เผชิญหน้าสามสำนักใหญ่

2811 Words
หลิวหงเหินมองสองยอดฝีมือเพลงหมัดเข้าสัปยุทธ ด้วยความอิดหนาระอาใจนัก เหตุใดการรักษาเยียวยาจึงครุ่กกรุ่นด้วยวิชายุทธถึงเพียงนี้ ธาตุแท้ชนชั้นนักสู้ไม่อาจแก้ไขเปลี่ยนแปรได้จริงๆ มันส่ายหัวมองไปรอบๆ ไม่ใยดีการออกลวดลายเพลงหมัดที่หักล้างกันดุดัน จนทุกสายตาในบริเวณล้วนมองจ้องตาไม่กระพริบ ต่างจากหลิวหงเหินที่เหลียวมองไปอีกทาง ตรงข้ามกับลานประลอง ตรงโขดหินที่เป็นเชิงผาชันทอดยาวไปถึงหลังน้ำตก ที่ซึ่งมีถ้ำน้อยคอยให้รักษาผู้คนอยู่ เร็วเท่าใจคิด หลิวหงเหินเผ่นพลิ้ววิ่งไต่หน้าผา แม้จะใช้พลังวัตรได้ไม่เต็มที่ แต่วิชาตัวเบาบุปผาลอยลมยังคงใช้ออกได้หมดจรด เคลื่อนที่คล่องแคล้วราวเหินบินไปทางหน้าผา ก่อนจะพาตัวพุ่งผ่านม่านน้ำตกกระโดดลงหน้าปากโพรงถ้ำ ภายในถ้ำสว่างเรืองด้วยตะเกียงน้ำมันดวงน้อย เผยให้เห็นความเป็นไปภายในที่มีผู้คนกลุ่มเล็กๆนั่งล้อมวงอยู่กับพื้น โดยมีชายฉกรรจ์พรรคฉลามเงินนั่งล้อมสองหญิงสาวไว้ “ พี่ชาย !…มาแล้วเหรอ? ” พัคนารินเอ่ยทักเสียงใส ทั้งที่มือยังวางทาบอยู่บนอุ้งมืออมิตาร์สนิท “ เจ้าสองคนนี่เองหมอวิเศษที่พวกมันร่ำลือ ” หลิวหงเหินทักทายด้วยใบหน้าระรื่น สายตาทอดมองวิธีรักษาของพวกนางทั้งคู่อย่างสนอกสนใจ “ ชู่ ว์ ว…เจ้าเงียบเสียงหน่อย การช่วยเหลือเฒ่าผู้นี้ยังไม่สิ้นสุด " อมิตาร์กล่าวเสียงเขียว พลอยให้ชายหนุ่มที่นั่งรายล้อมวงหันมามองหลิวหงเหินอย่างไม่สบอารมณ์นัก !… “ อ้อ !..ข้าเสียมารยาทแล้ว ” หลิวหงเหินกล่าวนอบน้อม พลางถอยไปยืนผิงผนังเฝ้ามองอย่างเงียบเชียบ มันมองการรักษาแปลกประหลาดที่เพิ่งเคยพบเห็น โดยอมิตาร์กับพัคนารินนั่งขัดสมาดอยู่หน้าชายชราร่างใหญ่ อมิตาร์ยกฝ่ามืออยู่เหนือใบหน้ามัน หลังมือนางมีเครื่องประดับสร้อยมือที่บังจักรกาลไว้ หากใต้เครื่องประดับยังมีแสงเรืองอ่อนๆอาบไล้ใบหน้าชายชรา พัคนารินวางมือทาบบนหลังมืออีกข้างของอมิตาร์ โดยนางโน้มหน้าเข้าใกล้ชายชรา พร่ำพูดเสียงเบาๆโดยชายชรายังเหม่อมองไม่รับรู้เรื่องใด กระทั้งหลังมืออมิตาร์เรืองแสงวาบ พร้อมเพรียงกับที่พัคนารินดีดนิ้วดัง…' เปาะ ! "… “ จงคลายสะกด !….” พัคนารินกล่าวดังกึกก้องไปทั้งถ้ำ จนชายชรานั้นสะดุ้งตัวโยกไหว พริบตาชายชรากลับฟื้นตื่นได้สติ มันขยับโยกส่าย ร้องโอดโอย ทำให้เหล่าชายหนุ่มต้องรีบเข้าไปพยุงตัวมันไว้ “ ท่านประมุข รู้ตัวแล้วใช่หรือไม่ ! ” เป็นชายเคราหนาหน้าดุคนนั้น เข้าประคองหัวหน้าพรรคไว้เอ่ยถามสุดห้วงใย ห่างไกลจากหน้าตาดุดันไปคนละทาง “ ถังหมิ่น ..นี่ข้า..ข้า..ข้าอยู่ที่ใด ! ”… “ ท่านหัวหน้า ”….เหล่าชายฉกรรจ์ต่างคุกเข่ามอบกราบ ร่ำร้องเรียกเป็นเสียงเดียวกัน แตกต่างจากภายนอกถ้ำที่ผู้คนต่างนิ่งสนิท จ้องมองสองยอดฝีมือประลองยุทธเป็นตาเดียว …ทั้งคู่หักล้างกันร้อยว่ากระบวนท่าโดยยังไม่มีใครเพรียงพร่ำ เร่งเร้าลมปราณเข้าโรมรันจนโขดหินสั่นระรัว หลิวหงเหินสลับมองทั้งภายในถ้ำและภายนอก จนรู้สึกแปลกประหลาดพิกล หนึ่งปราบปลื้มดีใจอีกหนึ่งกลับคลุ้มคลั่งดุดัน …. มนุษย์คงมีความไม่แน่นอนเป็นแก่นแท้แน่แล้ว…. ยิ่งเมื่อเหลียวไปเห็นพัคนารินที่กำลังยิ้มละมัยเดินเข้ามาพร้อมอุ้มกระต่ายไว้ในอ้อมอก หลิวหลงเหินยิ่งรู้สึกแห่งความไม่แน่นอนจับใจ เพราะที่เห็นอยู่ไม่ใช้หญิงสาวมอมแมม ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง แต่นางกลับเปลี่ยนเป็นหญิงงามตระการตานัก ทรงผมละท้ายทอยของนางถูกรวบรัดเป็นทรงพุ่ม โดยมีสร้อยมรกตเส้นบางคล้องจากศรีษะลงมาหน้าผาก เผยลำคอเรียวยาวขาวโดดเด่น ใบหน้ารูปไข่เปล่งปลั่งด้วยความร่าเริง ซ้ำยังสวมเสื้อผ้าตามยุคสมัย เป็นชุดเป้ยจี ( เสื้อกั๊กคลุมแขนยาวปักเลื่อม ) สีชมพูอ่อนๆสวมทับชุดซับในขาวสะอาดตา “ น้องสาว !..ท่านเป็นดรุณีโฉมสะคราญนัก หากท่านเป็นหมอวิเศษจริงคงไม่ต้องออกแรงรักษา เพียงผู้ป่วยเห็นหน้าตาท่านคงหายเป็นปกติแล้ว ”…หลิวหงเหินไม่วายชื่นชมบุปผางาม พร้อมกับยื่นรับกระต่ายไว้ในอ้อมแขน “ พี่ชายอ่ะ !…ชมซึ่งหน้าขนาดนี้ เขินแย่ ! ”…นางยิ้มขวยเขินจนหน้าแดงซ่าน บิดตัวไปมาราวเกลียวหมุนจากภายใน “ เชอะ !…ชายกลับกลอก หาความจริงใจอันใดได้ ”….อมิตาร์แค่นเสียงแดกดัน พลางเดินผ่านทั้งคู่ออกสู่หน้าปากถ้ำ เมื่อต้องแสงอัสดง อมิตาร์ที่ว่างดงามกลับฉายรัศมีอล่ามเรืองรอง ราวเทพธิดาลงมาจากฟ้าก็ไม่ปาน “ ท่านหมอวิเศษ ท่านหมอวิเศษ …” ทุกผู้คนที่ยืนบนโขดหิน ล้วนเอ่ยทักนาง ในทุกๆก้าวที่นางก้าวเดินไปยังลานกว้าง ที่สองยอดยุทธที่ยังทุ่มเทพลังหมัดเข้าหักล้าง …“ ขอท่านหมอวิเศษได้รับการคารวะจากพวกเราด้วยเถิด ! ”…หัวหน้าพรรคฉลามเงินลงคุกเข่าต่อหน้าพัคนาริน โดยมีชายฉกรรจ์ทั้งหมดคุกเข่าโค้งคำนับตาม “ ทำอะไรกันเนี้ย พวกลุง พวกน้า ลุกขึ้นเถอะ…ลุกขึ้น..”…พัคนารินงอเข่าประคองตัวเหล่าชายฉกรรจ์ให้ลุกขึ้น แต่ชายเหล่านั้นยังโคกศรีษะคำนับไม่รู้จบ ทั้งสองฝ่ายยืดเยื้อกันจนดูน่าขันยิ่ง หลิวหงเหินลอบระบายยิ้มกับสิ่งที่เห็น หากต้องผงะเปลี่ยนอารมณ์ทันทีทันใด เมื่อมันมองไปนอกถ้ำเห็นอมิตาร์เอื้อมมือกุมดาบคล้ายเป็นท่วงท่าฝาดฟันอันคุ้นตา… แต่ครานี้หลิวหงเหินคาดการณ์ผิดแล้ว ผู้หลงมือหาใช่อมิตาร์ หากเป็นพลังสามสายที่พุ่งทะลวงผ่านม่านน้ำเข้ามา เงาร่างดำทะมึนตรงเข้าโอบอุ้มพัคนารินไว้ในอ้อมแขน ส่วนอีกสองตวัดดาบคมกริบเข้ากวัดแกว่งใส่ชายฉกรรจ์ที่คุกเข่าอยู่ จนพวกมันกลิ้งเลี่ยงหลบเป็นพัลวัน “ โอ้ย !…อะไรเนี่ย !…พี่ชายช่วยด้วย ! ”…พัคนารินกรี๊ดร้องตกใจ ในขณะร่างนางอยู่ใต้อ้อมแขนหนาใหญ่ของสามยอดฝีมือที่บุกเข้ามา “ ต้องล่วงเกินแล้วหมอวิเศษ แต่โรคภัยไม่อาจรั้งรอ ต้องรบกวนท่านไปกับพวกเราแล้ว ”…ชายที่ยึดกุมร่างนางกล่าวก้อง มืออีกข้างกุมดาบทองเก้าห่วงสะบัดแกว่งวูบวาบข่มขู่ผู้คน เช่นเดียวกับสองคนที่รุกล้ำเข้ามา ล้วนสะบัดดาบเก้าห่วงรุกไล่จนผู้คนต่างถดถอยล่นไปติดผนังถ้ำ " สามพยัคฆ์ดาบทอง แห่งสำนักไท้ซาน…ใยประพฤติเป็นโจรปล้นสวาทไปเหล่า พวกท่านเป็นชนชั้นผู้อาวุโสอันเลื่องลือ มีอันใดใช่เหตุผลพูดคุยกันดีกว่าหรือไม่ " หลิวหงเหินกล่าวสุภาพเยียบเย็น ทั้งที่ใจเต้นระทึกโครมคราม ยอดฝีมือทั้งสามต่างหันมองหน้ากัน เมื่อรู้สึกว่าฐานะตนควรกระทำการให้สง่าผ่าเผยกว่านี้ ทว่าคนล่วงหล่นลงเหวไปแล้ว ไหนเลยจะกลับหลังไต่ขึ้นสู่ปากเหวง่ายดายนัก “ ประเสริฐยิ่ง !…เมื่อรู้ว่าพวกเราเป็นใครก็อย่าได้คิดขัดขวาง เปิดทางให้เราโดยไว” ชายทมิฬที่ยึดกุมพัคนารินกู่ร้องกร้าวด้วยพลังกล้าแกร่ง จนก้องกระจายไปทั้งโพรงถ้ำ “ ได้พบผู้อาวุโสนามกระเดื่อง ไหนเลยจะรีบด่วนจากลาไปเล่า ? ” หลิวหงเหินเสแสร้งพูดถ่วงเวลา ขณะก้มตัวปล่อยกระต่ายขาวลงพื้น พร้อมกับผลักไสก้นมันให้ไปหาอมิตาร์ ซึ่งพอจะเป็นความหวังหนึ่งเดียวที่พอจะช่วยแก้ไขสถานการณ์ได้ “ อย่าไปใส่ใจมัน พวกเรารีบไป ”…จอมยุทธคนเดิมกล่าวเติมให้เร่งรีบ จนทุกคนขยับกายคิดพวยพุ่งไป “ ล่ำลือว่าภูเขาไท้ซานเป็นแหล่งกำเนิดวิชายุทธมาแต่บรรพกาล ..ไท้ซานถือเป็นสถานที่ซึ่งเทพสงครามซือโหยว สรรค์สร้างห้าอาวุธ แปดวิชายุทธ รวบรวมเหล่าชนเผ่าให้รวมเป็นหนึ่ง…..พวกท่านว่าไม่น่าขบคันหรอกหรือ ที่อนุชนรุ่นหลังต่างขนานนามให้เสี้ยวลิ้มยี่เป็นแหล่งกำนิดวรยุทธ ทั้งที่ปรมาจารย์ตั๊กม่อเกิดหลังท่านซื่อโหยวนับพันปี ” “ เหล่ามุกซิก…โง่เขลานัก !….วรยุทธฝ่ายบรรพชิตไหนจะเที่ยงแท้เท่าเทพสงครามแห่งบรรพกาล ” ยังคงเป็นจอมยุทธคนเดิมที่พลุ่งพล่าน กล่าวโต้ตอบฉับไหวนัก หลิวหงเหินล่วงรู้ได้ในบัดดลว่าในการผสานทั้งสามดาบ ย่อมต้องคล้อยตามแกนนำเพียงหนึ่งเดียว “ ข้าพเจ้าค้นคว้าอยู่เนินนานจึงล่วงรู้ว่าเหตุใด ชาวยุทธจึงล่ำลือกันเช่นนั้น และถ้าเราแก้ไขถูกทาง เกียรติแห่งไท้ซานย่อมกลับมาเป็นแหล่งกำเนิดวรยุทธ อย่างที่ควรเป็น ” หลิวหงเหินกล่าวสุขุมด้วยใจระรัว โดยสายตายังเหลือบแลกระต่ายขาวสะอาด กระโดดไป หยุดไปอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว… “ จอมยุทธน้อย เจ้าเป็นใครกัน ?…เหตุใดกล่าวยืดเยื้อท่วงเวลา ”…หนึ่งในสองนักดาบที่ยืนคุมเชิง กล่าวด้วยความเรียบนิ่ง นัยน์ตาหรี่มองหลิวหงเหินอย่างพินิจพิเคราะห์ ท่าทีมันสุขุมคล้ายบัณฑิตผู้ฝักใฝ่ความรู้ แตกต่างจากนักดาบอีกสองคนมาก “ อ้าว !..นี่พวกลุงๆไม่รู้จักปักษาสุราเหรอ แล้วคุยอยู่ได้ตั้งนานสองนาน ” พัคนารินพูดแทรก ทั้งที่ต้นคอยังถูกยึดกุมไว้ด้วยฝ่ามือขนาดใหญ่ “ ที่แท้ปักษาสุรา หลิวหงเหิน . .บัณฑิตขั้นถ้ำฮวยผู้รอนแรมไปกับกองเรือมหาสมบัติ เหตุใดมาปรากฏอยู่ที่นี่ได้? ” นักดาบคนเดิมกล่าวยืดยาว ตามประสาคนมากปัญญาย่อมพิสมัยในผู้ใฝ่หาความรู้ด้วยกัน “ ศิษย์น้องสาม…จะพิร่ำพิไรอันใด เราต้องรีบไปแล้ว ! ” “ นั่นประะไร…สำนักไท้ซานของท่านรีบเร่งลงมือเกินไป หากเจรจาพูดคุยให้มากกว่านี้ย่อมมีชื่อเสียงให้จดจำมิใช่ไม่น้อย ” หลิวหงเหินกล่าวสะกิดใจจนทั้งสามคนต่างหันสบตากันด้วยแววอุดมคำถาม แตกต่างจากแววตาของหลิวหงเหินที่เหลือบมองกระต่ายน้อยด้วยความตระหนก เหตุเพราะกระต่ายที่กระโดดไปถึงอมิตาร์แล้ว กลับถูกทอดทิ้งในทันใด เมื่อร่างอมิตาร์ลิ่วละล่องพร้อมดาบโค้งคมวาวถูกชักออกจากฝัก เพราะนางไม่อาจอดรนทนไหว เมื่อเห็นฉางยิ่นเพลี่ยงพล้ำถูกชกเข้าอกขวาเต็มพลังปราณ จนร่างอ้วนใหญ่ปลิวกระเด็นไปชนโขดหิน ส่งแรงกระเพื่อมจนหินหนาใหญ่ร้าวแตกระแหง ปากสำลักเลือดไหลนอง หมัดราชสีห์พิโรธจัดเป็นวิชาสายแกร่งกร้าวถึงที่สุด ยิ่งผู้ใช้ออกคือเทียนหลังซู่ผู้ชำชองในการประลองมานับร้อย ย่อมมีกลวิธีเอาชัยกว่าฉางยิ่นเป็นไหนๆ มันใช้วิธีออกแรงปัดป่ายกระบานท่า ล่อให้ฉางยิ่นทุมเทพลังไม่หยุดยั้ง ตราบเมื่อถึงช่วงจังหวะลมปราณขาดช่วง เฒ่าเจ้าเล่ห์จึงส่งพลังหมัดในกระบวนพิฆาตราชสีห์ปล่อยหมัดเข้าทรงอกมันอย่างไร้ปรานี จนฉางยิ่นบาดเจ็บภายใน เฒ่าเจ้าเล่ห์ยังไม่ยอมวางใจ ถาโถมต่อด้วยสี่กระบวนท่ามุ่งทำลาย ทว่าเทียนหลังซู่พลันต้องชะงักชักกระบวนท่ากลับ เมื่อประสบกับพลังดาบคมกรีดฟ้าตรงมา มันถอยล่นร่างกลับหลัง หากคมดาบยังไล่ตามติดตวัดฟันเฉียดต้นคอมันเพียงคืบ แม้คอมันจะรอดพ้น แต่เครายาวที่มันหวงแหนกลับถูกตัดสะบั้นเหลือเพียงคืบจากปลายคาง “ เจ้า !…เจ้า !…เจ้าทำอะไรลงไป” เทียนหลังซู่รวบจับเคราขาดอย่างทะนุทะนอม พร้อมกล่าวอย่างคับแค้นแน่นอก อมิตาร์พลิ้วกายกลับไปยังโขดหินโดยกระโปรงจับจีบบางกรีดพลิ้ว ดั่งพระจันทร์ทรงกลดไล่เรียงรัศมี ล่อนลงข้างฉางยิ่นอย่างสง่างาม จนผู้คนรอบข้างต่างชมดูอย่างลุ่มหลงงมงายในความงาม “ เจ้าเป็นไรหรือไม่ฉางยิ่น !..” นางเอ่ยถามโดยไม่มองหน้า สองตายังจับจ้องศัตรูไม่วางตา ฉางยิ่นหัวเราะทั้งที่มีเลือดหลั่งออกจากปาก พลางพูดแกร่งกร้าว “ เจ็บราวมดกัดเท่านั้น ต้าร์น้อยไม่ต้องห่วงใยไป ” “ ประเสริฐ !…เจ้าเฝ้าดูอยู่สักครู่ ข้าอยากลองเล่นกับหมัดราชสีห์สักครา ” นางไม่พูดเปล่าพลันจู่โจมเทียนหลังซู่ทันทีทันใด เทียนหลังซู่ที่กำลังเดือดดาลเร่งปลดปล่อยพลังหมัดสุดคลุ้มคลั่ง โดยไร้เล่ห์กลใด พลังวัตรสี่สิบปีของมันถาโถมดั่งคลื่นคะนองเข้าใส่ร่างอรชรอ้อนแอ่น ราวกับจะฉีกกระชากร่างนางให้แหลกเหลวในคราเดียว คาดไม่ถึงว่าพลังปราณกับถูกหลบเลี่ยงด้วยท่าร่างดั่งสายลมโชย อาภรณ์เหลืองอล่ามที่พัดพลิ้วละลานตา กลับกลายเป็นภาพสุดท้ายที่เทียนหลังซู่ได้เห็นในโลก….. ดาบอาบจันทร์พลันตวัดฟันสองตาผู้เฒ่าคงท้งบอดสนิทไปในพริบตา….. “ อ้า า า า า….” “ ตาข้า ตาข้า …”… เทียนหลังซู่กุมสองตาร้องลั่น เลือดสดๆไหลอาบสองมือ โดยมีเหล่าศิษย์คงท้งต่างรุมเข้ามารายล้อมอย่างขุ่นข้องใจ “ นางมาร !..พวกเราพี่น้องขอแลกชีวิตกับเจ้าแล้ว !..” เหล่าศิษย์ต่างแค้นเคือง มุ่งหมายทุ่มเทแปดชีวิตกระโจนพลังเข้าใส่ ทว่าเสียงสุขุมทรงอำนาจแทรกเข้ามาหยุดยั้งการเคลื่อนไหวของผู้คนไว้สิ้น “ แม่นางวัยเยาว์เหตุใดลงมืออำหิตนัก…เกรงว่าเพลงดาบอาบจันทร์ที่ท่านฝึกปรือ แฝงพลังมารอันเร้นลับกำลังคืบคลานเข้ากลืนกินใจนางแล้ว ” เสียงกระจายก้องฟ้ามาพร้อมรูปเงาสีเทาเจ็ดสาย ที่เหินหาวลงมายังเบื้องหน้าอมิตาร์ “ เจ็ดเต้าหยินเตี๊ยมชัง ! ”…หลายคนในกลุ่มผู้เฝ้ามองตะโกนเรียกพวกมันขึ้น !… “ เจริญพร…แม่นางน้อย อาวุธไร้ตาอย่าได้กวัดแกว่งให้เป็นอันตรายกับผู้ใดอีกเลย ” นักบวชชุดเทากล่าวเชื่องช้าชัดถ้อยชัดคำ ใบหน้ามันแย้มยิ้มเปี่ยมเมตตา ผิดแปลกจากจอมยุทธทั่วไป “ ที่แท้นักพรต'เซี้ยซ่งฟาง' ศิษย์เอกแห่งเตี๊ยมชัง นับถือ นับถือ ” อมิตาร์กล่าวนอบน้อมเมื่อประสบกับนักบวชผู้เปี่ยมศีลธรรม นักพรตเซี้ยปรายตามองเทียนหลังซู่เป็นสัญญาณให้นักพรตคนหนึ่งทรุดกายคุกเข่า ลงไปหายาใส่ดวงตามัน ส่วนที่เหลืออีกหกนักพรตยังยืนเผชิญกับนาง โดยมีห้าคนถือคทาเหล็กท่อน ( กั้ง ) อันเป็นอาวุธสายพรตอันท่องแท้ ที่ผสานรวมเอากระบี่ พลอง แส้เหล็ก ไว้เป็นศาสตราอันหลอมรวมหยินหยางเป็นหนึ่งเดียว… “ แม่นางหญิงผู้นี้มีกลิ่นอายมารคลอบคลุมแน่นหนานัก หากวางดาบใฝ่ชำระจิต ฝึกฌาณให้สม่ำเสมอ ไม่เกินห้าปีท่านจะกลับเป็นหญิงสาวอันผุดผ่องนัก ” “ ฮิ ฮิ ฮิ…” อมิตาร์หัวเราะเสียงใส่ พลางกล่าวอ่อนช้อยอ้อยอิ้ง “ ขอบคุณที่เมตตาผู้เยาว์ เพียงแต่จิตมารย่อมช่วยผู้คนอย่างมาร จิตแบบนักพรตย่อมช่วยผู้คนอย่างพรต มารหรือพรตล้วนไร้ความแน่แท้ ในจิตมารย่อมมีจิตพรต ในจิตพรตย่อมมีมารแอบแฝง ใช่หรือไม่ท่านสมณะผู้สูงศักดิ์ ” นางกล่าวแย้มยิ้มพริ้มพราย ปรายตาหวานหว่านเสน่ห์ ดั่งนางรำร่ายมนต์ใส่ผู้ครองเพศพรมจรรย์ “ ศิษย์พี่เซี้ยอย่าเสียเวลาไปเปล่าๆปลี้ๆเลย นางมารไม่อาจกลับตัวกลับใจง่ายดายนัก สมควรจับนางคร่ากุมไว้แล้วค่อยสอนสั่งเถิด ” ศิษย์น้องหน้าดำคล้ำ รูปร่างเล็กกว่าใครๆกล่าวอาจหาญเกินตัว ดูเป็นแม่ทัพใหญ่มากกว่านักบวชผู้สมถะ “ ศิษย์น้องเมิ้นอย่าเพิ่งบุ่มบ่ามไป…ให้ข้าพูดคุยอีกสักครู่ ”… “ ล่วงเกินแล้วแม่นาง !..” ไม่ทันสิ้นเสียง คทาเหล็กท่อนในมือนักพรตหน้าดำพลันวาดกระบวนท่า ฟาดฟันราวพายุคลั่ง “ เห็นมั้ยเล่าในจิตพรตก็มีจิตมารแอบแฝง ถูกต้องหรือไม่ ” อมิตาร์กล่าวเลื่อนลอย พร้อมตวัดดาบปัดป้องไปถอยไป แย้มยิ้มภาคภูมิราวได้ชัยชนะ โดยไม่ต้องออกแรงฟันสักครั้งเดียว นักพรตเซี้ยได้แต่ทอดถอนใจ รู้สึกพ่ายแพ้แล้วจริงๆ แม้แต่ศิษย์น้องที่ข้างกายยังชำระจิตใจไม่ได้ …จะมีหน้าไปสั่งสอนผู้ใดได้อีก….
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD