ณ บ้านไร่ชา
“พ่อต้องกลับแล้วนะสิง” พ่อเลี้ยงเอ่ยพลางมองไปที่ลูกชาย ขณะที่สิงหราชกำลังนั่งเครียดอยู่ที่โต๊ะทำงาน หันหลังให้บิดาโดยหันไปมองตรงบานกระจกแทน
“เฮ้อ! ครับ” สิงหราชถอนใจพร้อมกับเปล่งเสียงออกมาเบาๆ
“ขอบใจนะลูก”
“ไม่ต้องขอบคุณผมหรอกครับ วันข้างหน้าพ่ออาจจะได้ขอบคุณคนอื่นแทนก็ได้ ขอบคุณที่ทิ้งผมไป” เขาพูดเป็นนัยๆ ไปอย่างนั้นเองแหละ เพราะไม่รู้อนาคตหรอกว่าจะเป็นอย่างไร
“แต่วันนี้ลูกยอมให้เราได้แก้ปัญหาด้วยกัน และพ่อเสียใจเรื่องหนูเจิดด้วยนะ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ดีพอที่จะรั้งใครไว้ ไม่ดีพอที่ใครจะมอบชีวิตให้ดูแล ไม่ดีพอที่ใครจะมาซื่อสัตย์ด้วย”
“อย่าว่าให้ตัวเองแบบนั้น ลูกไม่ได้แย่ขนาดนั้น”
“เฮ้อ ผมขอเวลาเสียใจสักวันนะครับ งานอะไรก็เตรียมเสร็จแล้วเจอกันวันงานละกัน” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเศร้า
“เจอกันอีกสอง ตอนเช้านะ จะให้เด็กๆ มาดูแลเรื่องเสื้อผ้าหน้าผม”
“ครับ ช่วงนี้อย่าให้ใครมายุ่งกับผมนะ ผมอยากอยู่คนเดียว”
“อืม” รับคำเสร็จพ่อเลี้ยงเสือ จึงได้ออกไปจากห้องทำงาน แล้วกลับบ้านไปพร้อมกับภรรยา
“เฮ้อ!!! ชีวิตกูหนอ มีอะไรที่มันโคตร... ” สิงหราชสบถอยู่เพียงลำพัง เขาเครียด เจ็บปวดและเสียใจ แต่มันไม่ได้ร้าวรานถึงขนาดที่จะต้องหาวิธีทำร้ายตัวเอง เขาไม่ได้ให้ใจกับใครเต็มร้อยเพราะเผื่อใจไว้เจ็บ แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ มันเป็นความเจ็บที่โคตรเกลียด เขาเกลียดทุกคนที่เกี่ยวข้อง แม้กระทั่งเด็กนั่นที่กำลังจะมาสวมรอยแทนที่พี่สาว
สิงหราชรู้จักเจิดจ้า แต่ไม่ดีพอเพราะเขาไปมาหาสู่แต่เพียงเจิดจรัสเท่านั้น ส่วนน้องสาวฝาแฝดมักไม่โผล่หน้ามาให้เห็น นานๆ ทีถึงจะได้พบกันสักครั้ง คนน้องมักจะไม่สู้หน้าสู้ตา ดูเหมือนอ่อนแอ อ่อนต่อโลก ต่างกับพี่ที่ดูมีความมั่นใจในตัวเองพอสมควร แต่สุภาพเรียบร้อยตามการอบรมสั่งสอน สองพี่น้องเป็นฝาแฝดที่หน้าเหมือนกัน ทว่ามีจุดแตกต่างที่ทำให้มองออก เพียงแต่เขาได้ทำความคุ้นเคยกับอีกคนคงแยกแยะได้ แต่มันจะมีประโยชน์อะไร เขาไม่จำเป็นต้องคุ้นชินกับเจ้าสาวสวมรอยคนนั้น ควรจะเอาคืนให้สาแก่ใจ ให้สมกับที่ทำลายงานแต่งที่ทุกคนอุตส่าห์ตั้งใจสร้างขึ้นมา ไม่ได้จัดการพี่ เขาก็จะจัดการกับน้องแทน เอาให้พ่อแม่เจ็บปวดไปตามๆ กัน เขาคิดอย่างเคียดแค้น
“พี่จะทำให้พ่อแม่เธอ และตัวเธอเจ็บปวด เหมือนกับที่เธอทำกับพี่ เจิด และคนที่มารับกรรมนั้นคือน้องเธอ น้องเธอเจ็บ ทุกคนก็คงเจ็บ” เขาบอกอย่างแค้นใจ พลางกัดฟันแน่น และเขาจะไม่อภัยให้ใครสักคน
ต่อมาเมื่องานแต่งงานมาถึง พิธีที่ทุกคนอยากให้เกิดขึ้นด้วยความชื่นชมยินดี แต่มาวันนี้ วันที่ทุกอย่างเป็นเพียงฉากหน้า และการสวมรอยเพื่อทำให้พิธีมันจบๆ ไป และคนที่กู้หน้าความอับอายที่จะเกิดขึ้นคือเจิดจ้า ฝาแฝดผู้น้อง หญิงสาวนั่งแต่งหน้าแต่งตัวด้วยท่าทางหมดอาลัย ไร้อารมณ์ ดวงตาแดงก่ำ ทว่าไม่มีน้ำตาแม้แต่หยดเดียว เธอพยายามกล้ำกลืนความรู้สึกเอาไว้ภายในหัวใจทั้งหมด มันก็แค่งานเอาหน้าผู้ใหญ่หรอกน่า เธอปลอบใจตัวเอง พลางกระพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่น้ำตาที่มันกำลังจะไหล เพราะไม่อยากให้ช่างแต่งหน้าทำผมสงสัย
เวลาผ่านไปเกือบสองชั่วโมงกับการแต่งตัวเจ้าสาวให้ออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด ในชุดพิธีหมั้นตอนเช้ากับชุดไทยจักรพรรดิสีฟ้าอ่อน หรือห่มสไบเฉียง เปิดไหล่ด้านขวา เครื่องหน้าแต่งแบบอ่อนหวานโทนสีชมพู ผมดำสลวยแหวกครึ่งกลางศีรษะแล้วมัดรวบไปไว้ตรงท้ายทอยปล่อยเป็นหางม้า พร้อมปิ่นปักผมสีเงินปักเอาไว้ เครื่องประดับทั้งหมดเป็นสีเงิน รับกับสีชุดอย่างงดงาม ร่างบางอรชรอ้อนแอ้นเข้ากับชุดขนาดพอดีกับพี่สาว ราวกับวัดขนาดตัวด้วยตัวเอง ช่างกำลังบรรจงแต่งตัวให้อย่างประณีต เก็บรายละเอียดเล็กน้อย
แต่คนที่นั่งเป็นเจ้าสาวสวมรอยได้แต่นั่งหลังขดหลังแข็ง จนกระทั่งได้ยืนก็ประหนึ่งหุ่นก็ไม่ปาน สีหน้าของเธอไร้อารมณ์โดยสิ้นเชิง ตามด้วยเสียงถอนหายใจเป็นบางช่วง ช่างแต่งหน้าทำผมก็คงเข้าใจแต่เพียงว่าเจิดจ้าอ่อนล้า เพลีย ง่วงนอนก็เท่านั้น เพราะตื่นตอนตีสาม เพื่อทำทุกอย่างให้เสร็จก่อนหกโมงเช้า ใครไม่ง่วงก็แปลก
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ที่บ้านไร่ชา สิงหราชไม่ได้รอให้ใครมาปลุกเสียให้ยาก เพราะเขานอนไม่หลับตลอดทั้งคืน ไม่ว่าจะเครียดหรือจิตตกก็แล้วแต่ มาตอนนี้เขานั่งตรงโซฟาสวมชุดไทยราชปะแตน แต่งหน้าทำผมเรียบร้อย พร้อมกับไล่ตะเพิดช่างทั้งหมดออกไปก่อนเวลาด้วยซ้ำ จากนั้นเขาก็นั่งหน้าเคร่ง สายตามองออกไปยังไร่ชาที่เริ่มมีแสงสว่างตอนตีห้า เพราะฤดูหนาวจะเช้าเร็วกว่าปกติ แต่ยิ่งมองสิ่งรอบกายก็ยิ่งหมองเศร้า อยากจะหนีงานให้รู้แล้วรู้รอด หากไม่ติดว่าศักดิ์ศรีและบารมีของตัวเองมันค้ำคออยู่ ไม่อยากจะเสื่อมเสียชื่อเสียงในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง
“พร้อมหรือยังลูก พร้อมแล้วก็เดินทางไหม กว่าจะไปถึงบ้านท่าน รองฯ” เสียงของมารดาดังขึ้น พร้อมมืออันอ่อนโยนลูบที่ไหล่กว้างของเขาเบาๆ
“ครับ ให้เด็กๆ เอาชุดงานเลี้ยงไปด้วยนะครับ เดี๋ยวลืม”
“แม่ให้คนจัดการให้หมดแล้ว ห่วงก็แต่ลูก ว่าจะโอเคหรือเปล่า”
“ผมไม่โอเคตั้งแต่วันนั้นแล้วครับ ที่ทำอยู่ตอนนี้ก็แค่รักษาหน้าตัวเอง หน้าใหญ่ หน้าบางเกินกว่าจะรับความล้มเหลวได้” เขาว่าให้ตัวเอง แต่ก็กระทบพ่อแม่ด้วยนั่นแหละ
“เอาล่ะได้เวลาแล้ว เราเดินทางกันดีกว่า เผื่อเวลาเอาไว้จะได้ไปถึงพิธีหมั้น ส่วนเตียงนอนแม่ก็จัดเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว” หมายถึงเตียงนอนส่งตัวสินะ เขาคิด พลางถอนหายใจอีกแล้ว
“ครับ” เขารับคำก่อนจะลุกโดยไม่มองหน้าใคร แล้วเดินตรงออกไปจากบ้านทันที โดยมีคนขับรถรออยู่ก่อนแล้ว แต่สิงหราชเดินทางไปรถคนละคันกับบิดามารดา เพื่อว่าขากลับจะได้รับเจ้าสาวขึ้นรถมาด้วย และแน่นอนว่ารถของเขาค่อนสมหน้าสมตาและสมฐานะเจ้าสาว ไม่น้อยหน้าใคร แม้ว่าเธอจะไม่สนใจในสิ่งนี้ก็ตาม
“สิง ไปถึงที่นั่น ช่วยปั้นหน้าให้พ่อกับแม่หน่อยนะ ได้ไหม” บิดาเดินมาถามพลางเอามือตบไหล่เบาๆ
“ผมรู้ว่าต้องทำอะไร แต่ก่อนไปถึงที่นั่น ผมอยากเป็นตัวเองก่อน”
“งั้นก็ตามใจลูก” สิ้นคำของบิดา สิงหราชก็เดินขึ้นรถตัวเอง โดยมีคนขับรถให้เป็นอย่างดี และแน่นอนรถส่วนตัวสุดหรูใช้สำหรับส่งตัวเจ้าสาว ย่อมมีความเป็นส่วนตัว คือมีหน้าต่างคั่นระหว่างคนขับรถกับห้องโดยสาร สิงหาราชจึงได้นั่งไปแบบเงียบๆ เพียงลำพังโดยไม่ต้องคุยกับใคร พร้อมทั้งมีเสียงเพลงบรรเลงคลอเบาๆ ราวกับนั่งอยู่ในโรงแรมก็ไม่ปาน เขาพยายามปรับอารมณ์ให้นิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ โกรธให้น้อยลง เพื่อให้งานที่จะเริ่มได้ผ่านพ้นไปด้วยดี
แต่อีกนัยหนึ่งเขากลับคิดถึงเจิดจรัส ผู้หญิงที่เขาคิดเสมอมาว่า สุภาพเรียบร้อย จนผู้ใหญ่เล็งเห็นแล้วว่าเหมาะกับเขามากที่สุด ไม่คิดว่าสุดท้ายแล้วจะใจแตก เหลวแหลก ทิ้งงานแต่งงานไปแบบนี้ ให้ตายสิ คิดแล้วก็แค้นในหัวใจ เขารักเธอแหละ แต่ไม่ได้รักจนต้องยกให้ความรักมาอยู่เหนือทุกอย่างในชีวิต นี่คือผลแห่งการแบ่งใจมารักตัวเอง คือเจ็บน้อยลง มีแต่ความเกลียดมาก
“เฮ้อ ให้ตายสิ บังคับตัวเองไม่ให้โกรธได้ยังไงวะ ต่อหน้าคนเยอะแยะขนาดนั้น” สิงหราชบอกกับตัวเองอย่างครุ่นคิด และเครียด พลางมองออกไปนอกรถ ซึ่งเวลานี้เริ่มมีแสงสว่างเข้ามาแทนที่ความมืด การเดินทางจากไร่ชาจนถึงตัวเมืองใช้เวลาอย่างเร็วคือหนึ่งชั่วโมงก็ถึง ถือว่าไม่ช้าไม่เร็วจนเกินไป พิธีแต่งงานในเวลาเช้าคือหมั้นแบบไทยๆ ไม่ได้อิงแบบชาวเหนือแต่อย่างใด เจ็ดโมงเช้าตามเวลาเป๊ะๆ