหลิวหงเหิน ทั้งสามทำจมูกฟุดๆฟัดๆไปรอบๆชายร่างระหกและเทพอสรพิษที่ไม่อาจขยับเขยือน
ระหว่างแน่นิ่ง พลันบังเกิดเสียงขลุ่ยแว่วเคล้าคลอกับเสียงพิณผสานไปกับอารมณ์เริงเล่นของสัตว์รอบข้าง ….
แล้วผู้บรรเลงเพลงขลุ่ยก็เดินเยื่องย่างมาหลังกวางดาวตัวน้อย เสียงขลุ่ยพลันขาดหายทันใด เมื่อผู้บรรเลงเห็นหลิวหงเหินเต็มตา
นางผู้บรรเลงเพลงหยุดมองด้วยความแปลกประหลาดใจ พอๆกับความประหลาดใจของหลิวหงเหินที่ได้เห็นนาง
เพราะที่มันเห็นอยู่เบื้องหน้าเป็นเด็กสาววัยเยาว์ อายุไม่เกิน17 นางมีลักษณะแตกต่างจากดรุณีทุกคนที่หลิวหงเหินเคยเห็นมา แม้แต่พัคนารินยังดูไม่ประหลาดเท่านี้เลย
“ เอ !….เป็นคนโฉดผู้ใดที่ข้าพเจ้าควรช่วยเหลือหรือ มารดา ! ” ..เด็กสาวประหลาดมองหลิวหงเหินสลับกับเทพอสรพิษ พลางกล่าวลอยเลื่อนไปในสายลม
ใบหน้ารูปไข่เกลี้ยงเกลาของนาง ขมวดคิ้วเรียวระหงอย่างนึกคิด ดวงตากลมโตดำขลับของนางทอประกายลึกซึ้ง ราวดวงดาววับวาวในรัตติกาล ยามกระพริบตาคล้ายมีม่านฝันโปยปรายลงบางๆ ทั่วทั้งเรือนร่างนางยิ่งมองยิ่งเหมือนภาพฝันที่ไม่อาจเป็นจริง
เสื้อผ้าที่นางสวมใส ถูกปะชุนจากผ้าหลากชนิดหลายสีสัน เป็นผ้าแบบตารางผืนนาอันแปลกตาที่สุดเท่าที่หลิวหลงเหินเคยเห็นมา ร้ายที่สุดคือนางไม่สวมใส่รองเท้า เดินเหินด้วยเท้าเปล่าเปลือยอันขาวผ่องเป็นยองใย
เรือนผมนางหยักโศกสีดำขลับปล่อยยาวลงมาถึงสะโพก โดยมีดอกไม้หลายชนิดแซมประดับรอบศรีษะราวเป็นเด็กสาวแห่งพงไพร ที่เห็นแต่ความบริสุทธิ์ผุดผาดราวบุปผขาตินานาพันธ์ร่วมก่อกำเนิดเป็นตัวนาง….
นางกำลังยืนละล้าละลัง แกว่งขลุ่ยหยกขาวล้ำค่าในมือนาง เงี่ยหูฟังเสียงพิณอย่างใจจดใจจ่อ…
“ อ้อ !…เป็นคนโฉดชุดครามนี่เอง ! ”.. นางหัวเราะเบาๆชอบใจเมื่อได้คำตอบจากเสียงพิณที่แว่วผ่าน
“ มาเถอะ ! คนโฉดชุดคราม เราไปกัน !…”
นางกล่าวเสียงใสราวระฆังแก้วสั่นไหว พลางเอื้อมมือสัมผัสแขนชายหนุ่ม แผ่กระแสลมปราณอบอุ่นสายหนึ่งซึมซาบเข้าภายในหลิวหงเหิน จนมันกลับมาขยับเขยือนร่างกายได้อีกครา
หลิวหงเหินขยับแขนขา เหม่อมองเด็กสาวเบื้องหน้าราวเห็นภาพฝันอันเลือนลางเลื่อนลอย
“ดวงตาเจ้ายังขยับเขยือนไม่ได้รึ ? เหตุใดจ้องข้าแน่นิ่งนัก !” ….นางถามโจ่งแจ้งดั่งเด็กน้อยไร้เดียงสา
แต่กลับกระตุ้นเตือนเรียกสติ ให้ชายหนุ่มเลี่ยงสายตาอันเสียมารยาทไปทางอื่นโดยพลัน
“ พวกเราไปกันเถอะ ! ”…เด็กสาวเหมือนจะไม่นำพาปรารมณ์กับชายหนุ่มมากนัก นางเพียงเอ่ยเบาๆกับเหล่าสัตว์ของนาง พลางหันหลังกลับแล้วก้าวเชื่องช้าไปกับกวางดาวตัวน้อย
ทว่าเหตุการณ์กลับไม่เรียบง่ายดังใจ เมื่อเกิดแสงเรืองสว่างจากช่วงท้องของเทพอสรพิษ ที่ยืนแข็งค้างกลางอากาศ…กลับมาขยับดัชนีสะบัดเข้าใส่เด็กสาว
“ ระวังไว้แม่นางน้อย ! ”…หลิวหงเหินร้องแตกตื่น พลางกระโดดเข้าขวางทิศทางพลังปราณที่พุ่งฝ่าอากาศมา
แต่แล้วหลิวหงเหินพลันถูกผลักส่งไปสองก้าว โดยเด็กสาวประหลาดกระโดดเข้ามาต้านรับพลังปราณจากปรมาจารย์โดยตรง
นางสะบัดขลุ่ยหยกขาวในมือ ร่ายรำกระบวนท่าเพิศแพร้ว ทุกคราที่ขลุ่ยเคลื่อนล้วนเกิดเสียงหวีดหวิว ราวเสียงเป่าขลุ่ยแทรกผ่านมากับพลังปราณครอบคลุมกาย นางยืดหยัดสลายพลังพิษพิสุทธิ์ ให้เบียงเบนกระจายไป เป็นสะเก็ดระเบิดเล็กๆ เหมือนประทัดกระจายเข้ากับผนังหิน
ไม่เพียงหลิวหงเหินที่ตกตะลึง แม้แต่เทพอสรพิษยังเบิกตาโพลงสุดตื่นตระหนก…..ไม่คาดคิดว่าดรุณีวัยเยาว์จะเยี่ยมยุทธป่านนี้ …..
“ เพลงกระบี่เคลื่อนดาราจักร !….เจ้าเป็นศิษย์คุนลุ้นรึเด็กน้อย ! ”…เทพอสรพิษแสร้งถาม พลางโคจรพลังลมปราณใส่ดัชนีทั้งสองมือ
“ คิ๊ก…คิ๊ก คิ๊ก…”… นางหัวเราะเสียงใสจนเห็นไลฟันขาวเป็นเงามันราวไข่มุกเลอค่า
เพียงสิ้นเสียงนาง ผนังหินพลันเคลื่อนรวดเร็วเข้าปิดกั้นเทพอสรพิษไว้จากคนทั้งคู่ จนเทพอสรพิษต้องเคลื่อนขยับหลบหนี…
หากผนังหินยังเคลื่อนเข้าชนแผ่นแล้วแผ่นเล่า รุกไล่ให้เทพอสรพิษถอยล่นไปเรื่อยๆห้าชั้นติดๆ กระทั้งมันส่งพลังปราณทำลายแผ่นหินไปหนึ่งครา ทุกสิ่งจึงสงบนิ่งลง โดยเหมือนมันจะถูกไล่ตอนเข้าที่คุมขังเฉพาะตัว…
“ เจ้าศิษย์ชั่วช้า !…. กล้าเรียกผู้อื่นมาช่วยเหลือรึ….เรื่องราวในสำนักใยไม่ออกมายอมรับกับข้าเล่า ”…เทพอสรพิษแผ่พลังปราณกล่าวก้องกัมปนาท ด้วยใจหวาดหวั่น…
“ คนโฉดน้อย !…มารดาว่าให้ท่านสงบใจอยู่ในที่ไร้เวลานี้เถิด ท่านคดโกงเวลาผู้คนมานับไม่น้อย การลงโทษชนิดนี้ย่อมนับเป็นเรื่องยุติธรรมแล้ว "…เสียงกระจ่างใสของเด็กสาวพราวพรายอ่อนหวาน หากแฝงพลังลมปราณกล้าแกร่งนัก
หลิวหงเหินได้แต่จ้องมองนางอย่างงมงาย งุนงงจนจำแนกไม่ออกว่านี่คือภาพฝันหรือความจริง
“ เอะ !…คนโฉดชุดคราม ตาท่านขยับไม่ได้อีกแล้วเหรอ ? ” นางถามด้วยแววตาใส่ซื่อนัก
“ อ้อ ! อ้อ ! …ขยับได้แล้ว ดวงตาเห็นกระจ่างชัดแน่แท้แล้วแม่นาง ”….
….ที่แท้เป็นความจริงอันประหลาดพิสดารกว่าฝันแน่แล้ว !…..