ไม่ไปหาเพราะไม่อยากพูดเรื่องถอนหมั้นให้ระคายหู หรือเพราะติดใจใครอยู่กันแน่...
หญิงสาวลอบมองเสี้ยวหน้าของชายหนุ่มอย่างรู้ทัน
“ท่านช่วยถอนหมั้นเสียทีได้ไหม?”
ไป๋เว่ยซิน
สกุลเฉินนับว่ามีชนชั้นที่สูงมากกว่าสกุลไป๋
ดังนั้นอำนาจการตัดสินใจ สกุลไป๋ย่อมตกเป็นรอง เรื่องถอนหมั้นไป๋เว่ยซินจึงไม่อาจทำได้โดยง่าย
นายท่านใหญ่เฉินมีเฉินเจียหมิงเป็นบุตรชายคนเดียว จึงทั้งรักและตามใจ การหมั้นหมายที่เกิดขึ้นล้วนเป็นเพราะบิดาของเฉินเจียหมิงทำตามความต้องการของบุตรชาย เมื่อหนึ่งปีก่อน เฉินเจียหมิงเกิดรักแรกพบกับไป๋เว่ยซิน เขาจึงบอกบิดาตามตรงอย่างไม่ปิดบังและออกปากให้บิดาไปเจรจาเกี่ยวดองเอาไว้เพื่อจับจองมิให้บุรุษอื่นหมายปองสตรีที่เขาพึงใจ ไป๋เว่ยซินต้องไม่เป็นของใครนอกจากเขา
เมื่อสินสอดสกุลเฉินมาถึง สกุลไป๋ล้วนยินดีปรีดา ไป๋เว่ยซินเองก็มีใจตรงกัน นางชอบเฉินเจียหมิงเมื่อแรกเห็น
ชายหญิงมีใจปฏิพัทธ์ ฐานะสูงส่งเหมาะสมคู่ควร ดุจกิ่งทองใบหยกดั่งคู่ยวนยางสวรรค์สร้าง
การหมั้นหมายจึงเกิดขึ้นในปีนั้นอย่างไร้อุปสรรค
ท้ายที่สุดในปีนี้ การถอนหมั้นกลับมีอุปสรรคอย่างยิ่ง
แต่วันนี้ อุปสรรคที่ว่าคล้ายจะหายไปแล้ว
เนื่องจากหญิงสาวผู้หนึ่งต้องการยื่นมือช่วยไป๋เว่ยซินให้การถอนหมั้นราบรื่น แนวร่วมผู้นั้นจะเป็นใครไปมิได้ หากมิใช่มือที่สามอย่างหลัวลี่ลี่
ไป๋เว่ยซินจึงยอมให้หลัวลี่ลี่พามานั่งจิบชาในโรงเตี๊ยม พูดคุยกันตามประสาอิสตรี
หลัวลี่ลี่ถามขึ้นอย่างขวัญกล้า แววตายิ้มเย้ยเต็มที่ “พี่เว่ยซินต้องการถอนหมั้นกับพี่เจียหมิงจริงหรือเจ้าคะ?”
ผู้ถูกถามตอบเสียงเย็น “สิ่งที่ข้าพูดต่อหน้าเจียหมิงล้วนเป็นความจริงทุกประการ เจ้าจะถามให้พูดซ้ำไปไย”
สาวน้อยหัวเราะแผ่วเบา สุ้มเสียงเผยแววเยาะหยัน “ข้าเพียงอยากมั่นใจว่าพี่เว่ยซินมิใช่แค่ขู่ให้พี่เจียหมิงร้อนรนจนทนไม่ไหว เลิกยุ่งกับข้าแล้วตามง้องอนเพียงพี่เว่ยซิน”
ดวงตาไป๋เว่ยซินหรี่ลงมองสาวน้อยที่เคยน่ารักนิ่งๆ แม่นางบัวขาวหางโผล่เสียแล้ว
นางถอนหายใจ ไม่สะดวกเล่นงิ้วเท่าไหร่
“เจ้ามีอะไรก็รีบพูดมาเถอะ อย่ามัวเล่นลิ้นอยู่เลย น่ารำคาญมาก” พูดพลางโบกมือไล่อย่างหยาบคาย
หลัวลี่ลี่ชะงัก รับรู้ได้ว่าไป๋เว่ยซินเหมือนคนละคนกับเมื่อก่อนมาก สองเดือนที่แล้วตอนที่นางมาจวนเฉินใหม่ๆ อีกฝ่ายเรียบร้อยอ่อนหวาน แย้มยิ้มนุ่มนวล วาจาเสนาะโสต
นางเคยแย่งเวลาพูดคุยกับเฉินเจียหมิงโดยแกล้งทำน้ำชาหกใส่จนอีกฝ่ายต้องรีบกลับจวนไป๋ก็ยังไม่โกรธ
นางเคยเผยท่าทีสนิทสนมจนเกินงามยามเห็นอีกฝ่ายเดินมาแต่ไกลก็ไม่เห็นเคยว่าอะไร ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา นางลอบท้าทายลับหลังเฉินเจียหมิงหลายครั้งก็ยังทนได้นี่ แล้วบัดนี้ เวลาแค่สิบกว่าวัน ไยเปลี่ยนท่าทีราวฟ้ากับเหว
หลัวลี่ลี่สูดลมหายใจ ค่อยๆ ถามอย่างระมัดระวัง “หนึ่งเดือนก่อนพี่เว่ยซินยังประกาศว่าไม่มีทางถอนหมั้นกับพี่เจียหมิงอยู่เลย เมื่อครึ่งเดือนยังแสดงออกว่ารักใคร่เชื่อฟังพี่เจียหมิงมาก วันนี้ข้าจึงแปลกใจไม่ค่อยอยากเชื่อเท่าใด”
หนึ่งเดือนก่อน ไป๋เว่ยซินคนเก่ายังไม่ตาย ครึ่งเดือนให้หลังนางปรึกษามารดาเรื่องเฉินเจียหมิงกับญาติผู้น้องทันทีหลังกลับจากจวนเฉิน ยามนั้นเหม่ยหลินก็ยังไม่มา
กระนั้นทุกความทรงจำของร่างเดิมนางล้วนรับรู้ได้
ไป๋เว่ยซินระแคะระคายคู่หมั้นนานถึงหนึ่งเดือนแล้วและเสียใจมาก หากแต่ก็พยายามเก็บอาการไว้ลึกสุดใจหมายประคับประคองความสัมพันธ์เอาไว้อย่างดี ไม่มีทางยอมเสียทีให้ใคร ทว่าน่าเสียดาย นางลำบากอยู่ฝ่ายเดียว ฝ่ายชายคู่หมั้นกลับไม่รับรู้และไม่ใส่ใจ วันที่น้อยเนื้อต่ำใจจนลาโลกไปก็ยังเดียวดายปานนั้น
“ใต้หล้านี้ยังมีเรื่องให้คนเราต้องแปลกใจอีกมาก”
น้ำเสียงของไป๋เว่ยซินคลุมเครือ นึกเวทนาเจ้าของร่างเดิม แต่การหลุดพ้นคือสิ่งที่ดีมิใช่หรือ เมื่อได้คำตอบจึงเอ่ยเข้าเรื่อง “เจ้าบอกมาเถิดว่าจะช่วยข้าถอนหมั้นอย่างไร”
หลัวลี่ลี่ไม่ตอบ เพียงหันไปชงชาที่โต๊ะเตี้ยด้านหลัง กลิ่นน้ำชาโชยกรุ่น ควันขาวลอยล่อง ม้วนตัวเอื่อยเชื่อย ไม่นานสาวน้อยก็หันกลับมา กล่าวเสียงเนิบช้า
“พี่เว่ยซินใจเย็นเถิด ข้าบอกว่าช่วยก็คือช่วยเจ้าค่ะ เพียงแต่หากท่านถอนหมั้น ข้าย่อมต้องได้แทนที่ถูกไหม?”
ไป๋เว่ยซินรับน้ำชาที่อีกฝ่ายรินให้ จิบอึกหนึ่งค่อยเอ่ย “เรื่องแทนที่ข้า เจ้าทำได้ดีอยู่ทุกวันแล้วมิใช่หรือไร?”
สาวน้อยไม่เถียง เพียงก้มหน้าน้อยๆ อมยิ้มเอียงอาย ซึ่งหมายความว่ายอมรับนั่นล่ะ ยอมรับแบบไร้ยางอาย...
แน่ล่ะ ผู้หญิงที่คิดฉกฉวยแย่งชิงผู้ชายจากผู้อื่นล้วนเป็นเช่นนี้ ไป๋เว่ยซินนึกอยากให้เฉินเจียหมิงมาเห็นอีกด้านของสาวน้อยบัวขาวดอกนี้จริงๆ แต่นางไม่ใจดีขนาดนั้น
บุรุษอย่างเฉินเจียหมิงเหมาะสมยิ่งนักกับหลัวลี่ลี่
ไป๋เว่ยซินคนเก่านับว่าหมดเคราะห์อย่างแท้จริง
“ข้าขอถาม เจ้ากับเขาถึงขั้นไหนกันแล้ว” ไป๋เว่ยซินเอ่ยถามอย่างใจเย็น “ข้าแค่อยากรู้เท่านั้น เจ้าไม่ต้องคิดมาก ตอบตามตรงได้เลย”
หลัวลี่ลี่ยกมือจิ้มปลายคางทำท่าทางซุกซนน่ารัก กิริยาเช่นนี้ล่ะที่ถูกใจเฉินเจียหมิง ซึ่งแตกต่างจากไป๋เว่ยซินที่นุ่มนวลอ่อนโยนและเรียบร้อยอ่อนหวานไม่เท่าทันใคร
หลัวลี่ลี่เอ่ยโอ้อวด “แค่จูบแล้วก็อย่างที่เห็นเจ้าค่ะ” นางยกมือลูบไล้ลำคอตนว่าต่อ “เกินเลยกว่านั้นยังไม่เคย แต่หากเขากับพี่สาวถอนหมั้นกัน ข้าจะยอมให้เขาทำมากขึ้น เพื่อให้ได้แต่งงานกับเขาเจ้าค่ะ”
นางอมยิ้มขวยเขิน “เพราะเป็นพี่เว่ยซินข้าถึงบอก ไม่คิดปิดบังให้ท่านต้องโง่เขลานานเกินไป”
ไป๋เว่ยซินพยักหน้า “ดี...นับว่าเจ้ายังฉลาดอยู่มาก”
นี่คือการสนทนาแบบเปิดอกระหว่างสตรีโดยแท้ บุรุษที่คิดจะมีภรรยาหลายคนพึงระวังเอาไว้ อย่าปล่อยให้พวกนางสามัคคีกันเชียว ไป๋เว่ยซินคิดในใจเรื่อยเปื่อย
สาวน้อยแย้มยิ้ม “พี่เจียหมิงคงหมดรักพี่เว่ยซินแล้ว เขารักข้าหัวปักหัวปำ เพียงแต่เขายังไม่รู้ตัวเจ้าค่ะ”
คนฟังได้ยินเช่นนั้น อยากขมวดคิ้วไม่เชื่อก็ยังไม่กล้า คนหน้าหนานี่เขาเอาความมั่นใจมาจากไหนกันนะ
“ข้าอยากจะเตือนเจ้าสักคำ” ไป๋เว่ยซินกลั้นขำ ค่อยๆ กล่าวเสียงนุ่ม “เฉินเจียหมิงมิได้รักเจ้า เขารักตัวเอง”
ดวงตาดำขลับของหลัวลี่ลี่หดแคบ นางไม่อยากฟัง
ระหว่างจิบชา จู่ๆ ไป๋เว่ยซินพลันรู้สึกว่าตนตาพร่า แขนขาเริ่มอ่อนแรงอย่างไร้สาเหตุ
ชั่ววูบนั้น นางจึงมองถ้วยชาในมือ ก่อนเหลือบตาขึ้นไปมองหลัวลี่ลี่ เห็นอีกฝ่ายกำลังยกยิ้มชั่วร้าย... แย่ล่ะ!
ไป๋เว่ยซินผู้มีวิญญาณจากยุคศตวรรษที่ 21 สิงร่าง กำลังเสียท่าให้คนยุคโบราณเสียแล้ว
ช่างบัดซบนัก!