สุดท้ายแล้ว สิงหราชก็แสร้งหลับตาลง ไม่อยากมองอะไรทั้งสิ้น เพราะเวลานี้ไม่สามารถข่มความโกรธเกลียดเอาไว้ได้เลย และแม้เขาจะวางเฉยแต่ภายในใจมันเดือดอยู่ตลอดเวลา จวบจนกระทั่งผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมง รถก็แล่นมาจอดที่หน้าบ้านของสิงหราชซึ่งใช้เป็นเรือนหอ เจิดจ้าตื่นเองโดยไม่ได้รอให้ปลุก เขาลงก่อนและเปิดประตูให้อย่างสุภาพ พร้อมกับยื่นมือไปรับ เจิดจ้าขยับตัวมาและกำลังจะก้าวลง จึงเหลือบมองที่มือหนาซึ่งยื่นมาให้เธอจับ เธอถอนใจและเม้มปากเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณ” เจิดจ้าตอบสั้นๆ เขาก็ดึงมือกลับอย่างไวเช่นกัน
ทั้งสองฝ่ายพร้อมกันที่หน้าบ้าน ส่วนคนอื่นๆ ต้องรอด้านนอกเท่านั้น เวลาต่อจากนี้คือเป็นของคู่บ่าวสาว มีเพียงพ่อกับแม่ที่เข้าไปได้ ส่วนห้องที่ใช้จัดฉากเพื่อส่งตัวเจ้าสาวนั้นคือห้องพักรับรองที่ไม่ใช่ห้องนอนของสิงหราช ทว่าอยู่บนชั้นสองเหมือนกัน ภายในห้องประดับประดาด้วยดอกกุหลาบสีขาว แซมด้วยใบไม้สีเขียว เครื่องนอนเป็นสีขาว มีโปรยกลีบกุหลาบสีแดงเอาไว้เป็นรูปหัวใจ พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายขึ้นไปนั่งก่อนเป็นอันดับแรก ส่วนสิงหราชกับเจิดจ้านั่งกับพื้นที่ปลายเตียง จากนั้นท่านทั้งสี่คนจึงได้ขยับมานั่งตรงปลายเตียง เพื่อให้ลูกได้กราบตามพิธี
“อันดับแรก อาอยากจะขอบคุณคุณสิง ที่... ยอม ไม่งั้นคงแย่ แม้จะกล้ำกลืนฝืนทนเสียหน่อยแต่ก็ขอบคุณมากๆ นะ” ท่านรองฯ เป็นคนกล่าวเสียงหม่น พลางมองหน้าลูกสลับกัน
“ครับ” สิงหราชตอบสั้นๆ เท่านั้น
“ฝากยัยจ้าเอาไว้สักระยะนะคะ ถึงเวลาที่คุณสิงคิดว่าเหมาะสมแล้วค่อย...” จรัสดาวเสริมขึ้น
“ผมจะพิจารณาเองครับ” คำตอบของสิงหราชทำให้จรัสดาวหน้าเจื่อนเล็กน้อยพร้อมกับยิ้มแห้ง
“แม้จะไม่ใช่คู่จริง แต่แม่อยากให้ดูแลกันไป ไม่ว่าจะในฐานะอะไรก็ตาม คิดเสียว่าเป็นพี่เป็นน้อง สิงอย่าใช้อารมณ์เป็นที่ตั้งในการใช้ชีวิต” มารดาของเขาแทรกขึ้น ทุกคนไม่ได้อวยพรคู่บ่าวสาว แต่ถอดหน้ากากออกแล้วมาพูดความจริงกัน เพราะนับต่อจากนี้ดูเหมือนจะห่วงเจิดจ้าเสียเหลือเกิน
“ผมเพิ่งผ่านความรู้สึกโกรธ เกลียดมาได้แค่ 2 วัน จะให้ผมทำใจใช้ความรู้สึกให้เป็นปกติ ก็คงจะยากหน่อย” สิงหราชตอบแบบไม่แยแส ทำเอาทุกคนถอนใจเป็นห่วงเจิดจ้ามากขึ้น
“จ้าอยากพูดอะไรไหมลูก” พ่อเลี้ยงเสือหันมาถามลูกสะใภ้บ้าง เพราะเห็นก้มหน้าเงียบมาโดยตลอด ครั้นพอเงยหน้าขึ้นกลับตาแดงก่ำ เหมือนเก็บความรู้สึกเอาไว้คนเดียวอย่างอัดอั้น
“จ้า... ไม่มีอะไรจะพูดค่ะ” เจิดจ้าบอกเสียงสั่นเครือ
“พูดสักนิดก็ยังดีนะลูก จะได้ไม่อัดอั้น” พ่อเลี้ยงเสือบอกอีกครั้ง
“จ้า ไม่รู้จะพูดอะไร ฐานะนี้ ตำแหน่งนี้ หรือห้องนี้ก็ไม่ใช่ของจ้าด้วย” คำตอบของเธอเหมือนประชด ซึ่งก็จริง
“ถึงจะไม่ใช่ แต่ถ้าไม่ได้หนู วันนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น ทุกอย่างมันเกือบพังเพราะใครหนูก็รู้ เราทุกคนต้องขอบคุณหนู เพราะเราทุกคนห่วงหน้าตาทางสังคมจนลืมความรู้สึกที่แท้จริงของหนูด้วยซ้ำ ป้าขอโทษแทนทุกคนด้วยนะลูก ถึงหนูจะไม่ใช่เจ้าของงานตัวจริง แต่หนูก็ได้เป็นลูกของป้าแล้ว จำเอาไว้ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นบอกป้าได้ทุกเรื่อง และ... ฝากดูแลพี่เขาด้วย” แม่เลี้ยงญานินเป็น คนกล่าว เจิดจ้าได้แต่นั่งนิ่งก้มหน้าแล้วส่ายหน้าเล็กน้อย พยายามกดกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้ไหลเอ่อ
“สิง ไม่ต้องปั้นหน้าเพื่อใครอีกแล้ว แต่... อย่างน้อยหนูจ้าก็ต้องอยู่ที่นี่อีกนาน คนเราแม้ไม่รู้จักกัน หรือแม้แต่อายุห่างกันก็สามารถเป็นเพื่อนกันได้นะลูก” บิดาหันมาสอนลูกชายบ้าง เพราะรู้ดีกว่าสิงหราชไม่เอาใครอีกแล้ว
“ผมจะ... พยายามครับ” สิงหราชตอบ
“รู้ว่าคุณสิงไม่ได้มีความสุขหรอก แต่ขอบคุณอีกครั้งนะที่เสียสละ” ท่านรองเสริมขึ้นอีกครั้ง
“เอาล่ะ เราน่าจะกลับกันได้แล้ว พ่อกับแม่ไม่ได้นอนพักที่นี่นะลูก เอาข้าวของมาส่งหนูแล้วก็จะกลับเลย อยากให้หนูกับคุณสิงได้พักผ่อน ขาดเหลืออะไรก็โทรไปบอกพ่อกับแม่นะลูก”
“เรื่องขาดเหลือผมจะจัดการเองครับ ไม่ให้ห่วงหรอก แค่สภาพจิตใจเท่านั้นแหละที่จัดการไม่ได้” สิงหราชตอบเชิงประชด
“งั้นเราพ่อแม่ ออกไปดีกว่านะ เด็กจะได้พักเสียที เหนื่อยมาทั้งวัน” พ่อเลี้ยงกล่าวอีกครั้ง สิงหราชกับเจิดจ้าจึงได้ก้มลงกราบแทบเท้าท่านทั้งสี่คนอีกครั้ง
“เราก็กลับนะ ท่านรองกับคุณนายก็แวะไปพักเหนื่อยที่บ้านก่อนแล้วค่อยกลับจะดีกว่า” พ่อเลี้ยงเสือบอกอีกครั้งก่อนจะพาทุกคนออกไปจากห้องนอน พร้อมกับปิดล็อกเอาไว้ให้เป็นอย่างดี กันไม่ให้คนสนิทคนใดคนหนึ่งโผลงเข้ามาในห้องในเวลาที่ไม่ควร แอบคิดว่าบางทีสิงหราชอาจจะทำหน้าที่เจ้าบ่าวก็เป็นได้ แต่เปล่าเลย เขายังนิ่งกำมือแน่นขณะที่เจิดจ้าก้มหน้าไม่ยอมเงย เขาจะทำใจพูดกับเธออีกครั้งอย่างไรดี การกลั่นออกมาแต่ละประโยคกลัวเหลือเกินว่าจะใส่อารมณ์ กลัวจะเกรี้ยวกราด
“เฮ้อ! เคยหรือยัง” สิงหราชถามสั้นๆ เสียงกดต่ำมีนัยยะ ทำเอาเจิดจ้าถึงกับใจเต้น หน้าแดงก่ำเสียอย่างนั้น ให้ตายสิ
“ขา? คือ เอ่อ...” เจิดจ้าอึกอักเลิ่กลั่กตอบไม่ถูกกันเลยทีเดียว
“ถามว่าเคยหรือยัง” เขาถามย้ำอีกครั้ง
“คะ คะ เคย... คืออะไรคะ จ้า... มะ มะ ไม่เข้าใจ” เธอถามกลับเสียงสั่นไม่กล้าเงยหน้า
“เคยนอนต่างที่ต่างทางบ้างหรือเปล่า” พอเขาขยายความเท่านั้นแหละเธอก็โล่งใจ แต่ไม่คิดว่าตัวเองจะคิดลึกขนาดนี้ บ้าจริง
“เอ่อ ไม่เคยค่ะ หากไม่นับรวมตอนออกค่ายกับทางมหาวิทยาลัยค่ะ”
“นั่นนอนกับเพื่อนหลายคน มันคนละอย่างกับตอนนี้ แต่ไม่ต้องห่วงนะ บ้านหลังนี้ไม่มีอะไรให้ต้องกลัว ไม่มีผีสาง และไม่ต้องห่วงว่าฉันจะรบกวน”สิ้นคำของเขา เธอก็หันมามองเล็กน้อย
“พักผ่อนตามสบาย” สิงหราชบอกอีกครั้ง ก่อนจะลุกขึ้นแล้วออกไปจากห้องทันที ทิ้งให้เจิดจ้านั่งนิ่งอยู่กับอารมณ์หลากหลาย มันมีความเจ็บปวดอยู่ลึกๆ ระคนด้วยความโล่งใจ ที่เขาไม่ได้ทำหน้าที่เจ้าบ่าว ทั้งที่อาจจะทำได้ และหากเป็นเช่นนั้นจริงเธอจะขัดขืนอะไรได้เล่า แต่นี่โชคดีที่เขาไม่ได้พิศวาสเธอ คงรักเดียวใจเดียวกระมัง ดีแล้วเธอก็จะทำหน้าที่ภรรยาแค่ในนามเท่านั้น ทว่ามันเจ็บปวดกับฐานะของตัวเองตอนนี้เหลือเกิน จะมีความสุขกับชีวิตนับจากนี้ได้อย่างไร ในเมื่อต้องอยู่กับคนที่เกลียดเธอและครอบครัว เธอจะแก้ไขความผิดนี้แทนพี่สาวและรับมือกับความเกลียดชังจากเขาอย่างไรดี
คิดแล้วก็ได้แต่เจ็บจุกอยู่ในหัวใจ จนน้ำตาไหลอาบแก้มช้าๆ สองมือกำแน่นกระทั่งเหงื่อซึม เนื้อตัวเริ่มสั่นเทาพร้อมกับเสียงสะอื้นหนักกว่าเดิม สุดท้ายได้แต่ปาดน้ำตาสูดหายใจเข้าลึกๆ เรียกความกล้าและความเข้มแข็งให้กลับมา กลืนน้ำตาเข้าไปไว้ในอกให้หมด พลางมองไปรอบห้องที่มีเพียงเธอ และนี่คือห้องนอนสำหรับส่งตัวเจ้าสาว แต่ไร้เจ้าบ่าว การใส่หน้ากากปั้นหน้ายิ้มมันได้จบลงไปแล้ว แต่การสวมรอยมันยังไม่จบ คงต้องดำเนินไปอย่างแนบเนียน เพื่อไม่ให้ใครจับได้ว่าแต่งเสร็จแยกห้องอยู่ หรือเลิกกันทันที เช่นนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับล้มงานแต่งงานหรอก คนเขาก็เอาไปซุบซิบนินทาอยู่ดี