กลิ่นดอกพุดตานหอมจรุงไปในสายลม อบร่ำบรรยากาศให้ละมุนละมัย คล้ายทอดน่องไปในแดนฝัน
สองหนุ่มสาวที่เริงรื่นใต้ต้นพุตตานอาบไล้ความสุขสราญ จนโลกทั้งใบกลายเป็นแดนดินของสองคน
ชายหนุ่มในชุดขาวมีเสื้อคลุมยาวสีครามสวมภายนอก กำลังยืนตวัดวาดปลายภู่กันเหนือโต๊ะตั่ง ใบหน้ามันแย้มยิ้มอ่อนโยนไปทุกปลายภู่กันที่ลากผ่านผ้าไหม แววตามันทอประกายแผ่ไอรักเหม่อมองต้นแบบอันงามสะคราญอย่างไม่สงวนท่าที
ผู้เป็นแบบให้มันเป็นเด็กสาวสดใส หน้าตางดงามหมดจรด ผิวขาวผุดผาดราวเย้ยหิมะ นางสวมใส่ชุดสีชมพูอ่อนขริบลายดอกโบตั๊นสีเหลือง ใบหน้านางประดับรอยยิ้มพริ้มพรายขณะร่ายรำวิชายุทธ หากท่วงท่ากลับงดงามอ่อนช้อย คล้ายนางรำสะคราญโฉม
" ผิง ผิง เจ้าอย่าได้ร่ายรำฝ่ามือชุดนี้ให้อาจารย์ใหญ่เห็นเชียว มิเช่นนั้นคงถูกจับตัวส่งไปเป็นนางรำในวังหลวงแล้ว " ชายหนุ่มอมยิ้มละมัย ขณะกล่าวหยอกเอินอ่อนหวาน
" คิก คิก คิก...ข้าพเจ้าย่อมร่ายรำให้พี่หงษ์ดูคนเดียวอยู่แล้ว เพราะฝ่ามือชุดนี้สยบได้เพียงพี่หงษ์คนเดียว " นางกล่าวด้วยรอยยิ้มละมุน พร้อมทั้งร่ายรำกระบวนท่าข้าใกล้หลิวหงเหินเพิ่มขึ้น
" ข้าเพิ่งเคยได้ยิน ว่ามีวรยุทธที่สยบคนได้เพียงผู้เดียว ออกจะเสียเวลาฝึกปรืออยู่ไม่น้อยนะ "
" ย่อมไม่เสียเวลาหรอก นี่เรียกฝ่ามือปักษาตกนภา เอาไว้กำราบหงษ์มากเล่ห์เพทุบายให้กลายเป็นลูกแมวเชื่อเชื่อง " นางร่ายรำจนเข้ามาประขิดตัวชายหนุ่ม แล้วเอื่อมมือมาเกาคางชายหนุ่ม คล้ายเกาคางแมวน้อยน่าถนอม
" ผิง ผิง เจ้าไม่จำเป็นต้องลงไม้ลงมือหรอก แค่รอยยิ้มของเจ้าก็สยบข้าให้เนื่องนองไว้แทบเท้าแล้ว "
ชายหนุ่มประสานสายตากับนาง เหมือนจะบอกเล่าความรักในใจออกมานับร้อยนับพัน
มันยินยอมแลกทุกสิ่ง เพื่อให้ได้ยินเสียงหัวเราะสดใสนี้ทั้งชีวิต
.....แต่ไหนเลยผู้คนจะสมหวังได้ทุกสิ่งอย่าง !....
เมื่อรอยยิ้มเบื้องหน้ามันแข็งค้าง มือบอบบางที่เกาใต้คางกลับนิ่งสนิท ไร้การเคลื่อนไหว
" ผิง ผิง ! เจ้าเป็นไรไป ! "...
หลิวหงเหินเหลือกตาพอง ร้องแตกตื่น สองมือจับไหล่นางเขย่าด้วยความประหลาดใจสุดระงับ
ทว่าเสียงที่ตอบกลับ ได้แว่วมากับสายลมที่ไกลตา
" ที่แท้นางในดวงใจของเจ้างดงามถึงเพียงนี้ มิน่าเจ้าถึงได้ละเมอเพ้อพกราวคนเสียสติ "
ผู้กล่าวคือเด็กสาววัย16 ที่สวมใส่เสื้อผ้าตัดเย็บเป็นตารางพื้นนาหลากสี นางถือขลุ่ยหยกขาวทรงประหลาด เปลือยเท้าเปล่าเดินแตะยอดหญ้ามาราวเหินบิน
" เจินจีซี !...เป็นไปไม่ได้ ..นางมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ? "
ทันทีที่หลิวหงเหินอุทานออก ใจมันพลันคิดได้โดยฉับไว....
ที่แปลกประหลาดไม่ใช่เด็กสาว หากแต่เป็นมันกับตวนผิงผืงต่างหาก ที่ไม่สมควรมาอยู่ในสถานที่แห่งนี้ร่วมกัน
" เอ !...ข้าพเจ้าสมควรตระเตรียมไม้เท้าเหล็ก กับสุนัขนำทางให้เจ้าสักตัวดีหรือไม่ เพราะคนคลั่งรักมักจะเสียดวงตา และไร้เท้าเดินเหินอย่างเสรีแล้ว ! " เด็กสาวกล่าวระรื่นหน้าเป็น พลางใช่ขลุ่ยตีบนฝ่ามือ ขณะเดินวนรอบสองหนุ่มสาวอย่างพินิจพิเคราะห์
...ต้องเป็นฝันร้ายแน่แท้แล้ว เป็นฝันร้ายที่ไม่น่าอภิรมณ์เลย....หลิวหงเหินบ่นงึมงำกับตัวเอง โดยสายตาจับจ้องมองเด็กสาวตาไม่กระพริบ
" ข้าว่าเจ้าเริ่มมีอาการตาฝาฝางแล้วล่ะ เพราะตอนตื่นมาครั้งก่อน เจ้ายังทึกทักว่าข้าเป็นผืงผิงอย่างนู้น ผิงผิงอย่างนี้...เจ้าดูดีๆข้ากับนางมีอันใดเหมือนกันสักนิดหรือไม่ ! " นางรีบเร่งไปยืนเคียงข้างผิงผิง แล้วยื่นหน้าผุดผาดชิดกัน ให้ชายหนุ่มเห็นถนัดถนี่
...จะทำอย่างไรให้ตื่นจากฝันนี้ได้เล่า ? ....ชายหนุ่มสบถเสียงดัง พลางส่ายหัวไปมา แล้วใช่ฝ่ามือเคาะหัวตัวเองซ้ำๆสอง - สามครา
" ฮิ ฮิ ฮิ...สภาพเจ้าไม่ต่างจากเฒ่าวานรเลย เจ้ากลับกลายเป็นคนโฉดตัวตลกไปแล้วรึ ? " นางหัวร่อจนตาหยี ลักยิ้มข้างแก้มปรากฏขึ้นแจ่มชัด ขณะควงขลุ่ยเข้ามาใกล้ชายหนุ่มอย่างอารมณ์ดี
" เป็นฝันของข้าแท้ๆ เหตุใดไม่สามารถขับไล่เจ้าได้ ? "
" หากเป็นฝันของคนโฉด ไหนเลยข้าพเจ้าจะเข้ามาเมียงมองให้ระคายตา "
คำพูดของนางทำเอาหลิวหงเหินขมวดคิ้วขุ่น พลางมองไปรอบๆด้วยความงงงวย
" หากไม่ใช่ฝัน เหตุใดข้าถึงเห็นภาพในอดีตได้ ? "
" ย่อมต้องเห็นอยู่แล้วเจ้าตัวโง่งม ก็เจ้าอยู่ในจักรกาลปรมัตถ์นิ ทุกสิ่งที่อยู่ในใจล้วนปรากฏแจ่มแจ้งหมด "....
" จักรกาลปรมัตถ์ ! "
" เจ้าจะพูดตามข้าทำไมเนี่ย ?...เจ้าคนโฉด ! "...
" ไม่ได้พูดตาม แค่ไม่เข้าใจว่าจักรกาลปรมัตถ์คืออะไร ? แล้วข้าเข้ามาอยู่ในนี้ได้อย่างไร ? "...
" เรื่องนี้ง่ายดายยิ่ง เพราะฒ่าวานรไม่สามารถฝังจักรกาลมรณะในร่างกายเจ้าได้ เหมือนจักรกาลยังรังเกียจร่างกายพิษของเจ้าเลย .... เจ้าต้องเห็นกับตานะ ว่าตาเฒ่าวานรหงุดหงิดงุ่นง่านแค่ไหน ตัวเล็กๆของมันลุกลี่ลุกลน ...ตลกมากเลย ! " นางหัวร่อเสียงใส จนใบหน้าแดงเปล่งปลั่งด้วยเลือดฝาด
" ทีนี้ พอตาเฒ่าหมดปัญญา จ้าวจักรกาลเลยยื่นมือมาจัดการเจ้าเอง ...แล้วร่างกายของเจ้าก็เข้าไปอยู่ในต้นไม้แห่งชีวิต ส่วนจิตใจก็มารวมศูนย์เดียวกับจ้าวจักรกาล....เห็นมั้ยง่ายจะตาย ! "
หลิวหงเหินเกาหัวแก๊กกาก ก่อนจะกล่าวเสียงแผ่วเบา
" นี่ง่ายแล้วเหรอ ? "
" เป็นเพราะเจ้านั้นล่ะที่ทำให้ยาก ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่ต้องถูกมารดาข่วงใช้ให้มาพบเจ้า " นางกล่าวพลางแหง่นหน้ามองขอบฟ้าไกล
" ข้าไปทำอันใด ถึงได้เดือดร้อนแม่นางน้อยขนาดนี้ "
" ยังมีหน้ามาถามอีก ก็เจ้าเอาแต่วกวนอยู่กับนางในดวงใจ จนจ้าวจักรกาลไม่สามารถเข้าถึงจิตใจเจ้าได้ ยิ่งเจ้าปิดกั้น จะยิ่งมีผลร้ายกับเจ้านะรู้หรือไม่ ! "
คำอธิบายของนางเรียงไหลไปพร้อมขอบฟ้าได้มืดมิดลงฉับพลัน ราวเกิดสุริยะคราสเคลือบคลุม
" แล้วข้าต้องทำอย่างไร จึงจะถูกต้องเล่า ! "
ไม่ทันที่ชายหนุ่มจะกล่าวจบ เด็กสาวก็เร่งรีบเข้ามายืนเคียงข้าง แล้วใช่อุ้งมือน้อยๆเกาะกุมมือมันไว้
" เจ้าได้กระทำแล้วคนโฉดชุดคราม เพียงรับรู้ แล้วเปิดใจ เจ้าก็จะได้พบมัน ! "...นางกล่าวระรื่นยินดี ท่ามกลางฟ้าที่มืดลงเรื่อยๆ
หลิวหงเหินเหลียวมองตวนผิงผิงที่กำลังเลือนลางในความมืด มันอยากจดจำรายละเอียดนางไว้ให้หมดสิ้น เพราะนี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้ใกล้ชิดนางถึงเพียงนี้...
เพราะในโลกแห่งความจริง นางคือซือหม่าฮูหยิน ชายหนุ่มจะทำได้เพียงก้มหน้ามองปลายเท้านางเท่านั้น
....หรือการจำพรากจะเป็นแก่นแท้แห่งความสัมพันธ์…. ถ้าเช่นนั้น ภายในหลุมรักคงมีความจำพรากรอคอยอยู่ปลายทาง....
" จ้าวจักรกาล ข้พเจ้านำตัวมันมาส่งมอบให้แล้ว ที่เหลือท่านจัดการเองเถอะ อย่าได้มาตอแยข้าพเจ้าอีกล่ะ ! "...
เด็กสาวตะโกนเสียงใส ท่ามกลางความมืดดำที่แผ่ขยายปกคลุมท้องฟ้าไปทั่ว
ชายหนุ่มรู้สึกเพียงอุ้งมืออบอุ่น กับเสีงหัวเราะฮิ ฮิ ข้างกาย
" แค่นี้เองเหรอ แม่นางน้อย ? "...
ความสงสัยของมันได้ถูกคลี่คลายด้วยเสียงหวีดหวิวจนแสบแก้วหู แล้วร่างกายมันเหมือนจะถูกดูดเข้าไปในความมืด ร่างมันพลันเสียวสะท้านทั่วสรรพรางค์
กระทั้งแสงสว่างพลันวาบเรืองขึ้นฉับพลัน
เพียงพริบตาหลิวหงเหินพบว่ามันมาหยัดยืนอยู่ที่ลานหินกว้าง อาบไล้ด้วยแสงจันทร์บนฟากฟ้า
มันยืนอยู่โดดเดี่ยวไร้เงาเด็กสาวที่เคยอยู่ข้างกาย รอบตัวมีเสาเจดีย์หินวางเรียงราย ผสานเข้ากับลมหนาวที่โชยพัด กับเสียงสวดมนต์งึมงำ ทำให้หลิวหงเหินเข้าใจได้ในทันใด ว่าตนอยู่ในวัดพุทธศาสนาที่ใดที่หนึ่ง
" จ้าวจักรกาลมาอยู่ที่วัดทำไมกัน หรือมันจะกลับกลายเป็นหลวงจีนไปแล้ว "
หลิวหงเหินบ่นงึมงำกับตัวเอง ขณะเดินลึกเข้าภายใน เพื่อตามหาเสียงสวดมนต์ที่ได้ยิน มันเดินเลี่ยงหลบเสาหินไปสาม-สี่ต้น จนมาพบลานหินกว้าง ที่มีเหล่านักบวชนั่งชุมนุมกันเป็นครึ่งวงกลม ล้อมรอบภิกษุชราผิวคล้ำห่มคลุมจีวรสีแดงหม่นๆไว้ถึงศรีษะ
" ปรมาจารย์ตั๊กม้อ ! "....
ชายหนุ่มร้องโพลงด้วยความตกใจ แต่เพียงครู่ก็ฉุกใจคิดได้ว่ามันอยู่ในความทรงจำของจ้าวจักรกาล สิ่งที่เห็นล้วนผ่านเลยเวลาไปแล้วทั้งสิ้น
หลิวหงเหินจึงยืนนิ่ง มองเหตุการณ์สำคัญที่เคยได้ยินแต่คำเล่าขานในยุทธภพมาช้านาน
แล้วเหตุการณ์ก็เรียงไล่ไปตามเรื่องเล่าอย่างที่เคยได้ยิน....
ตั้งแต่ปรมาจารย์ชราตั้งคำถามว่า ธรรมะที่แท้ของพระพุทธองค์คืออะไร ?...
พระผู้ใหญ่ที่นั่งรายล้อม ต่างเรียงกันตอบที่ละรูป กระทั้งมาถึงพระองค์สุดท้ายที่มีเพียงแขนเดียว ท่านเพียงลุกขึ้นไปคารวะอาจารย์ แล้วกลับมานั่งเม้มปากแน่น
จากนั้นท่านปรมาจารย์จึงเอ่ยกับศิษย์ที่ละรูป ที่ละรูป...
กับภิกษุรูปแรกท่านว่าได้รับผิวหนังของท่านไป รูปที่สองท่านว่าได้ฝ่ามือของท่านไป รูปที่สามท่านว่าได้กล้ามเนื้อของท่าน รูปที่สี่ได้รับเส้นเอ็นของท่าน ส่วนพระแขนเดียวรูปสุดท้ายท่านว่าได้รับไขกระดูกของท่านไป
แล้วปรมาจ่รย์ก็ส่งมอบจีวรเจ้าสำนักกับคัมภีร์หลายเล่มแกพระแขนเดียวผู้นั้น...
" จ้าวจักรกาลนำข้ามาที่นี่ทำไมกัน ? "
หลิวหงเหินเฝ้าถามตัวเอง ขณะเหล่าพระทั้งหลายค่อยทยอยออกจากลานกว้างไป
กระทั้งเหลือปรมาจารย์ตั๊กม้อนั่งโดดเดี่ยวเพียงลำพัง
" ประสกดั้นด้นมาจากแดนไกล ใยไม่ออกมาสนทนากันสักครา "...
เสียงทุ่มต่ำของปรมาจารย์ ทำเอาหลิวหงเหินสะดุ้งตัวลอย...ที่นี่คือความทรงจำเหตุใดปรมาจารย์ล่วงรู้การมีตัวตนของมันได้ ?....
หลิวหงเหินครุ่นคิดในใจขณะจะก้าวออกไปคารวะปรมาจารย์แห่งยุค
แต่แล้วหลิวหงเหินพลันต้องชะงักค้าง เมื่อพบว่ามีเงาทมึนสองสายพวยพุ่งออกมาจากความมืด
" โ ฮ๊ ก...โ ฮ๊ ก ก ก .... "
ที่มันเห็น คือมังกรเกล็ดเขียวดั่งมรกตสองตัวโบยบินออกมาจากความมืด แล้วทะยานเข้าหาปรมาจารย์เฒ่า พร้อมกับขู่คำรามไปกับการบินวนรอบตัวท่าน
" พลังจิตใจของท่านน่าอัศจรรย์นัก เสียดายที่ท่านใช่จิตอันทรงพลังมาใช้เป็นเครื่องเล่น หากท่านนำมาไตร่ตรองธรรม จะทรงคุณประโยชน์ไม่น้อย " ปรมาจารย์ตั๊กม้อกล่าวเชื่องช้าเรียบนิ่ง ไร้วี่แววหวาดกลัวแม้แต่น้อย
" พลังสร้างภาพมายาของข้าเป็นเพียงเครื่องเล่นในสายตาท่านเท่านั้นเองหรือ ! "
น้ำเสียงก้องกังวานกระจายคำกร้าวมากับชายเปี่ยมพลัง ที่เดินออกจากความมืดด้วยท่วงท่างามสง่าดั่งราชาเหนือแดนดิน
" จ้าวจักรกาล ! "
หลิวหงเหินอุทานอย่างลืมตัว เมื่อพบกับชายผู้เป็นศูนย์รวมแห่งความวิปริตทั้งหมดทั้งมวลที่ประสบมา
รูปลักษณ์ของจ้าวจักรกาลสูงสง่ากำยำน่าเกรงขราม ไว้เคราดำดกหนา สวมอาภรณ์ประดับอัญมณีวาววับ มีหยกหลายชิ้นห้อยรอบสายรัดเอว ซ้ำยังสวมเกราะแขนลวดลายมังกร ในมือมันยังมีดาบหัวตัดล้อมประดับพลอยส่องประกายแดงวาบ ดวงตาคมเข้มของมันราวกับเรืองแสงวาวโรจณ์ จับจ้องสมณะตั๊กม้อเขม็ง
" มายาย่อมไม่ใช่ความจริง สิ่งที่ไม่ใช่ความจริงล้วนเป็นของเล่นทั้งสิ้น "...
ปรมาจารย์เฒ่ากล่าวราบเรียบ พร้อมเพรียงกับมังกรมรกตทั้งสองค่อยเลือนหายไปในอากาศ
" คงมีเพียงธรรมะของท่านใช่มั้ย ที่เรียกว่าความจริง ? "
" เป็นธรรมะของพระพุทธองค์ต่างหากประสก "
" แล้วถ้าข้าพเจ้าบอกว่าธรรมะของพุทธองค์ ได้ก่อพิษภัยมหันต์ ! ท่านยินยอมเชื่อหรือไม่ , "...
" เป็นบรรพชิตย่อมยอมรับคำติเตียนเสมอ "
" ประเสริฐ ! ".
จ้าวจักรกาลกล่าวก้องกังวาน พร้อมกับเดินเข้าไปเผชิญหน้ากับปรมาจารย์ มันเอื้อมมือปักด้ามดาบลงมนพื้นหินแข็งกระด้างอย่างง่ายดาย เหมือนปักธูปในกระถ่างทรายไม่มีผิด
" ท่านรู้หรือไม่ว่าศิษย์ที่ได้รับฝ่ามือของท่านไป ในอีกยี่สิบปีข้างหน้าจะคิดค้นวิชา18ฝ่ามืออรหัต์ จนมีผู้ร่ำเรียนไปทำร้ายคนนับไม่ถ้วน ยังมีศิษย์ของท่านที่ได้เส้นเอ็นของท่านไป จะกลับกลายเป็นปรมาจารย์ผู้ดัดแปลงท่าโยคะของท่านเป็นวิชาเปลี่ยนเส้นเอ็น อันเป็นเหตุให้ชาวยุทธต้องมีอันแก่งแย่งกันเกิดล้มตายหลายร้อยชีวิต และที่ร้ายที่สุดเห็นจะเป็นพระแขนเดียวรูปนั้น ที่แปลคัมภีร์วิชาฟอกไขกระดูกจากภาษาสันสกฤตผิดเพี้ยน ทำให้รอบพันปีผ่านยังไม่มีผู้ใดบรรลุวิชานี้ เลวร้ายกว่าคือมีผู้ฝึกถูกธาตุไฟเข้าแทรกจนตกตายไปไม่น้อย.. "
" อามิตตา พุทธะ...สัตว์โลกล้วนต้องเป็นไปตามกรรมโดยแท้ "...
" ท่านนึกเสียใจแล้วใช่หรือไม่ ? " ดวงตาจ้าวจักรกาลเรืองแสงวาว ราวราชาผู้พิชิตชัย
ทว่าปรมาจารย์เฒ่าหาได้สลดหดหู่แม้แต่น้อย ท่านกลับยกยิ้มมุมปากอันมากไปด้วยเมตตาธรรม
" ชนชั้นศาสดาเช่นท่านคงไม่ข้ามเวลามาหลายร้อยปีเพื่อติเตียนอาตมาหรอกใช่มั้ย ! "
ศาสดาอย่างนั้นเหรอ ?...มันไปก่อตั้งลัทธินอกรีดหรือไร ? ...หลิวหงเหินเฝ้าครุ่นคิด เมื่อได้ยินคำว่าศาสดาหลุดออกจากปากปรมาจารย์ต๊กม้อ
" ข้าเป็นเพียงคนพลัดถิ่น ไหนเลยจะมีศักดิ์ฐานะสูงส่งเช่นนั้น ! "
" ท่านผู้อยู่เหนือกาลเวลา ใยกล่าวถ่อมตนนัก....ที่แดนประจิมอีกสองร้อยปีข้างหน้า ท่านได้รวมหลอมหลายศาสนาให้กลายเป็นลัทธิมนีกี อันนำพาผู้คนนับแสนนับล้าน อาตมาสมควรเรียกท่านว่าศาสดามนีหัยยาจึงจะถูกต้องใช่มั้ย "
หลิวหงเหินตกตะลึงตาค้าง อยู่เหนือความคาดหมายไปไกล ว่าซีซ่า หลง ชายหนุ่มจากอนาคต จะกลับกลายเป็นศาสดาแห่งลัทธิที่เคยช่วยจูหยวนจางกอบกู้บ้านเมือง
" เลื่อมใส เลื่อมใส ที่แท้ท่านเป็นสมณะผู้มีญาณหยั่งรู้อนาคต มิเสียแรงชื่อเสียงท่านกระเดื่องดังดั่งเป็นอมตะนิรันด์ "....
" อาตมารู้ได้จำกัดยิ่ง ยังห่างไกลคำว่าสัพพัญญูมากมายนัก "
" ถ้าเช่นนั้นท่านคงไม่ล่วงรู้ซิว่า ในอนาคตอีกพันปีข้างหน้า สรรพชีวิตใกล้ถึงคราสูญเผ่าพันธ์แล้ว "
ไม่เพียงปรมาจารบ์ตั๊กม้อจะเบิกตากว้าง ตัวหลิวหงเหินก็ตะลึงงันกับสิ่งที่ได้ยิน
" อามิตตา พุทธะ....ท่านเดินทางมายาวไกล คงไม่ใช่เพียงมาบอกกล่าวถึงหายนะแห่งอนาคตเท่านั้นละมั้ง "
" ถูกต้องแล้วท่านปรมาจารย์ สิ่งเดียวที่ข้าปราถนาคือ ขอน้อมรับฟังเคล็ดวิชาฟอกไขกระดูกอันเที่ยงแท้จากท่าน "
" วิชาของอาตมาสามารถช่วยกอบกู้สรรพชีวิตอย่างนั้นรึ ? "
" ถูกเพียงครึ่งเดียวท่านปรมาจารย์ อีกครึ่งขึ้นอยู่ที่ว่าชายเสเพลจะสามารถบรรลุวิชาของท่านหรือไม่ "
เสียงก้องกัมปนาทของมันพวยพุ่งไปพร้อมกับการปรากฏตัวของสองมังกร ที่ทะยานมายังหลิวหงเหิน มันทั้งคู่บินวนเวียนรอบร่างชายหนุ่ม จนดูคล้ายรัศมีมรกตโคจรรอบตัว
" สงบใจรับฟังเคล็ดวิชาให้ดีชายเสเพล แผ่นดินจะรอดหรือจะพังทลายขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว "...
จ้าวจักรกาลกล่าวด้วยเสียงทรงพลัง พลางทรุดกายนั่งขัดสมาธิต่อหน้าปรมาจารย์
" วิชาฟอกไขกระดูกเป็นยอดวิชาชำระจิตให้ทุกข์มลายกลายเป็นสุญญตา เมื่อปรับเปลี่ยนเคล็ดธรรมะเป็นแนววิชาลมปราณ จึงเป็นพลังอันแปรเปลี่ยนลมปราณร้าย พิษมหันต์ในกาย ให้รวมหลอมเป็นพลังปราณอันแกร่งกล้า "...จ้าวจักรกาลเปรยเสียงให้สะท้อนสะท้านไปทั่วอากาศ
" หมื่นธรรมคืนสู่หนึ่ง แล้วหนึ่งคืนสู่ที่ใด ? "....
ปรมาจารย์ตั๊กม้อกล่าวตอบโต้ทิ้งท้ายด้วยปริศนาธรรม ก่อนจะเริ่มร่ายเคล็ดวิชาให้ก้องกระจายไปทั่ว
เพียงรับฟังเลียง ลมปราณในกายหลิวหงเหินเหมือนจะเคลื่อนขยับไปตามเคล็ดวิชา ทุกถ้อยคำได้แทรกซึมเข้าไปถึงภายในมัน ทั้งผลักส่ง ทั้งชักจูง จนสามลมปราณ หนึ่งไอพิษในตัวพลานวิ่งวุ่นเกลื่อนกระจายไปทั่ว ก่อนจะรวมหลอมเป็นหนึ่ง
ผสานเข้ากับมังกรเกล็ดมรกตทั้งสอง ที่บินวนรอบตัวมันด้วยความเร็ว จนกลายสภาพเป็นแสงมรกตเคลื่อนสัมพันธ์เป็นวงแหวนห่อหุ้มกาย...
หลิวหงเหินพลันโปร่งโล่ง สว่างเจิดจ้า ดั่งเรืองรองแสงพราวไปทั้งกาย...