ขลุ่ยหยกในมือนางมีรูปทรงคล้ายเกลียวน้ำ6สายไหลเกี่ยวพันเกาะกันเป็นลำ มีไพรินรูปหยดน้ำสีน้ำเงินสุกใสประดับเรียงเป็นแถว ตามรอยเกลียว
มันจัดเป็นเครื่องดนตรีพิสดาร ที่หลิวหงเหินไม่เคยพบพานจากดินแดนใด
ยามนี้เมื่อขลุ่ยพิสดารอยู่ในมือเด็กสาวประหลาด จึงดูประสานกลมกลืนคล้ายภาพฝันอัศจรรย์ ที่หลุดพ้นจากโลกีย์วิสัยไปไกล
ยิ่งเคล้าคลอกับเสียงดนตรีที่นางเป่าผิวผ่านลำขลุ่ย ยิ่งเสริมสร้างให้สรรพสิ่งรอบนางราวลอยละมัยมาจากแดนสวรรค์ อยู่นอกภพภูมิมนุษย์
หลิวหงเหินได้แต่เดินตามนางไปอย่างเชื่องช้า ใช้แขนยันผนังหินช่วยประคองตัวเดิน โดยไม่ปริปากถามความสงสัยใดที่อยู่ในใจ เพราะมันรู้สึกเพียงไม่อาจขัดจังหวะผู้บรรเลงเพลงให้เสียสมาธิได้
แต่การก้าวเดินของหลิวหงเหิน ยิ่งนานยิ่งรู้สึกเบาบาง คล้ายกำลังลอยเลื่อนไปในหมู่เมฆ ...ดวงตามันค่อยๆพร่าเลือน เห็นเพียงแสงระยิบระยับราวถูกแวดล้อมด้วยหมู่ดาว
เสียงเพลงที่ลอยล้อรอบอากาศ อบร่ำให้ใจมันเคลิบเคลิ้มที่ละน้อย ที่ละน้อย
กระทั้งสติมันเลื่อนลับหลุดหายไปในที่สุด.....
...เนินนานในความฝันอันเพริศแพร้ว...
จิตใจของหลิวหงเหินล่องลอยไปในอดีตอันสุขสงบ
เด็กน้อยหลิวหงเหินอยู่ในครอบครัวอบอุ่น มีบิดาเป็นบัณฑิตผู้ละเอียดอ่อน ช่วยสั่งสอนมันคัดหนังสือ วาดภู่กัน มีมารดาที่ร่าเริงเหี้ยมหาญ ช่วยสั่งสอนวรยุทธพื้นฐานมันมาตั้งแต่จำความได้
และที่เด็กน้อยต้องตราตรึงไปทั้งชีวิต เมื่อมารดาพามันไปฝากตัวเป็นศิษย์ของห้าพิสดาร กลุ่มจอมยุทธผู้กระเดื่องดังไปทั่วยุทธภพ
เหล่าห้ายอดฝีมือในสายตาเด็กน้อยดูจะไม่น่าสนใจเท่าเด็กหญิงวัยเยาว์ ที่เป็นลูกสาวของพี่ใหญ่ในหมู่พวกมัน
เด็กหญิง ตวนผิงผิง...สว่างเจิดจ้าราวประทีปนำทางในวัยเยาว์มันก็ว่าได้
ตวนผิงผิง มีส่วนผสมของความดื้อรั้นกับความอ่อนโยนอย่างกลมกล่อม นางกล้าหาญเหมือนบุตรหลานยอดยุทธ พอๆกับเรียบร้อยสง่างามราวราชนิกูลสูงศักดิ์
ดวงตากลมโต กับรอยยิ้มอ่อนหวานมักสะกดให้หลิวหงเหินสยบยอมนางทุกสิ่ง มักยินยอมทำตนเป็นตัวตลกขบขันเพื่อให้ได้เห็นรอยยิ้มละมัย ได้ชื่นชมลักยิ้มเล็กๆที่ข้างแก้มนางก็นับว่าวันนั้นประเสริฐยิ่งแล้ว
" น้องผิงผิง...นั้นเป็นเจ้าจริงๆเหรอ ? "
ชายหนุ่มลอยเลื่อนถ้อยคำเปี่ยมสุข เมื่อลืมตามาเห็นดวงตากลมโตดำขลับ กับลักยิ้มบางๆข้างแก้ม
" แย่แล้ว !...เจ้าคนโฉดมันวิปลาสไปแล้ว ! "
เด็กสาวเบื้องหน้าพลันถอยตัวห่าง หวีดเสียงดังจนหลิวหงเหินเหลือกตามอง
" ท่านลุงคิ้วขาว มาดูอาการคนโฉดโดยไวเถิด ประเดี๋ยวมันคลุ้มคลั่งทำลายข้าวของจะไม่ได้การแล้ว "....เสียงเจื้อยแจ้วของนางเลื่อนลั่น พลางวิ่งหายไปจากสายตาหลิวหงเหิน
ที่เหลือค้างให้มันมองเห็น คือห้องที่ปลูกสร้างจากไม้ไผ่ ซึ่งกำลังถูกแสงอรุณลูบไล้อ่อนๆ นั้นหมายความว่ามันผ่านเวลามาหนึ่งราตรีแล้ว
หลิวหงเหินค่อยผยุงตัวขึ้นนั่ง แม้จะมึนงง แต่ยังพอจำแนกแยกแยะสิ่งรอบข้างได้อย่างแจ่มแจ้ง
ร่างกายมันถูกจัดให้นอนอยู่บนเตียงไม้ไผ่บุด้วยหนังแพะสีขาวสะอาดตา เสือคลุมชุดครามของมันถูกถอดวางไว้บนตู้ไม้มุมห้อง รวมทั้งจอกสุราทั้งห้าที่ห้อยข้างเอวล้วนวางเคียงคู่อยู่กับเสื้อ ตัวมันสวมเพียงชุดซับในสีขาวขุ่น
ที่ร้ายคือตรงทรงอกมันมีเข็มอ่อนบางปักตรึงตามตำแหน่งชีพจร เกรงว่ามันคงถูกรักษาอาการบาดเจ็บที่รุมเร้าอยู่
" โชคดีนักที่เจ้าเป็นศิษย์ห้าพิสดารแห่งยูนาน มิเช่นนั้นคงตกตายไปตั้งแต่สามวันก่อนแล้ว "
เสียงเยียบเย็นลอยเข้ามาพร้อมชายชราร่างสูงใหญ่ หากผ่ายผอมจนเห็นโหนกแก้มสูง เบ้าตามันลึกโหนกคิ้วสูงจนแทบมองไม่เห็นดวงตาหยี่ๆ ยิ่งผู้เฒ่าไว้หนวดเครายาวเป็นสีขาวโพลน ดวงตามันยิ่งหลบเร้นลี้ลับราวกับไร้ลูกตา
ผู้อาวุโสสวมใส่ชุดขนแพะขาวสลับดำ สวมผ้าคลุมศรีษะทำจากขนแพะสีดำปิดบังจากหน้าผากมาถึงไหล่ ในมือกำไม้เท้าหงิกงอคล้ายหยักเถาวัลย์ โดยมีหัวไม้เท้าเป็นก้อนมรกตเขียวขจีที่กำลังเรืองสว่างเมื่อต้องแสงอรุณ
" ผู้อาวุโสคงเป็นเซียนโอสถ ชิงนี่อัน "...หลิวหงเหินกล่าวพร้อมประสานมือคารวะ
ผู้อาสุโสเพียงยกมือแผ่วเบา เป็นสัญญาณให้มันนอนลงดั่งเดิม
" เจ้าอย่าเพิ่งรีบร้อนไป ในโชคดีย่อมมีโชคร้ายเสมอ " เซียนโอสถกล่าวเยียบเย็น ขณะใช้นิ้วมือค่อยๆหมุนเข็มเงินออกจากร่างมันทีละเล่ม ทีละเล่ม
" ฝ่ามือเหมันต์ทมิฬที่ทำร้ายเจ้า จัดเป็นยอดวิชาลมปราณสายเยียบเย็นถึงที่สุด มันเป็นวิชาที่ก่อกำเนิดจากการโคจรลมปราณย้อนทวนของพลังวัตรสายบรรพชิต โชคดีที่วิชาของห้าพิสดารต่างสืบถอดมาจากบรรพขิตนิกายวัชระญาณแห่งยูนาน จึงนับเป็นพลังลมปราณที่มีรากเดียวกับฝ่ามือเหมันต์ทมิฬ จะมากจะน้อยลมปราณเจ้าจะไม่หักล้างขัดแย้งกันรุนแรง จนอวัยวะภายในแหลกเหลวไป " เซียนโอสถถอนเข็มสุดท้าย พร้อมกล่าวคำอธิบายกระจ่างแจ้งชัดเจน
" แต่โชคร้ายที่เจ้ากินยาสุริยะอำพันเข้าไป ทำให้ลมปราณสองสายของเจ้าถูกกระตุ้นให้กล้าแข็งขึ้น ลมปราณเยียบเย็นก็เพิ่มไอเย็นสุดขั่ว ลมปราณที่ฝึกปรือก็ลุกล้ำรุดหน้า เป็นเหตุให้มันขัดแย้งรุนแรงขึ้น รุนแรงขึ้น....เหมือนกับเทน้ำเย็นจัดกับน้ำร้อนจัดลงไปในถ้วยพร้อมกัน สุดท้ายคือทำให้ถ้วยที่รองรับแตกไปเท่านั้น "...
หลิวหงเหินค่อยลุกขึ้นนั่ง พลางส่ายหัวอย่างคนยอมจำนนกับโชคชะตา
" คนคำนวน ไม่เท่าฟ้าลิขิต หากข้าพเจ้าต้องตกตายในลักษณะนี้ ก็ไม่นึกโกรธเคืองผู้ใดหรอก "
ชายชราหัวร่อฮา ฮา ชอบใจ พลางพายมือให้หลิวหงเหินสวมใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ในตู้ ก่อนจะเผยถ้อยคำเฉื่อยชาตามต่อ
" หนทางรักษาใช้ว่าไม่มี เพียงแต่ต้องพึ่งพาวาสนาของท่านเอง ว่าจะให้นางช่วยเหลือได้หรือไม่ "
" นาง !...อย่างนั้นรึ ? "...หลิวหงเหินทวนคำชายชรา ขณะเดินตามมันออกจากห้องหับหลังน้อย เดินออกมาสู่ระเบียงกว้างอันแวดล้อมไปด้วยธรรมชาติงามตระการ
ถึงตอนนี้หลิวหงเหินจึงได้รู้ว่าตนอาศัยอยู่ในกระท่อมหลังน้อย อันมีภูเขาสูงใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหลัง เบื้องหน้ามีลานหญ้าเขียวชอุ่มที่มีฝูงแพะสิบกว่าตัวแทะเล็มหญ้าอยู่ข้างแอ่งน้ำใส ถัดไปทางขวาตรงลานโล่งยังมีต้นเมเปิ้ลใบสีส้มสดจับตา โดยใต้ต้นยังมีเด็กสาวประหลาดคนนั้น นั่งหยอกล้ออยู่กับกวางดาวสามตัว
" ไม่ใช้ซียี้หรอก เป็นมารดานางต่างหาก " ชายชราระบายยิ้มอ่อนๆขณะเหม่อมองเด็กสาวไร้เดียงสา
" ข้าพเจ้าเคยได้ยินนางเรียกหามารดาหลายครั้ง คงเป็นผู้บรรเลงพิณภายในวงกตหินใช่หรือไม่ ? " หลิวหงเหินประดับยิ้มมุมปาก โดยดวงตาเหลือบมองเลยไปไกลจากต้นเมเปิ้ล จึงได้เห็นเชิงผาหิน ที่มีช่องทางลับปิดสนิทอยู่
" ไม่ใช้เพียงบรรเลงพิณ แต่นางคือผู้สร้างวงกตนั้นด้วย " ...ชายชรากล่าวพร้อมกับทอดถอนใจ ซ้ำยังส่ายหัวด้วยความรันทด
" เป็นข้าพเจ้าผิดเอง ที่บังอาจท้าพนันกับอัจฉริยะบุคคลเช่นนาง ! "...
ดวงตาหลิวหงเหินวาววับขึ้นทันใด เมื่อได้ยินว่ามีอัจฉริยะบุคคลอยู่ใกล้แค่เอื้อมนี้เอง
" แม้แต่เซียนโอสถยังยกย่องนางถึงเพียงนี้ ไม่ทราบนางเป็นยอดคนในยุทธภพท่านใด ? "
เซียนโอสถได้แต่ฝืนยิ้มแห้ง ขณะรินน้ำชาลงจอกเล็กๆ ยื่นส่งให้ชายหนุ่ม แล้วผายมือให้มันนั่งลงเคียงข้าง
" นางนับเป็นผู้ไร้ชื่อเสียงในยุทธภพ เป็นเช่นมังกรเร้นกายในภูเขาโมลังกั๋ง....ไม่มีใครเคยพบพาน "
" ท่านพูดราวกับนางเป็นขงเบ้งหญิง แม้แต่ที่อยู่อาศัยยังเป็นหุบเขาโมลังกั๋งที่เดียวกับขงเบ้ง "...
เซียนโอสถได้แต่หัวร่อแผ่วเบา พลางเอ่ยอย่างเฉื่อยชา
" นางชื่อจูกัดเฝิงหวง เป็นผู้สืบถอดวิชาของ12เซียนแห่งหุบเขาง๊อไบ๊ ที่ยังหลงเหลืออยู่เพียงหนึ่งเดียว "...
คำพูดเรียบง่ายนั้นทำให้ใจหลิวหงเหินสั่นรั่วยิ่ง เพียงเป็นทายาทจูดกัดเหลียงว่าน่าตื่นเต้นแล้ว ยังเทียบไม่ได้กับเป็นผู้สืบทอดวิชาเซียนอันลึกล้ำแห่งบรรพกาล
" ท่านคงเคยพานพบกับอาจารย์ข้าพเจ้าแล้ว คงเคยรับมือกับวิชาดัชนีพิษพิสุทธิ์มาแล้วใช่หรือไม่ ...ท่านพอคาดเดาได้หรือไม่ว่าวิชาในสำนักข้าพเจ้ามีสายสืบทอดมาจากต้นกำเนิดใด "
หลิวหงเหินหยิบจอกชาจิบเบาบาง พลางทบทวนถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา กระทั้งแน่ใจแจ่มแจ้ง
" คลับคล้ายจะเป็นลมปราณพรตอันลี้ลับ ไม่แผ่ขยายหนุนเนื่องอย่างชวนจิงก่า และไม่อ่อนหยุ่นแบบสำนักบู๊ตึ๊ง หรือจะเป็นต้นทางสายเซียนแห่งบรรพตง๊อไบ๊ ? "....
เซียนโอสถหัวร่อฮา ฮา อย่างพึ่งพอใจ พร้อมกับปรายตามองเด็กสาวที่สนามหญ้า ก่อนจะกล่าวตามต่ออารมณ์ดี
" สายตาท่านแหลมคมนัก...ถูกต้องแล้ว !....วิชาของสำนักข้าพเจ้ามีต้นกำเนิดมาจาก12เซียนแห่งขุนเขาง๊อไบ๊ เป็นรากวิชาเก่าแก่มานับพันปี ก่อนเหล่าแม่ขีจากพุทธศาสนาจะขึ้นไปก่อตั้งสำนักง๊อไบ๊มากมายนัก....แต่ที่ผู้สืบทอดจาก12เซียนไม่ก่อตั้งสำนักให้กระเดื่องดังทั่วหล้า เพราะเหตุผลเดียวคือ กฏเหล็กจากบรรพชนให้หนึ่งอาจารย์รับศิษย์ได้เพียงผู้เดียวเท่านั้น "....
" ช่างเป็นกฏแปลกประหลาดกว่าห้าอาจารย์ของข้าเสียอีก "...หลิวหงเหินกล่าวอย่างสนอกสนใจ
" เสียดายที่ข้าพเจ้าไม่อาจกระทำตามกฏนั้นได้ เพราะบ้านเมืองระส่ำระสายจนข้าต้องแอบถ่ายทอดวิชาให้10ตระกูลใหญ่ เพื่อกอบกู้บ้านเมือง...โดยคาดคิดไม่ถึงว่าอาจารย์ข้าพเจ้าที่อายุเกือบสองร้อยปีจะกลับกลายเป็นมารประหลาด เที่ยวไล่ดูดกลืนพลังชีวิตผู้คนให้ตนคงอยู่เป็นนิรันดร์ "...ชายชราหยุดหอบหายใจ พลางยกน้ำขาขึ้นดื่มแก้กระหาย
" ข้าพเจ้าล่วงรู้ว่าอีกไม่ช้าไม่นานเภทภัยต้องมาถึงตัวเข้าสักวัน....ยี่สิบปีก่อนข้าจึงส่งศิษย์ทั้งสิบสองคนออกเที่ยวเสาะหาผู้สืบทอดวิชาจาก12เซียนง๊อไบ๊ เพื่อร่วมมือกำจัดมารร้าย !...." ชายชราปรายตามองไปรอบๆ คล้ายกำลังไล่รำลึกความหลัง
" ระหว่างนั้นข้าได้จัดสร้างเกาะแร้งไร้ให้กลายเป็นเกาะทิพย์โอสถ พร้อมกับเชื้อเชิญสองเจ้าสำนักที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสองเทพกระบี่แห่งใต้หล้าเพื่อมาหาทางรับมือกับจอมมาร "
หลิวหงเหินนึกถึงเพลงกระบี่เคลื่อนดาราจักรที่เด็กสาวใช้ออก นั้นแสดงแน่ชัดว่าเจ้าสำนักคุนลุ้นเคยมาที่นี่แน่แล้ว...
" ในเวลานั้นหนึ่งในศิษย์ข้าได้เชื้อเชิญแม่นางจูกัดเฝิงหวงมายังเกาะเช่นกัน โดยไม่มีใครคาดคิดว่า ระหว่างที่นางก่อสร้างค่ายกลศิลาในเวลาหลายเดือน กลับได้ผูกสมัครรักใคร่กับเจ้าสำนักคุนลุ้นอย่างลึกซึ้ง .....ผ่านไปอีกไม่กี่เดือน ทั้งคู่ตกลงปลงใจตบแต่งภายในเกาะของข้าพเจ้าเอง "....
อีกครั้งที่หลิวหงเหินเหลียวมองเด็กสาวกลางทุ่งหญ้า ซึ่งบัดนี้กำลังนำกิ่งไม้มาขดเป็นวงกลมรอยเข้ากับดอกไม้สีสด มาสวมเป็นมงกุฏดอกไม้
" โดยไม่มีใครคาดคิด ว่าครั้งนั้นมีผู้ทรยศในสำนักคุนลุ้น ได้ลอบวางยาพิษจนจ้าวสำนักบาดเจ็บสาหัส มันเป็นพิษพิสดารนัก เกรงว่าเทพอสรพิษจะเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ซึ่งแม้แต่ข้าพเจ้ายังไม่อาจรักษาเยียวยาได้...ครั้งนั้นจึงเป็นเหตุให้นางบาดหมางกับข้าพเจ้านัก...นางพาสามีเร้นกายในวงกต ซ้ำยังจับข้าพเจ้ามาขังอยู่ที่นี่เพื่อรักษาสามีนางให้ได้ "...ชายชราถอนใจเฮือกใหญ่พลางเหม่อมองเด็กสาวอย่างถอดอาลัย
" ข้าพเจ้าช่างไร้ความสามารถนัก ผ่านมาสิบเจ็ดปีข้ายังไม่อาจแก้ไขพิษของเจ้าสำนักคุนลุ้นไปได้ ! "...
" เด็กสาวผู้นั้นคือทายาทของเจ้าสำนักคุนลุ้นกับแม่นางจูกัดใช่หรือไม่ ! "...
" ถูกต้อง !...นางชื่อเจินจีซี...ที่เกิดในค่ายวงกตเคลื่อนหมู่ดาว...เพิ่งอายุ16เมื่อปลายปีที่แล้ว...นี่ก็นับเป็นความผิดของข้าพเจ้ายิ่ง ที่ทำให้เด็กสาวต้องมาอยู่ในพื้นที่จำกัด ไม่ต่างจากถูกคุมขังเลย...ผิดแล้ว !...ข้าผิดแล้วจริง !..." มันได้แต่อุทานทอดถอนใจ
สอดรับกับเสียงเอะอะที่แว่วมาจากเนินหญ้าไกลตา....
" เอะ !...ดาวเหนือเจ้าเป็นอะไรไป !...ลุงคิ้วขาวช่วยด้วย !...ช่วยมันด้วย ! ".
ความร่าเริ่งของเด็กสาวพลันกลับเปลี่ยนเป็นแตกตื่นตกใจ เมื่อเห็นกวางดาวตัวน้อยล้มลงกับพื้นดิ้นทุรนทุราย
เซียนโอสถเร่งลมปราณลอยตัวลิ่ว ตรงไปยังเนินหญ้า โดยมีหลิวหงเหินติดตามไปไม่ห่าง
" ซียี้ !... อย่าได้แตะต้องมัน ! "...เซียนโอสถร้องห้ามทันทีที่โลดแล่นไปถึงเด็กสาว
ซึ่งนางกำลังหลั่งน้ำตานองหน้า คุกเข่าด้วยความอาดูรสุดแสน
" ช่วยมันด้วยลุงคิ้วขาว ดาวเหนือมันเจ็บปวดมากแล้ว ! "..
ชายชราใช้ผ้าคลุมฝ่ามือ ก่อนจับชีพจรที่คอกวางตัวน้อย เพียงอึดใจสีหน้าเซียนโอสถพลันแตกตื่นนัก
" ผิดท่าแล้ว !...มันถูกพิษกร่อนกระดูก !..."
สิ้นเสียงเพียงครู่ กวางดาวสองตัวที่ด้านข้างล้วนล้มครืนลงกับพื้นโดยพร้อมเพรียง
" ดาวเช้า...ดาวใต้...พวกเจ้าเป็นไรไป ? "...นางร้องเสียงเครือ แทบจะล้มไปกับกวางน้อยที่แนบข้าง
เซียนโอสถยื่นไม้เท้ากั้นไม่ให้เด็กน้อยแตะต้องร่างกวางน้อย พลางกล่าวด้วยความร้าวรานใจ
" กวางพวกนี้วิ่งเข้าไปใกล้อาจารย์ข้าใช่หรือไม่ ! "...
โดยไม่ต้องตอบคำ เด็กสาวพลันคว้าขลุ่ยที่วางอยู่บนพื้น แล้วโจนทะยานไปยังช่องทางลับในเขาวงกตหิน
" เป็นคนโฉดน้อยกระทำกับสหายข้าพเจ้า !...มันต้องมียาแก้ไขแน่ !..." เสียงนางก้องหายเข้าไปในช่องทางลับอันยาวไกล
" ผิดท่าแล้ว !...เด็กสาวไร้เดียงสาไหนเลยจะเท่าทันเล่ห์เหลี่ยมจอมพิษได้ ! "....ชายชราหันมากล่าวกับหลิวหงเหิน พลางล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อหยิบเอาเข็มทิศทรงแปดเหลี่ยมยื่นส่งให้มัน
" ต้องรบกวนท่านแล้วหลิวหงเหิน หากท่านช่วยอีกแรง จะมากจะน้อยยังพอรับมืออาจารย์ข้าพเจ้าได้ "
หลิวหงเหินรับเข็มทิศแปดเหลี่ยมมามองอย่างงงงัน ....' หรือนี่จะเป็นแผนที่หาทางออก '....
" เมื่อเข้าไปให้ท่านเดินตามเข็มชี้ และเมื่อจะออกให้เดินตรงข้ามกับเข็มชี้ ..." ชายชรากล่าวแหบแห้งมากับฝ่ามือสั่นเทาที่กุมมือมันไว้มั่น คล้ายมีความห่วงใยเด็กสาวมากมายนัก
" ผู้อาวุโสวางใจได้ ผู้เยาว์ก็ห่วงใยนางไม่ยิ่งหย่อนกว่าท่านนัก "
หลิวหงเหินฝืนยิ้มกล่าว ก่อนจะโลดแล่นร่างเข้าสู่วงกตค่ายกลเคลื่อนหมู่ดาว....