วันโลกาวินาศ

2100 Words
แรกลืมตาตื่น หลิวหงเหินรู้สึกล้นปริ่มไปด้วยพลังเนื่องแน้นในกาย มันนลุกขึ้นนั่งอย่างประเปรียว เมียงมองทุกสิ่งรอบตัวด้วยความสดใส ราวทารกเพิ่งลืมตาดูโลก เพียงอึดใจจึงได้รู้ว่าตนไม่ได้อยู่ในวัดเส้าหลินอันเคร่งครึมอีกแล้ว ร่างระหงของมันนั่งอยู่บนเตียงนุ่มนิ่ม ปูไว้ด้วยขนสัตว์ขาวสะอาดตา มันอยู่ในห้องหับอันงดงามตระการ ผนังห้องทั้งสี่ด้านสร้างจากหินอ่อนเป็นเงา ประะดับประดาด้วยเครื่องทองเหลืองวาววับ แม้ตรงขอบหน้าต่างทรงหยดน้ำ ยังมีรวดรายทองเหลืองแบบชาวเปอร์เซียฝังลายจ่มเข้าขอบหิน แต่ที่น่าตื่นตาตื่นใจกว่าขอบลายวิจิตร เห็นจะเป็นภาพภายนอกอันประหลาดตา เมื่อหลิวหงเหินทอดสายตามองไปนอกหน้าต่าง จึงได้พบกับผู้คนหลายร้อยชีวิต กำลังนั่งคุกเข่าส่งเสียงสวดมนต์ให้กับดวงอาทิตย์แรกอรุณ ที่เริ่มเลยพ้นขอบฟ้า คนพวกนั้นสวมเสื้อคลุมยาว มีผ้าโพกหัวแบบชาวเปอร์เซีย ส่วนคนจำนวนน้อยลงมาราวสองร้อยคน ล้วนสวมเสื้อเกราะบาง วางหมวกเหล็กไว้ข้างกาย เหมือนพวกมันจะเป็นทหารที่เตรียมออกศึกหลังสวดมนต์เสร็จ... .....สมคำล่ำลือนัก เล่ากันว่าลัทธิมนีกีเป็นศาสนาแห่งนักรบโดยแท้... " เจ้ายินยอมตื่นขึ้นแล้วรึ ? ชายเสเพล ! " หลิวหงเหินรีบหันไปตามต้นเสียงตรงหน้าประตูทรงโค้ง จึงได้พบจ้าวจักรกาลอยู่ในชุดขาวสล่างดั่งปุยเมฆ ในมือมันถือถุงหนังบรรจุสุราไว้แนบข้าง ที่ร้ายคือยังมีสองมังกรเกล็ดเขียวมรกต บินตามหลังอยู่ไม่ห่าง " เกรงว่าข้าคงละเม้อเพ้อฝันอยู่กระมัง " " นับว่าเจ้ามีทางรอดแล้ว หากรู้ว่าฝันอยู่ ย่อมหาหนทางตื่นขึ้นได้ แตกต่างจากผู้คนทั่วไปที่ทั้งชีวิตยังไม่รู้ตื่นจากฝันอันงมงาย " จ้าวจักรกาลกล่าวราบเรียบ ขณะก้าวเดินไปยังหน้าต่าง ทอดตามองไกลไปยังฝูงชนที่กำลังพร่ำสวดมนต์เสียงดังระงม " หนึ่งในผู้ไม่รู้จักตื่น คงมีท่านรวมอยู่ด้วยใช่หรือไม่ มิเช่นนั้นคงไม่มีอณาจักรแห่งฝันใหญ่โตปานนี้ ซ้ำยังมีพสกนิกรอันงมงายนับไม่ถ้วน " จ้าวจักรกาลหันกลับมามองชายหนุ่มด้วยแววตาวาวโรจน์ ทว่าเพียงอึดใจกลับเปลี่ยนสีหน้าเป็นยกยิ้มอย่างพึงพอใจ " วาจาเจ้าก่อกวนจิตใจคนเช่นนี้นี่เอง เทพอสรพิษที่ว่าเล่ห์ร้ายพันลึก ยังไม่วายต้องปวดเศียรเวียนเกล้ากับเจ้า !....เลื่อมใส เลื่อมใส ..." จ้าวจักรกาลกล่าวอย่างเบิกบาน พลางโยนถุงหนังบรรจุสุราตรงไปยังหลิวหงเหิน ชายหนุ่มรีบคว้าถุงหนังไว้ แล้วกล่าวตามต่อ " เป็นข้าพเจ้าสมควรดื่มคารวะท่านมากกว่า ท่านศาสดา นักประดิษฐ์ จอมยุทธยอดฝีมือ และจอมบงการ ....ข้ากล่าวอันใดตกหล่นไปหรือไม่ ท่านมนีหัยยา ? " วาจาแดกดันของมันแพร่สยายไปกับรอยยิ้มเย้ยหยัน ก่อนจะยกเหล้าองุ่นดื่มลงคอ " ก่อนที่ข้าพเจ้าจะเป็นทุกสิ่งที่เจ้ากล่าว ข้าพเจ้าย่อมเป็นมนุษย์ไม่แตกต่างจากคนทั่วไป และที่ข้าพจ้ากระทำทั้งหมดก็เพราะความเป็นมนุษย์นี้เช่นกัน " หลิวหงเหินไม่ได้คล้อยตามคำมันนัก เพราะมัวแต่รื่นรมณ์กับรสสุราที่ขาดหายจากชีวิตไปเนินนาน แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าตนยังอยู่ในห้วงฝัน แต่รสเมรัยช่างเป็นจริงเป็นจังเกินห้ามใจ " เจ้าลุ่มหลงเมรัยไม่ต่างจากมนุษย์ทั่วไปที่ลุ่มหลงบางสิ่งบางอย่าง เมื่อลุ่มหลงก็จะก่อเกิดความหวงแหน หากมีใครมาแย่งชิงก็จะเกิดความขัดแย้งก่อความรุนแรง หากของรักสูญหายย่อมท้อแท้รันทด หากของรักเปลี่ยนแปลงไม่เหมือนเดิม ก็จะโหยหาความสุขที่เคยได้รับ นั้นล่ะคือแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์ " " ท่านศาสดาคิดเทศนาแสดงธรรม ให้ข้าพเจ้าเข้าลัทธิท่านหรือไร ? "... " การเข้าลัทธิข้าออกจะง่ายดายเกินไปมั้งชายเสเพล เบื้องนอกมีเรื่องราวยากเย็นแสนเข็ญรอคอยเจ้าอยู่ "... ทันทีที่จ้าวจัดรกาลกล่าวจบ สองมังกรที่ลอยล้ออยู่ในอากาศ พลันพุ่งเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลังชายหนุ่ม แล้วทั้งคู่ก็ม้วนตัวเป็นวงกลม จนพวกมันกลับกลายเป็นแสงทรงกลมเรืองสว่าง ดักหน้าดักหลังหลิวหงเหินไว้ " สรรพสิ่งล้วนดำเนินจากอดีตไปสู่อนาคต คนในยุคของข้าเรียกมันว่าเส้นเวลา และคนในยุคข้าเช่นกันที่เป็นผู้ก่อกวนเส้นเวลาจนแปนปรวน เมื่ออดีตและอนาคตไม่อยู่ในขอบเขตของมัน แต่กลับปะปนกันแทบแยกไม่ออก....เจ้าคิดว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น ชายเสเพล " โดยไม่ต้องรอให้หลิวหงเหินตอบคำ กลุ่มแสงจากสองมังกรพลันเคลื่นเข้าผสานกัน เกิดเป็นแสงปะทุ ระเบิดเป็นสะเก็ดวับวาวกระจายเต็มห้อง หลิวหงเหินตะลึงพึงเพิดกับสิ่งที่เห็น จนมันเผลอไผลปล่อยถุงหนังล่วงหลุดจากมือ จ้องมองเข้าไปในกลุ่มแสงนั้นอย่างไม่เชื่อสายตา เพราะในกลุ่มแสง ได้ปรากฏภาพกลุ่มคนในชุดแปลกตา กำลังเวียนวนอยู่กับเครื่องมือประหลาด โดยมีชายหนุ่มร่างสูงใหญ่สวมใส่ชุดเกล็ดมังกร ยืนอยู่ตรงแท่นทรงกลม เป็นศูนย์กลางของคนทั้งมวล " อดีตของข้าคืออนาคตของเจ้า มันคือนาคตที่เป็นจุดเริ่มต้นของวันโลกาวินาศ "... จ้าวจักรกาลเดินฝ่ากลุ่มแสง เข้ามาพร้อมกล่าวถ้อยคำอันน่าขนลุกขนชัน มันมาหยุดยืนอยู่ข้างชายหนุ่มในชุดเกล็ดมังกร ซึ่งมีเคล้าโครงหน้าคลับคล้ายจ้าวจักรกาลอยู่ไม่น้อย " ดูซิ...ในวัยเยาว์ของข้าก็เป็นชายเมามายไม่ต่างจากเจ้า มัวเมาในวิทยาศาสตร์ ทะเยอทะยานกับวิทยาการสมัยใหม่ อหังการณ์ที่จะเปลี่ยนแปลงโลก โดยเห็นบรรพบุรุษคนโบราณ ไม่ต่างจากประวัติศาสตร์อันล้าสมัย "...จ้าวจักรกาลทอดถอนใจมองตนเองในอดีตอย่างเลื่อนลอย " พวกข้าที่เรียกตนเองว่าอารยะชนต่างหาก ที่ทำผิดพลาดมหันต์นัก " มันกล่าวแห้งโหยไปพร้อมกับที่พราวแสงเปลี่ยนไปเป็น 12 ชายหนุ่มที่สวมชุดเกล็ดมังกร ยืนล้อมรอบกันเป็นวงกลม ทุกคนมีจักรกาลฝังอยู่ในต่างตำแหน่งของร่างกาย " เมื่อจักกาลทั้งสิบสองร่วมโคจรไปในทางเดียว จะสามารถสั่นคอนแดนดินให้เลื่อนลั่น " คนทั้ง12 พลันเรืองสว่างจ้า เพียงพริบตาคนทั้งหมดจึงหายลับไปกับตา แล้วกลับมาผุดโผล่ยังสถานที่อันแห้งแล้ง ทุรกันดาร " ในการเดินทางของพวกเราครั้งแรก ศาสตราจารย์ชอว์เลือกที่จะไขปริศนาของฮ่องเต้องค์แรกแห่งแผ่นดินมังกร"... " จิ๋นซีฮ่องเต้งั้นเหรอ ? " หลิวหงเหินเปรยเสียงถามลั่น เมื่อเข้าใจว่ากลุ่มนักประดิษฐ์เหล่านี้คิดทำอะไร " เจ้าช่างไม่ต่างจากคนทั่วไปเลย ที่ชอบยกย่องผู้ขึ้นสู่อำนาจ แต่แท้จริงแล้วผู้ผลักดันให้อณาจักรจิ๋นเกรียงไกร คือพ่อค้าที่มองกาลไกลยิ่ง มันคิดลงทุนทำการค้าสิ่งที่ไม่มีใครอาจเอื้อม....มันลงทุนสร้างจักรพรรดิขึ้นเหนือผู้ใดในประวัติศาสตร์ " " หลี่ปู้เวย ! ".... หลิวหงเหินอุทานอย่างลืมตัว เมื่อล่วงรู้แน่ชัดว่าพวกมันไปหาผู้ใด ในหัวชายหนุ่มพลันเลื่อนลั่นถึงเรื่องราวที่เคยร่ำเรียนมาตั้งแต่วัยเยาว์ ถึงประวัติศาสตร์นอันคลุมเครือของจิ๋นซีฮ่องเต้ บางตำราว่าจ้าวจีได้ตั้งท้องกับหลี่ปู้เว่ยก่อนจะถูกส่งตัวให้อ๋องแคว้นจิ๋น บิดาที่แท้จริงขององค์ปฐมฮ่องเต้จึงเป็นพ่อค้ามากเล่ห์ผู้นี้อย่างไม่ต้องสงสัย แม้จะมีหลายตำราหลายสำนัก ให้ข้อมูลขัดแย้งไปหลายทาง แต่ที่เหมือนกันหมด คือบั้นปลายชีวิตของหลี่ปู้เว่ย จะถูกเนรเทศไปชายแดนตะวันตก และตกตายไประหว่างทางในเกี้ยวทรงประดับทองคำอลังการ ใช้เกี้ยวหลังงามในกลุ่มแสงนั้นละมั้ง ?....หลิวหงเหินเฝ้าถามตัวเอง เมื่อเห็นเกี้ยวทองคำกำลังเคลื่อนมาในกลุ่มแสง มีทหารนับร้อยเดินเรียงรายคุ้มกันขบวน... แต่แล้วกองคาราวานอันแกร่งกล้า พลันต้องพังพินลงทันใด เมื่อเกิดมีกลุ่มคนชุดดำพร้อมอาวุธครบมือ ได้พวยพุ่งเข้าจู่โจมอย่างดุดัน ระหว่างอาวุธเข้าแลกปะทะ เลือดทะลักหลั่งริน ทั้งทหารและกลุ่มชายชุดดำที่โรมรันกันเผ็ดร้อน ทว่าเพียงพริบตา ทุกผู้คนพลันหยุดชะงักโดยพร้อมเพรียง เมื่อแสงจากหนึ่งในสิบสองชายหนุ่มในชุดเกล็ดมังกรได้เรืองสว่างขึ้น " ครั่งนั้นพวกเราใช้จักรกาลช่วยเหลือหลี่ปู้เว่ยจากการลอบสังหาร โดยปราถนาเดียวคือความจริงอันคลุมเครือมาหลายพันปี...ทุกอย่างเหมือนจะดำเนินไปอย่างเรีบบง่าย....พวกเราช่วยหลี่ปู้เว่ยมาไว้ในถ้ำลับ แต่สภาพร่างกายของมันทรุดโทรมนัก ไม่อาจให้ปากคำใดๆ....ด้วยร่างกายอันใกล้ตายของมันจึงไม่อาจใช้จักรกาลกลืนพลังชีพ หรือจักรกาลพหูสูตรเพื่อหาความจริง...." " จะมีเพียงจักรกาลจำแลงชีพเท่านั้นที่พวกเราอาจพึ่งพาได้ ".... ภาพพราวพรายในแสงสว่างปรากฏชายชรานอนตายอย่างสงบ ก่อนที่คนทั้ง12จะเรืองแสงหายลับไป " ไม่มีใครคาดคิดเลยว่า ครั้งนั้นจะเป็นหายนะแห่งแผ่นดินโดยแท้ ....พวกเราประมาทหลี่ปู้เว่ยเกินไป ! " ภาพในกลุ่มแสงเริ่มสลับเป็นมืดบ้างสว่างบ้าง ดั่งคนเกิดอาการแปรปรวนในอารมณ์ กระทั้งแสงสว่างโพลงขึ้นมาให้เห็นชายในชุดเกล็ดมังกร ที่ในมือมีจักรกาลชุ่มไปด้วยโลหิต ที่พื้นยังมีศพชายในชุดเกล็ดมังกรสี่นายนอนสิ้นลมอยู่กับพื้น " ชายผู้นั้นคือศาสตราจารย์ชอว์ผู้ครอบครองจักรกาลจำแลงชีพแห่งนักษัตรขาน…" " เจ้าเคยได้ยินเรื่องเล่าของชาวอุษาคเนย์หรือไม่ ที่ว่าเสือเมื่อกินเนื้อคนเข้าไปมากๆ จะกลับกลายเป็นเสือสมิงที่แปรเปลี่ยนร่างเป็นคนที่มันกินได้ จักรกาลจำแลงชีพเป็นเช่นนั้น".... หลิวหงเหินเหลือกตาตะลึง มองภาพในแสงที่ปรากฏกลุ่มชายในเครื่องแบบไล่ล่าศาสตราจารย์ชอร์ ไปจนมันเรืองแสงหาบลับไป… " หลี่ปู่เวยตายไปเพียงซากศพ แต่จิตใจมันกลับเข้ามาหลอมรวมกับร่างศาสตราจารย์ชอร์ เพราะการใช้จักรกาลโดยไม้ทันเฉลี่ยวใจ ว่าจิตอันแกร่งกล้าของหลี่ปู้เว่ยได้เข้ามาครอบครองร่างของศาสตราชอร์ไว้ในที่สุด !..." " ที่เลวร้ายคือความรู้ความสามารถของศาสตราชอร์ได้ถูกดูดซับเป็นของมันจนสิ้น และดูเหมือนความทะเยอทะยานของมัน จะถูกต่อยอดให้มีแรงปราถนามากขึ้น จนมันมุ่งจะเป็นเทพเจ้าเลยก็ว่าได้ "...ในตาจ้าวจักรกาลรุกวาว จ้องมองไปยังแสงพราวพรายรอบตัว " หลี่ปู้เวยชกชิงจักรกาลจากร่างกายผู้ร่วมทดลองไปสี่เครื่อง หนึ่งในนั้นคือจักรกาลย้อนทวน แล้วมันก็ข้ามไปในอดีต แปรเปลี่ยนร่างเป็นผู้อื่นอีกหลายคน หลายร่าง เป็นทั้งจอมยุทธยอดฝีมือในยุคต้าซ้อง เป็นทั้งจอมปราชญ์ในยุคฮั่น กระทั้งมันได้แนวคิดพิสดารคิดกอบกู้ราชวงศ์จิ๋นท่ามกลางยุคสมัยแห่งความเปลี่ยนแปลง " ภาพได้ปรากฏหอคอยบนยอดภูผาในเกาะกลางทะเล ..ที่แท้มันคือผู้สร้างวังมังกรอย่างนั้นเหรอ ?.... " หลี่ปู้เวยในร่างคหบดีผู้มั้งคั่ง ได้ก่อสร้างวังมังกร มันเตรียมการทั้งหมดเพื่อลบล้างอรยะธรรมแห่งต้าหมิง เพื่อจะกลับกลายเป็นผู้กอบกู้ เถลิงอำนาจสู่จอมจักรพรรดิที่มันปราถนา " ในภาพที่อยู่กลางแสง ปรากฏยอดหอคอยแห่งวังมังกรที่กำลังเรืองแสงเจิดจ้า โดยในม่านฟ้าราตรีเบื้องบน เฉิดฉายไปด้วยฝนดาวตกวับวาวพราวพุ่งเป็นสายหลากสีกระจายอยู่เต็มฟ้า แต่แล้วพายุฝนดาวตกกลับเปลี่ยนทิศทาง ไม่ล้วงพ้นขอบฟ้า หากเบี่ยงเบนตกมายังเนินชายฝั่ง และบางส่วนพุ่งกระหน่ำมายังวังมังกร …. กลุ่มดวงดาวขนาดมโหราฬพุ่งชนปะทะกับอาคารตระการจนพังถล่มทลาย ซ้ำร้ายทะเลยังเกิดคลื่นยักษ์บ่าทะลักเข้าสู่แผ่นดิน กระหน่ำหนักหน่วงจนบ้านเรือนพังทลาย ผู้คนล้มตายนับร้อยนับพัน….
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD