ตอนที่ 2 สวมรอยเจ้าสาว 4

1192 Words
“ผมมีความสุขไม่ลง ขอโทษด้วยครับ รับมือให้ดีก็แล้วกัน เพราะผมไม่ใช่คนใจดีอะไร” ยิ่งเวลานี้ทำให้เขาเกลียดทั้งบ้าน จะเอาความรู้สึกดีๆ ที่ไหนมาแสดงออก “แม่ถามจริง ตอนที่คบกับหนูเจิด ได้ทำความรู้จักกับหนูจ้าบ้างไหม” “ประวัติคนในครอบครัวผมรู้ครับ แต่ไม่ยุ่ง ไม่รู้จักเป็นการส่วนตัวและเธอเองก็มีมารยาทพอที่จะไม่มาสุงสิงเวลาที่ผมไปหาเจิด เหมือนอยู่ใครอยู่มัน นอกจากเวลาร่วมโต๊ะอาหาร ไม่เกินหน้าเกินตาคนอื่นครับ นี่เท่าที่เห็นมาตลอด” “เคยคุยกับน้องบ้างหรือเปล่า” “แค่ทักทายตามมารยาทครับ แล้วเธอก็ปลีกตัวไป เป็นแบบนี้ทุกครั้ง ไม่ได้มาทำตัวสนิทสนมกับคนที่ใกล้ชิดพี่สาว” “แม่ว่าเค้ารักษามารยาทและระยะห่างดีนะ” “ห่างจนผมแทบไม่รู้จักนิสัย เธอไม่สุงสิงกับใครครับ คุยกันนับครั้งได้” “แม่เองก็เพิ่งเห็นว่า น้องไม่ได้หน้าตาเหมือนหนูเจิดเสียทีเดียวนะ แยกออก แม้บางคนจะมองว่าเหมือน” “ใช่ครับ เค้าไม่ได้เหมือนกันแบบเป๊ะ ยังมีจุดให้มองได้แบบแตกต่าง แต่ถ้าคนไม่รู้ก็แยกไม่ออกอยู่ดี” “แม่ว่า ไม่เสียหลายถ้าลูกจะเริ่มคุยกับน้อง” “ไม่ครับ ผมบอกแล้วว่าเราจะอยู่ในฐานะลูกจ้างกับนายจ้าง การแต่งงานมันก็แค่ฉากหน้า สักระยะผมก็ให้เขาเป็นอิสระอยู่ดี” “เฮ้อ เอาเถอะ ตามใจลูก แต่อย่าใช้ความเกลียดชังมาทำร้ายหนูจ้า เพราะหนูจ้าไม่ได้ผิด” “การยินยอมมาสวมบทเป็นเจ้าสาวกำมะลอ ผมก็ไม่ได้ปลื้มหรอกนะครับ ผู้หญิงปกติที่ไหนจะมายอมแต่งงานแทนคนอื่น” เขาเริ่มจะใช้คำพูดที่ฟังไม่เข้าท่า มีน้ำโหขึ้นเรื่อยๆ “ไม่ควรว่าหนูจ้าแบบนี้ ถ้าผู้ใหญ่ไม่ขอร้อง น้องก็ไม่ได้อยากทำ” “ทุกคนนั่นแหละ เพราะทุกคน” เขาว่าเสียงเรียบก่อนจะหลับตาเบือนหน้าหนีจากมารดา เพราะไม่อยากคุยแล้ว “พักผ่อนนะลูก แม่ไม่อยากกวนแล้ว ถึงเวลาเดี๋ยวให้ช่างแต่งหน้าแต่งตัวเข้ามาหานะ” “ครับ” สิงหราชได้แต่รับคำพลางถอนใจ จากนั้นมารดาจึงได้ปลีกตัวออกไปเพื่อให้เขาได้พักผ่อน รอเวลาที่จะเข้าพิธีเย็น นั่นคืองานเลี้ยง ซึ่งเวลานั้นมันจะเต็มไปด้วยแขกเหรื่อนับพันคน เป็นผู้มีชื่อเสียงทั้งสิ้นทั้งในวงการการเมือง ข้าราชการ นักธุรกิจ เหตุนี้แหละที่ทำให้ไม่อยากเสียชื่อเสียง และแน่นอนว่าเมื่องานเลี้ยงมาถึง สิงหราชต้องปั้นหน้ายิ้ม รับแขกพร้อมกับเจิดจ้าเจ้าสาวแสนสวยทั้งที่ไม่เต็มใจ ถูกบังคับให้ยืนใกล้กันทั้งที่ไม่ปรารถนา ทั้งคู่จำต้องกล้ำกลืนฝืนยิ้มออกมาให้ทุกคนเห็นถึงความสุขที่อบอวลตลอดหลายชั่วโมง ไม่มีใครดูออกว่านี่คือเจิดจ้า ไม่ใช่เจิดจรัส ขณะที่สิงหราชแทบไม่ได้มองหน้าเจ้าสาว กระทั่งบางจังหวะเขาได้สบตาคู่หม่นที่แดงก่ำและบวมอย่างเห็นได้ชัด แม้จะแต่งหน้าแต่งดวงตากลบไว้ก็ตาม รู้ว่าเธอก็คงไม่เต็มใจ และคงแอบร้องไห้หนัก บางครั้งเขาก็เห็นว่าเธออ่อนล้า เพลีย คล้ายกับจะทรงตัวไม่อยู่ จนเขาต้องแสร้งเข้าไปประคองหลัง เพราะกลัวเธอล้มขึ้นมา เจิดจ้าก็อดทน พอรู้ตัวเธอก็ขยับออกห่างแล้วฝืนโปรยยิ้มให้กับแขกในงานต่อไป กว่าทุกอย่างจะผ่านไปได้หลายชั่วโมงมาก ทั้งคู่อ่อนเพลียเพราะไม่ได้รับประทานอะไรเลย ในฐานะเจ้าบ่าวเจ้าสาวปลอมๆ ทำให้กินอะไรไม่ลง เหนื่อยจนเก็บสีหน้าไม่ไหว พอส่งแขกกลับหมด ก็ได้เวลาที่จะส่งตัวเจ้าสาว และแน่นอนว่าไปส่งที่บ้านเจ้าบ่าว คือไร่ชาของสิงหราช คนที่ต้องไปส่งด้วยคือฝ่ายเจ้าสาว เพื่อตระเตรียมจัดเสื้อผ้าไปอยู่ที่นั่นเป็นครอบครัวใหม่ แต่ละคนเดินทางโดยรถหลายคัน แต่เจ้าสาวนั่งไปกับเจ้าบ่าว คือรถหรูที่เขาตั้งใจมารับเจ้าสาวนั่นแหละ “แล้วเจอกันที่ไร่นะลูก” จรัสดาวผู้เป็นมารดากล่าวเสียงนุ่ม พลางเอามือลูบศีรษะลูกสาวเบาๆ “ค่ะแม่ แล้วเจอกันค่ะ” เจิดจ้าตอบเสียงสั่นเครือและก้มหน้าเล็กน้อย “ฝากจ้าด้วยนะคะคุณสิง” เจิดจรัสหันมามองสิงหราชอีกครั้ง “ครับ ขึ้นรถคงหลับเลยล่ะมั้ง” เขาตอบเสียงเรียบพลางเหลือบมองเจิดจ้าเล็กน้อย “งั้นเราก็เดินทางกันเลย ไปถึงแล้วจะได้ส่งตัวแล้วก็จะได้พักผ่อน” ท่านรองฯ กล่าวก่อนจะยิ้มให้สิงราชแล้วลูบศีรษะลูกสาวอีกครั้ง ภายในใจมีเป็นหมื่นล้านคำเสียเหลือเกิน สงสารก็สงสาร แต่จะให้ทำอย่างไรได้ ท่านคิด จากนั้นสิงหราชจึงได้เปิดประตูรถให้เจิดจ้าขึ้นไปนั่งก่อนแล้วเขาจึงได้ตามขึ้นไป ก่อนที่คนขับจะเคลื่อนออกไปจากหน้าบ้านช้าๆ และตามด้วยรถคันอื่นๆ เมื่อนั่งอยู่กันตามลำพังเป็นครั้งแรก เจิดจ้าทำได้เพียงเอียงตัวมองออกไปทางหน้าต่างรถ มือประสานกันไว้แน่น นั่งตัวลีบตัวแบนราวกับกลัวว่าเขาจะรังเกียจ แม้กระทั่งชุดที่สวมใส่ก็ไม่อยากให้เข้าไปเกะเท้าเขาแม้แต่น้อย พอเขานั่งใกล้ เธอก็ต้องขยับแล้วเก็บปลายชุดเป็นอย่างดี เขามองแล้วก็รู้สึกเช่นกัน เธอกับเขาไม่ใช่คนรู้จักกัน “ถ้าเหนื่อยก็นอนพักเถอะ ไม่รบกวนหรอก” สิงหราชเอ่ยขึ้นเสียงเรียบและเบา ก่อนจะกัดกรามแน่น แล้วถอนใจ พอเจิดจ้าได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้าเล็กน้อยแล้วหลับตา แม้เขาจะไม่บอกเธอก็จะนอนเพราะทนไม่ไหวอีกแล้ว อ่อนเพลียทั้งร่างกายและจิตใจ กินอะไรไม่ลงทั้งนั้น และไม่มีแรงพอจะคุยกับเขาด้วย ขณะที่สิงหราชได้แต่นั่งนิ่งไม่ชวนคุยอะไรทั้งสิ้น เพราะไม่คุ้นเคยกับเจิดจ้าจึงทำให้ความรู้สึกมันห่างเหิน เป็นคนแปลกหน้า ปกติก็แทบจะไม่คุยกันอยู่แล้ว และนี่จะหาอะไรมาคุยกันเล่า สุดท้ายแล้วเขาจึงเงียบ มองออกไปนอกรถอีกทางหนึ่ง ปล่อยให้ภายในรถมีแต่เพียงเสียงเพลงบรรเลงคลอเบาๆ ให้ผ่อนคลายเท่านั้น เขาเองก็อ่อนเพลียแต่หลับตาไม่ลง มันมีเรื่องต้องให้กลุ้มใจเยอะแยะมากมายในสมอง แต่เวลาผ่านไปสักพักก็ได้ยินเสียงสูดน้ำมูกของเจ้าสาว เขาจึงเหลือบมองเล็กน้อย เห็นแต่เธอยกมือขึ้นปาดน้ำตา เห็นแล้วก็ได้แต่กัดฟันทนเพราะทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าเครียด หงุดหงิด แล้วไม่แยแส มันเป็นเรื่องธรรมชาติที่เขาเองก็เสียใจมากกว่าเธอด้วยซ้ำ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD