สะบั่นตัดสายฟ้า

2497 Words
" พี่สาวชุดเหลืองคนนี้ใช้เพลงดาบอาบจันทร์ ใช่หรือไม่ เจ้าคนโฉด ? " เด็กสาวกล่าวแผ่วเบาเมื่อเผ่นโผนเข้าใกล้หลิวหงเหิน ขณะทุกผู้คนล้วนแน่นิ่งไร้การเคลื่อนไหว ดวงตาทุกคู่จ้องมองโฉมสะคราญจนตาค้างกันทั่วหน้า " ย่อมเป็นเพลงดาบเร้นลับ ของศาสดามังกรไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย " หลิวหงเหินแย้มยิ้มตอบ หากสายตากลับเคลื่อนไปจับเฒ่าหยางอย่างไม่วางใจนัก " อืม ม ม ม...ไม่เพียงมีวิชาของจ้าวจักรกาล ยังมีจักรกาลเงามายาอยู่บนหลังมือซ้าย นางนับว่าเป็นคนกันเองกับเราแล้ว !...." เจินจีซีกล่าวด้วยรอยยิ้มแสนซุกซน โดยหลิวหงเหินไม่ทันกระพริบตา เด็กสาวก็ลอยตัวเหินไปยังกลุ่มกองเพลิงที่ลุกโชน " สองสตรีแปลกประหลาดได้พบพาน เกรงว่าต้องเป็นห่วงคนที่เผชิญกับพวกนางแล้ว " … หลิวหงเหินครุ่นคิดในใจ ขณะสายตาเหลือบเห็นเฒ่าหยางที่กำลังเคลื่อนขยับจับเกาทัณฑ์ขึ้นพาดสาย หลิวหงเหินรีบปล่อยเสาธงลงกับพื้น พลันก้าวขยับด้วยท่วงท่าบุปผาลอยลม ตรงเข้าประชิดตัวเฒ่าหยาง แล้วยื่นมือตะปบเข้าที่ข้อแขนชายชราไว้ว่องไว จนเกาทัณฑ์มันล่วงหลุดจากมือ " โอ๊ะ...โอ๊ย ย ย ย...ท่านบัณฑิตหลิวนี่เอง ไม่เจอกันเนินนาน ท่านยังดูหล่อเหลาไม่เปลื่ยนปลง ! "...ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์กล่าวประจบประแจง ทั้งที่แขนสั่นสะท้าน เริ่มเจ็บปวดไปตามข้อมือที่ถูกชายหนุ่มยึดกุมไว้ " ท่านก็ดูสบายดีไม่น้อยเลยนะท่านผู้อาวุโส ขนาดยังกล่าววาจาสอพอได้ ย่อมนับว่าอยู่ดีมีสุขมากล้น " หลิวหงเหินกล่าวด้วยรอยยิ้มระรื่น พร้อมกับแผ่พลังลมปราณลงในฝ่ามือ จับสะกัดข้อมือเฒ่าหยางจนชาด้านไปทั้งแขน " บัณฑิตหลิว ท่านอย่าได้หยอกล้อกับผู้เฒ่าไป แข้งขาข้าอ่อนแรงเกินไปนัก ปลดปล่อยข้าเถิด ! "... " เพิ่งแรกพบเจอ เราสมควรสนทนาให้คลายความคิดถึงกันสักชั่วครู่ไม่ดีหรือ ! ...ซ้ำยังมียอดฝีมือมาประลองให้ชม ท่านสมควรสั่งทหารให้ล่าถอยอย่าได้รบกวนการประลองจะประเสริฐกว่านะตาเฒ่า "...หลิวหงเหินกล้าวพร้อมเอื้อมอีกมือมาตะปบเข้าหัวไหล่ชายชราอีกข้าง " สมควรอย่างยิ่ง สมควรอยู่นิ่งๆจะประเสริฐสุด " เฒ่าชราปากสั่นเทาตอบรับ โดยใบหน้าชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อกาฬ เมื่อมันรู้สึกถึงสายพลังอุ่นละอุแทรกผ่านจากไหล่จนปวดระบม ทันทีนั้นเฒ่าหยางรีบสั่งการณ์ให้ทหารทุกผู้คนวางอาวุธ ยื่นสงบรอคอยให้หัวหน้ารองจางตง เข้าสะกัดจับกบฏสาวที่ยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มไฟเพียงลำพัง... " ล่วงเกินแล้วแม่นาง ! "... หัวหน้าองครักษ์อันดับสองตะโกนกร้าว พร้อมกับถ่ายถอดพลังปราณลงไปในห่วงทองในมือ แล้วปลดปล่อย8ห่วงทองให้ลอยทะยานเข้าหาอมิตาร์ ราวสายฟ้าสีทองพวยพุ่งใส่ พลันนั้นทั่วตัวนางเกิดเรืองแสงแพรวพราย แล้วร่างอรชรในชุดเหลืองได้เพิ่มจำนวนแยกออกเป็น18อมิตาร์ โผผินกระจายทั้ง8ทิศทางจนละลานตา " ตั้งค่ายกลอัสนีแปดทิศ อย่าให้นางเล็ดรอดไปได้ "... สิ้นเสียงสั่ง เหล่าองครักษ์ชุดทองที่รายล้อม ต่างสะบัดห่วงโซ่ทองสะบัดกวัดแกว่งเป็นกำแพงสีทองวูบไหวไปทั้งแปดทิศ เหล่าองครักษ์พร้อมใจกันสะบัดห่วงโซ่ เป็นแนววงสามชั้น ชั้นแรกมียี่สิบคนประจำแปดทิศทาง ชั้นที่สองมีสี่สิบคนควงห่วงโซ่ทองเป็นวงขึ้นฟ้า เช่นเดียวกับแถวสุดท้ายแปดสิบคน ที่ควงห่วงโซ่ทองเป็นวง ดูคล้ายเสาทองรายล้อมไว้สามชั้น เป็นค่ายกลที่ทำเอายอดฝีมือเจนการประลองอย่างอมิตาร์ ยังต้องตีลังกาล่าถอยกลับมาเข้าวงเพลิง นางกลับกลายเป็นโฉมสะคราญในชุดเหลืองเพียงลำพัง โดยสีหน้ามีแววตื่นตระหนกมิใช่น้อย คิดไม่ถึง ในเวลาช่วงสั้นๆจางตงจะสามารถคิดค่ายกลที่แก้ทางจักรกาลเงามายาไว้ได้โดยสิ้นเชิง... อัสนีร่างทองยืนกระหยิ่มยิ้มอย่างผู้มีชัย ขณะสองมือมันยื่นรับแปดห่วงทอง ที่ละล่องลอยราวสายฟ้าสีทองมาเข้ามือ " หลายเดือนมานี้ ข้าพเจ้าควบคุมการฝึกซ้อมค่ายกลอัสนีแปดทิศอย่างเข้มงวด ไม่เว้นแม้สีกวัน ท่านว่าการทุ่มเทของข้าพเจ้าครานี้ใช้ได้ผลหรือไม่ " มันถามหยั่งเชิง แฝงแววโอ่อวดอยู่ในที " นับว่ามีฝีมืออยู่ท่าสองท่า " อมิตาร์กล่าวไปพร้อมร่ายรำดาบ จนเปลวไฟเวียนวนตามสภาวะดาบ เปลวหมุนเป็นเกลียวแล้วพุ่งเข้าใส่จางตง คล้ายดาวตกติดไฟพวยพุ่งหา ทว่าจางตงเพียงขยับมือวูบ ห่วงทองที่ร้อยเป็นโซ่จากองครักษ์ข้างกาย ได้ตวัดเป็นระลอกดั่งคลื่นน้ำสีทอง ตรงเข้าสลายเปลวไฟไปจนสิ้น " เป็นค่ายกลแปรเปลี่ยนห้าธาตุแท้ๆ เหตุใดจึงตั้งชื่อว่าอัสนีแปดทิศเล่า นับเป็นค่ายกลที่หลอกลวงแม้แต่ตัวเองแล้ว "... โดยไม่มีใครคาดฝัน พลันปรากฏเงาร่างเด็กสาวในชุดหลากสี ได้เหินลอยผ่านค่ายกลห่วงโซ่ทองเข้ามา ราวปลาน้อยแวกว่ายนทีโดยไร้กังวล นางลอยเลื่อนเข้าไปยืนเคียงข้างอมิตาร์ แย้มยิ้มทักทาย คล้ายไม่เห็นองครักษ์นับร้อยอยู่ในสายตา " น้องสาวท่านนี้มีความรู้กว้างขวางนัก ข้าพเจ้าเป็นเพียงนักค้าอัญมณีต่างแดน ไม่มีความรู้เรื่องค่ายกลอันใดนักหรอก " อมิตาร์แย้มยิ้มตอบ โดยสายตาคมวาวยังจับจ้องอัสนีร่างทองไม่กระพริบ " ถ้าเช่นนั้นเยี่ยมยอดยิ่ง ข้าพเจ้าก็ไร้ความรู้เรื่องอัญมณี เราสมควรแลกเปลี่ยนความรู้กันบ้างดีหรือไม่ " " เป็นเช่นนั้นประเสริฐยิ่ง ...เพียงแต่เวลานี้เห็นจะไม่ค่อยสะดวกนัก น้องสาวท่านถอยห่างสักครู่ ให้ข้าพเจ้าทำธุระกับสุนัขเหล่านี้ให้สิ้น ค่อยมาแลกเปลี่ยนวิชากันยังไม่สาย " อมิตาร์กล่าวด้วยแววตาดุดัน ในมือกำดาบโค้งวงพระจันทร์เปี่ยมล้นพลังปราณลงไปในปลายคม " ใครว่าไม่เหมาะสมเล่า เวลานี้เหมาะสมกับการเรียนวิชาค่ายกลเป็นอย่างยิ่ง " สิ้นเสียงสดใส เด็กสาวพลันยื่นแขนไปด้านข้าง โดยที่ขลุ่ยบนฝ่ามือได้หมุนเป็นวงดั่งกงจักร พร้อมพรั่งกับเสียงหวีดหวิวที่ปลดปล่อยจากเลาขลุ่ย เป็นทำนองเพลงอันลึกลับ จนผู้คนล้วนตะลึงพึงเพิดกับสิ่งที่เห็น " ค่ายกลห้าธาตุ ยึดหลักแปรเปลี่ยน จากดินสู่น้ำ น้ำสู่ไม้ ไม้สู่ไฟ ไฟสู่ทอง และทองคืนสู่ดิน สรรพสิ่งไหลเวียน ไปพร้อมรวมเป็นหนึ่ง "... นางเคลื่อนขยับเรือนร่าง ร่ายขลุ่ยให้เสียงเพลงลอยละล่อง ไปกับกระบวนท่าแฝงลมปราณที่เคลื่อนพลิ้วแทรกไปในระหว่างแนวแถวของเหล่าองครักษ์ จนพวกมันรู้สึกถึงกระแสพลังอันถาโถมมา " ตั้งมั่นไว้กับที่ อย่าได้เคลื่อนเปลี่ยนตำแหน่ง ใช้กระบวนท่าตั้งรับปกปักตนไว้ "....จางตงตระโกนสั่งลั่น เมื่อเห็นความเปลี่ยนแปลงเกิดกับค่ายกลมัน เสียงที่สั่งการกระตุ้นให้เหล่าองครักษ์ชุดทองต่างยกห่วงโซ่ทองส่ายไหวป้องกันกาย ขณะเดียวกับที่เด็กสาวเร่งเร้ากระบวนท่า ร่ายไหวเพลงยุทธ ไปรอบๆตัวอมิตาร์ แผ่พลังปราณไปพร้อมเสียงเพลงสยายแรงคลอบคลุมเหล่าองครักษ์ไว้โดยรอบ... ค่ายกลแห่งความผันแปรกลับกลายเป็นทหารตั้งแถว ซ้อมวิชาห่วงอยู่กับที่ จะนับเป็นค่ายกลอันใดได้.... อมิตาร์หัวเราะเสียงใส เมื่อเห็นสถานการณ์กลับพลิกผัน เพราะเด็กสาวแปลกประหลาดที่ปรากฏกายราวภูตพราย " ท่านหัวหน้ารอง !....ไร้ผู้ช่วยกุ่มรุมแล้ว ถ้าท่านหวาดกลัวก็เก็บอาวุธกลับบ้านเรือนไปเถิด " อมิตาร์กล่าวกระตุ้นโทสะ โดยไม่รอให้มันตอบโต้ถ้อยคำ พลันโจนทะยานเข้าไปใช้ดาบโค้งตวัดเข้าใส่ ด้วยพลังปราณทั้งสิบส่วนที่นางมี แตกต่างจากจางตงที่ออกกระบวนเพลงตั้งรับ ส่งกระแสลมปราณอันยืดหยุ่นแผ่คลุม ใช้ห่วงทองทั้งแปดหมุนวนสลายพลังแกร่งกร้าว ที่บ่าทะลักมาสิบกระบวนท่ารุกราน " แม่นางนักดาบ ข้าพเจ้าผ่อนปร่นให้ท่านสิบกระบวนท่าแล้ว ท่านควรรับรู้ไว้ ! "....จางตงคำรามก้อง พลางตวัดห่วงโซ่เส้นยาว พลิกกระบวนจากรับเป็นรุกโต้ตอบ ราวสายฟ้าสีทองพวยพุ่งใส่ ในใจจางตงคาดคิดไว้ล่วงหน้า ว่าจะอย่างไรอมิตาร์ต้องใช้กระบวนท่าล่าถอย มันคิดกระบวนไล่ตามติด จนสามารถสยบดาบนางในยี่สิบเพลงยุทธ ทว่าจางตงพลันต้องเบิกตาโพลง เมื่อเห็นอมิตาร์ไม่หลบเลี่ยง ไม่ถอยหนี หากตรงเข้าหักล้างเพลงอาวุธ ดั่งขุนศึกสละชีพแลกชัยชนะในดาบเดียว ดาบโค้งอันกรุ่นพลังปราณกร้าว ฟาดฟันเข้าใส่ห่วงทองขาดสะบั่นเป็นสองท่อน ซ้ำยังกระหน่ำตามติดเป็นสาย ด้วยกระบวนเพลงจันทราส่องหล้า ปล่อยดาบโค้งหมุนวนพุ่งใส่อัสนีร่างทอง ดั่งกระสุนกงจักรอันทรงพลัง พลันนั้นจางตงไร้หนทางล่าถอย มันได้แต่ใช้อีกสี่ห่วงทองที่เหลือ ปาเข้าสะกัดดาบกงจักรที่ทะยานตรงมา เชี้ยง !...เชี้ยง !...เชี้ยง !. สี่ห่วงทองถูกตัดขาดสะบั่น โดยสภาวะดาบกงจักรยังหนุนเนื่องรุนแรงมาไม่หยุด... กระทั้งประกายสีทองหมุนวนผ่านคอจางตง ไปดั่งสายลมยะเยียบฝ่าอากาศ... อ้ า ก ก ก ก ก ..... เสียงร้องสุดท้ายของจางตง ลอยลอดไปกับหยาดโลหิตที่ทะลักไหลเป็นสาย พร้อมกับศรีษะที่ขาดจากคอของยอดองครักษ์ จนกระเด็นล่วงหล่นลงกับพื้น.... ทุกผู้คนต่างตะลึงมองศรีษะที่มีเลือดนองอยู่กับพื้น อย่างไม่เชื่อสายตา ยอดฝีมืออันดับสองแห่งวังเมฆาขจีสิ้นแล้ว... เหมือนศรัทธาความเชื่อมั่นทั้งหมดทั้งมวล มอดมลายไปพริบตา... ..... เมื่อดาบโค้งวนเข้ากลับสู่มืออมิตาร์ เป็นขณะเดียวกับที่เจินจีซีหยุดเสียงขลุ่ย แล้วกระโจนร่างเข้ายืนเคียงข้างนาง " กระบวนท่าจันทราส่องหล้า ดุดันอำมหิตถึงเพียงนี้ ไม่คิดเลยว่าจะมีใครบรรลุถึงขั้นนี้ได้ "... เด็กสาวชื่นชมด้วยสีหน้าจริงจัง แววตายังมีประกายหวาดหวั่นที่เห็นชายไร้ศรีษะล้มนองเลือดอยู่ตรงหน้า " น้องสาวเจ้ารู้จักเพลงดาบอาบจันทร์ด้วยรึ ! " " ไม่เพียงรู้จักเพลงดาบ ยังรู้จักผู้คิดค้นสร้างเพลงดาบนี้เลยละ " " อุ๊ย !... เป็นไปได้อย่างไร ท่านมนีหัยยามีชีวิตอยู่เมื่อ600กว่าปีก่อน เจ้าจะรู้จักท่านได้อย่างไร ? "... เด็กสาวยิ้มเจ้าเล่ห์ เมื่อถูกถามถึงศาสดามังกร ดวงตานางเกลือกกลิ้งขลุกขลิก ก่อนจะชะโงกหน้าไปกระซิบที่ข้างหูนาง... ...การเชื่อมความสัมพันธ์ของสองสาว ดำเนินไปท่ามกลางความอกสั่นขวัญแขวนของทุกผู้คน เหล่าองครักษ์ที่ยืนแข็งค้าง ไม่รู้ว่าสมควรทำสิ่งใดต่อ แม้แต่พวกดาบทองไท้ซานยังละล้าละลัง ไม่แน่ใจว่าควรลุกไล่เหล่าองครักษ์ หรือใช้จังหวะนี้วิ่งถอยหนีไปให้ไกล จะมีเพียงหลิวหงเหินที่มีสติตื่นตัวกว่าใคร มันล่วงรู้ในบัดดลว่าสมควรทำสิ่งใดจึงจะเหมาะควร " เฒ่าหยาง ท่านสมควรเก็บซากศพจางตงไปทำพิธีถูกต้องหรือไม่ ? "...ชายหนุ่มหันมากล่าวกับชายชราข้างกาย พร้อมกับปลดปล่อยแขนทั้งสองข้างจากการจับกุม " สมควรยิ่งบัณฑิตหลิว สมควรเป็นอย่างยิ่ง ! "...มันค่อมตัวน้อมรับ มือมันยังลูบคลำไหล่อันเจ็บปวด " ท่านรู้ใช่มั้ยว่าสมควรทำอะไรต่อ ? " หลิวหงเหินกล่าวตามต่อ " ย่อมควรถอนกำลัง ล่าถอยกลับกองเรือใช่หรือไม่ " " ท่านนับเป็นเฒ่าปราชเปรื่องโดยแท้ " " แต่ยังมีบางคนอาจไม่ฟังคำข้า " หลิวหงเหินเหมอมองตามเฒ่าหยางไปยังองครักษ์เก้า ซุนจ้าง โดยรู้ความนัยมันมนทันที เพราะคนซื่อสัตย์อย่างซุนจ้างย่อมต้องกระทำภาระกิจให้เสร็จสิ้น ไม่ยอมถอยหนีเพราะความตายของอัสนีร่างทองแน่ หลิวหงเหินเกาคางครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเปรยคำตอบด้วยประกายตาสุขปลั่ง ดั่งดวงดาวพราวเต็มฟ้า " ท่านรีบเร่งสังการณ์องครักษ์เกราะทองกับเข้ากองเรือก่อนเถิด ส่วนการเจรจากับหัวหน้าเก้า ปล่อยไว้เป็นหน้าที่ข้าเอง เฒ่าหยางได้แต่ยิ้มรับแห้งๆ ก่อนจะโบกมือโบกไม้พร้อมตะโกนสั่งการณ์เหล่าองครักษ์ให้เก็บบรรทุกซากองครักษ์จางตง แล้วเคลื่อนขบวนหวนคืนสู่กองเรือ ทันทีนั้นหลิวหงเหินได้โลดแล่นเข้าหาหัวหน้าเก้า ที่ยังยืนกำดาบถือโล่ห์มั่น แม้เลือดจะไหลอาบนองขา " องครักษ์ซุนจ้าง ท่านกลับกลายเป็นแม่ทัพใหญ่ไปแล้วหรือ ? "...หลิวหงเหินพลันเอ่ยยิ้มแย้ม ทันทีที่อยู่ต่อหน้ามัน " ข้าย่อมเป็นองครักษ์แห่งวังเมฆาขจี ไหนเลยมาว่าข้าเป็นแม่ทัพใหญ่ ! " " หากท่านเป็นองครักษ์ ใยไม่รักษาหน้าทีอารักขาให้อ๋องฟูเจี๋ยนเล่า ! " " อ๋องฟูเจี๋ยนมีเหล่าองครักษ์นับพันอารักขาอยู่ในเรือเมฆาทอง เจ้าว่าจะมีผู้ใดฝ่าแนวป้องกันแน่นหนาขนาดนั้นไปทำอันตรายท่านได้อีก " " อ๋อ !...ที่แท้ท่านอยู่เรือเมฆาทองนั้นเอง ข้าว่าในอีกสามราตรี ข้าจะไปทักทายท่านอ๋องถึงเตียงบรรทม ท่านว่าองครักษ์นับพันเหล่านั้น จะพอเพียงสะกัดกั้นข้าได้หรือไม่ " หลิวหงเหิน กล่าวพร้อมสะบัดสองดัชนีปลดปล่อยพลังปราณฝ่าอากาศ พุ่งเข้าปะทะกับโล่ห์โลหะ จนเกิดรอยบุ๋มลึกดั่งมีฆ้อนสงครามหวดใส่ ซุนจ้างหวนคิดอย่างสะทกสะท้าน ต้องมีพลังปราณลึกล้ำปานใด จึงจะปลดปล่อยพลังฝ่าอากาศเข้าทำลายโลหะได้เช่นนี้.....มันนับเป็นชนชั้นยอดฝีมือ ที่ทหารธรรมดายากจะทัดทานได้จริงๆ... หน้าเหี้ยมของซุนจ้างเหงื่อซึมชุ่มใบหน้า มองรอยบุ๋มลึกเข้าไปในโล่ห์โลหะด้วยความหวาดหวั่นยิ่ง... " นี่เจ้าท้าทายข้ากระนั้นรึ หลิวหงเหิน ! " " มิใช่ท้าทายเจ้า ท้าทายอ๋องฟูเจี๋ยนต่างหาก ท่านจะนำความกลับไปบอกท่านอ๋อง หรือจะให้ข้าไปบอกเองเล่า ? " " ประเสริฐ !.. เป็นอันว่าข้าจะกลับไปรอคอยท่านที่เรือเมฆาทอง หากอีกสามวันเจ้าไม่มา นับว่าเป็นลูกเต่าหดหัวแล้ว "... " ฮ่า ฮ่า ฮ่า...ได้ !...อีกหสามวันค่อยพบพานกัน ".. หลิวหงเหินเบิกยิ้มอย่างโล่งใจ อย่างน้อยก็หลีกเลี่ยงการนองเลือดไปได้อีกระยะหนึ่ง เมื่อถึงวันนั้น อาจไม่ต้องลงไม้ลงมือกันแล้ว เพราะพายุดาวหาง คงตกลงมาทำลายทุกสิ่งสิ้นซากไป....
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD