ทางฝ่ายเจ้าสาวรออย่างใจจดจ่อใจจ่อ เพราะกลัวอยู่เหมือนกันว่าเจ้าบ่าวจะหนีงานแต่งอีกคน แต่ช่วงเวลาเดียวกันนั้นเจ้าสาวก็ชะเง้อคอมองผ่านทางหน้าต่าง กระทั่งเห็นขบวนรถหรูของเจ้าบ่าว เข้ามาจอดที่ถนนทางเข้าบ้านเป็นจำนวนหลายคัน เจิดจ้าอยู่ในอาการตื่นเต้นระคนหวาดหวั่นอยู่ไม่น้อย ทำตัวไม่ถูกเลยด้วยซ้ำ เขาไม่ใช่เจ้าบ่าวของเธอเสียหน่อยจะตื่นเต้นทำไมกัน เธอคิดก่อนจะนั่งแบบเจียมตัว
ขณะเดียวกันทางเจ้าบ่าวก็เตรียมขบวนขันหมาก เพื่อจะได้เข้าสู่พิธีหมั้น สิงหราชยิ้มแย้มปั้นหน้าให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขบวนขันหมากสิ่งที่สำคัญที่สุดชนิดที่ขาดไม่ได้เลยนั่นคือพานที่เต็มไปด้วยของหมั้นและสิ้นสอด นับกันไม่หวาดไม่ไหว ทุกคนตื่นเต้นที่ได้เห็น ยกเว้นก็แต่พ่อกับแม่เจ้าสาว เพราะรู้ดีว่า ค่าสินสอดนั้นมันก็แค่นำมาตบตา
“โห่! ฮิ้ว! โห่! ฮิ้ว! โห่! ฮิ้ว! โห่! ฮิ้ว!!!” เสียงโห่ร้องของขบวนขันหมากดังขึ้น พร้อมกับกลองยาวบรรเลงเพลงแห่ขันหมากจากหน้าบ้าน นำเจ้าบ่าวเข้าไปช้าๆ คนนำขบวนคือเลขาคนสนิทของสิงหราชฟ้อนอย่างสนุกสนาน สิงหาราชได้แต่มองแล้วยิ้มเจื่อนๆ กระทั่งถึงประตูเงินประตูทอง
ด้วยความที่ฝ่ายเจ้าสาวรู้ดีว่านี่มันคือการสร้างภาพ ทุกคนก็ได้แต่ยืนยิ้มรอซองขาวจากเจ้าบ่าวเท่านั้นเอง แล้วยอมให้เขาเข้าไปอย่างง่ายดาย จากนั้นจึงเป็นประตูที่สองพร้อมกับเดินขึ้นบันไดบ้านไปด้วย แน่นอนคนที่ถือประตูเงินประตูทองก็ได้แต่ยืนรอรับซอง ซึ่งตอนนี้มีถึงสี่คน เขาก็ยื่นให้พร้อมกับรอยยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะผ่านไปถึงประตูสุดท้าย เขาเหลือบสายตามองเข้าไปในบ้าน เห็นแว๊บๆ ว่าเจ้าสาวนั่งอยู่อีกห้องหนึ่ง ครั้นคนถือประตูเห็นหน้าเขาก็ไม่กล้าพูดอะไรแล้ว เพราะเขาเริ่มจะเก็บอาการไม่อยู่จึงได้แต่ยื่นซองให้เท่านั้น ทุกคนก็เปิดทางให้แต่โดยดีเพราะกลัวว่าเขาจะเหวี่ยงใส่ บรรยากาศเริ่มอึมครึมทันที จนพ่อแม่ของสิงหราชเข้ามาปราม
“ไปรับเจ้าสาวที่ห้อง มาเข้าพิธีหมั้นนะลูก” มารดากระซิบบอก
“ครับ” เขาตอบสั้นๆ และถอนหายใจเล็กน้อย ขณะที่ฝ่ายพ่อแม่ของเจ้าสาวก็เดินนำ ไปจนถึงห้องที่ว่านี้ พร้อมกับผลักประตูเข้าไป ก็เห็นเจ้าสาวแสนสวยในชุดไทยจักรพรรดิสีฟ้าอ่อน สวย สง่างาม ตรึงตราจนสิงหาราชถึงกับอึ้งมองหญิงสาวไม่วางตาชั่วขณะ เพราะไม่ทันได้คิดว่านี่คือแฝดผู้น้อง ขณะที่เจิดจ้าลุกขึ้นก้มหน้าเล็กน้อย แล้วยกมือไหว้เขาอย่างนอบน้อม ด้วยความที่ตะลึงทำให้ไม่ได้รับไหว้ พอได้สติเขาก็กัดกรามเล็กน้อย แล้วจึงเอ่ย
“เชิญครับ ผมไม่อยากเสียเวลา” สิงหราชบอกเสียงเรียบ พูดตรงๆ แบบไม่อ้อมค้อม จนทำให้เจ้าสาวหน้าเสีย จากนั้นจึงเดินผ่านเขาแบบก้มตัว เพื่อออกไปสู่ห้องโถงของบ้านที่ใช้เป็นพิธีหมั้น ญาติทุกคนพร้อมพรั่งเรียบร้อยกันทั้งสองฝ่าย เจ้าสาวเจ้าบ่าวนั่งบนพื้น พร้อมกับมีพานสินสอดทองหมั้นเบื้องหน้า พิธีเป็นไปอย่างเรียบง่าย ทั้งคู่ก้มกราบพ่อแม่ของทั้งสองฝ่าย
มีการกล่าวอะไรเล็กน้อยตามประสาเพื่อคลายความเครียด แต่สีหน้าของสิงหราชเหมือนไม่อยากอยู่ในงานเลย กระทั่งพ่อแม่บอกให้หยิบแหวนขึ้นมาสวมได้แล้ว
“สิง สวมแหวนให้น้องได้แล้วลูก” แม่เลี้ยงญานินกล่าวเบาๆ เมื่อเห็นว่าลูกชายนั่งเฉย
“สิง สวมแหวนลูก” บิดาเสริมขึ้นด้วยน้ำเสียงเข้มแต่ไม่ดังนัก ทำเอาสิงหราชสะดุ้งก่อนจะหันไปหยิบแหวนขึ้นมาแล้วบรรจงสวมไปที่นิ้วนางข้างซ้ายของเจ้าสาว ชนิดที่ไม่ได้มองหน้าเธอเลยแม้แต่เสี้ยวเดียว จากนั้นเจิดจ้าจึงเป็นคนสวมแหวนให้กับเขาบ้าง เป็นครั้งแรกที่ได้จับมือเขา แต่ยิ่งเห็นสีหน้าไม่ยีหละก็ยิ่งทำให้เธอมือสั่น ไม่สามารถสวมแหวนใส่นิ้วได้เสียที
“ใจเย็นๆ” สิงหราชเอ่ยกับเธอเป็นครั้งแรก แต่น้ำเสียงของเขาก็เย็นชาเหลือเกิน
“ค่ะ” เจิดจ้าตอบเบาๆ ก่อนจะจ่อแหวนไปที่ปลายนิ้วนางของเขา แล้วสวมเข้าไปเร็วๆ จากนั้นเธอจึงก้มลงกราบแทบตัก เขาได้แต่เหลือบมองเล็กน้อยเท่านั้นแล้วปรายตามองไปทางอื่น กว่าจะแล้วเสร็จมันกระอักกระอวนไปหมด มันมีความไม่เต็มใจอย่างเห็นได้ชัด ยกเว้นคนในงานที่ไม่รู้และคิดเพียงแต่ว่าทั้งคู่อาจจะเหนื่อยจากการเตรียมงานแค่นั้น
เจ้าบ่าวเจ้าสาวแทบจะไม่อยากมองหน้ากัน แต่พยายามเหลือเกินที่จะยิ้มให้กับแขกเหรื่อในงาน จนกระทั่งมาถึงพิธีสำคัญอีกหนึ่งพิธีคือจดทะเบียนสมรส ซึ่งทางท่านรองฯ ก็เป็นฝ่ายจัดการเอง รวมถึงการเปลี่ยนชื่อเจ้าสาวด้วย แต่การทำเช่นนี้ก็เท่ากับผูกมัดลูกสาวคนเล็กโดยไม่ได้ตั้งใจ สิงหราชกับเจิดจ้านั่งอยู่ที่เก้าอี้ บนโต๊ะที่ทะเบียนสมรสวางอยู่ เจิดจ้าเห็นชื่อตัวเองถึงกับสั่น เพราะคราวแรกคิดว่าเป็นชื่อของพี่สาวเสียอีก แบบนี้มันไม่ใช่แค่การสวมรอยแล้ว เธอคิดและไม่กล้าจรดปากกา
“แค่ไม่นานหรอก ทนไปก่อน” สิงหราชเอ่ยเบาๆ น้ำเสียงเรียบ เพราะรู้ว่าเจิดจ้ากำลังคิดเช่นไร เขาเองก็ไม่ต่างกันหรอก พอพูดจบเขาก็เป็นฝ่ายเซ็นก่อน เธอจึงเซ็นตาม เสร็จแล้วจึงส่งกลับไปที่นายทะเบียนผู้เป็นพยาน นั่นแปลว่าทั้งคู่เป็นสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายแล้ว นี่มันไม่ใช่การเล่นละครตบตาคนอื่น มันคือของจริง สิงหราชมีสิทธิ์ในชีวิตเธอทุกอย่างแล้วนับจากนี้ ถามตัวเองว่ามาสวมรอยจริงหรือ ทำไมทุกอย่างมันดูจริงไปหมด และจริงยิ่งกว่าคือเธอกับเจ้าบ่าวแทบจะไม่พูดกันเลย
“เฮ้อ” สิงหราชถอนใจอีกครั้งหลังเสร็จสิ้นพิธีหมั้นเช้า เวลานี้กำลังพักผ่อนในห้องพักรับรองบ้านท่านรองฯ โดยไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับฝ่ายเจ้าสาวเลยแม้แต่นิดเดียว เพื่อรอเวลาให้ถึงตอนเย็น ที่จะเข้าสู่งานเลี้ยงอันยิ่งใหญ่ งานนี้แหละที่เขาจะปั้นหน้าหนักกว่างานเช้าเสียอีก
“ขอบใจนะลูก” มารดาเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วงระคนหม่นเล็กน้อย
“เรื่องอะไรครับ” สิงหราชตอบกลับโดยไม่ได้มองหน้ามารดา
“เรื่องงานเช้า เป็นไปได้ด้วยดี แม้ว่าลูกจะไม่ยิ้มแย้มก็ตาม”
“ผมยิ้มไม่ออก ขอโทษด้วยครับ ผมไม่ได้มีความสุขกับบรรยากาศที่เกิดขึ้น” เขาพูดตามตรง เพราะทุกวินาทีที่เข้าพิธีเขานึกถึงแต่ความเลวร้ายของเจิดจรัสที่ทำเอาไว้
“แม่รู้ว่าลูกรู้สึกยังไง แม่เองก็ไม่ต่างกันหรอก แต่ยังไงก็ดีใจที่ลูกไม่ทำมันพังอีกคน”
“ใจจริงก็อยากทำ อยากลุกขึ้นมาประกาศให้ทุกคนรู้ อยากให้มันพังทลายลงไปให้หมด ถ้าไม่ติดว่าต้องอยู่กับชื่อเสียงของตัวเองไปอีกนาน กลัวมันจะส่งผลให้หุ้นตก” ประโยคสุดท้ายมันคือเรื่องจริง มันมีส่วน เมื่อความไว้เนื้อเชื่อใจลดลง ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาทางสังคมที่เสื่อมเสียลง มันส่งผลไปถึงธุรกิจ ไม่อย่างนั้นดาราเซเลบริตี้จะรักษาภาพลักษณ์กันหรือ
“เดี๋ยวมันก็จบ”
“ผมกลัวมันไม่จบ มันไม่ได้ง่ายเหมือนที่บอกหรอกครับ คุณแม่คอยดูก็แล้วกัน”
“ลูกก็ลองทำให้มันง่ายดูสิ”
“ใช้ชีวิตกับคนที่ผมไม่ได้รัก ไม่ได้อยากจะแต่งงานด้วย เธอเองก็ไม่ได้ก็ต้องการ คิดดูว่าเราจะหาความสุขจากไหน ผมไม่ใช่สัตว์ที่หยิบยื่นอะไรเข้าปากแล้วจะงับกินไปซะหมด”
“เฮ้อ อย่าเปรียบเทียบตัวเองอย่างนั้นสิลูก”