บทที่ 17 วาจาหว่านล้อม

1711 Words
"เจอกันหนแรกเรียกบังเอิญ เจอหนที่สองเรียกว่าอะไร? " คำถามที่ค้างคาใจเซียงฉินตั้งแต่ตอนนั่งรถม้าเดินทางกลับมาจากหมู่บ้านเสียนอัน คำถามนั้นเหมือนอุ้งเท้าแมวที่ข่วนตะกุยหัวใจจนคันยุบยิบ อยากจะถามแต่ก็ชั่งใจ อยากจะเอ่ยออกไป แต่ก็ทำได้แค่นั่งกัดริมฝีปาก กุมมืออย่างเงียบ ๆ ไปตลอดทาง จิงชิงกลอกตาครุ่นคิดครู่หนึ่ง ด้วยอายุยังน้อยและประสบการณ์แทบจะเป็นศูนย์ นางจึงคิดตอบออกไปอย่างไร้เดียงสา "เรียกว่า…พรหมลิขิตกระมังเจ้าคะ" พรหมลิขิตอย่างนั้นหรือ? เซียงฉินหน้าแดงเรื่อ มีท่าทีอึกอักเล็กน้อย "ขะ ข้าคิดว่าเป็นเพราะความบังเอิญอีกนั่นแหละ" “ก็อาจจะใช่นะเจ้าคะ” จิงชิงผงกศีรษะคล้อยตาม ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาถามด้วยความสงสัย "ว่าแต่…เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะคุณหนู เจอหนแรกหนสอง เจอผู้ใดหรือเจ้าคะ? " เมื่ออีกฝ่ายเปิดประเด็น เซียงฉินก็ถือโอกาสเล่า "จิงชิง เจ้าจำเหตุการณ์ที่ข้าติดอยู่ในอารามร้างได้หรือไม่? " จิงชิงพยักหน้ารัว ๆ “จำได้เจ้าค่ะ” "บุรุษที่เป็นผู้พิทักษ์เข้ามาช่วยข้าในวันนั้น เป็นคนเดียวกันกับบุรุษที่ข้าเจอโดยบังเอิญที่หมู่บ้านเสียนอันเมื่อคืนวานนี้" ดวงตาของจิงชิงพลันสว่างจ้า เอ่ยถามอย่างกระตือรือร้น “จริงหรือเจ้าคะ?” เซียงฉินปรายตามองบ่าวใช้ ยืนกรานเสียงหนักแน่นว่า "ใช่! ข้าเจอเขาที่ลานพระโพธิสัตว์ อารามประจำหมู่บ้าน" จิงชิงที่ฟังอย่างตั้งใจ โพล่งเสริมขึ้นมาทันใด "ยามนั้นคุณหนูกำลังไหว้พระขอพรอยู่" "ถูกแล้ว!" เซียงฉินชี้นิ้วไปที่บ่าวสาว ก่อนจะเล่าต่อ "ข้ากำลังไหว้พระขอพร ลืมตาขึ้นมาก็เห็นเขานั่งหลับตาอยู่ข้าง ๆ จึงได้รู้ภายหลังว่าชายผู้นั้นมีนามว่าอาเซี่ย" จิงชิงขบคิดครู่ใหญ่ ก่อนตอบ "แต่ก็เป็นได้ไม่ยากนะเจ้าคะ เพียงแต่…การพบเจอของคุณหนูกับชายแปลกหน้าผู้นั้น ออกจะดูแปลกประหลาดไปเสียหน่อย หรือว่าคุณหนูจะมีญาณวิเศษ สามารถติดต่อสื่อสารกับสิ่งเร้นลับได้" เซียงฉินคิดเช่นเดียวกันกับนาง เจอที่อารามสองครั้ง หากมิใช่มนุษย์ก็คงจะเป็นภูตผีหรือไม่ก็เทพเซียนตนหนึ่ง แสงอาทิตย์เจิดจ้าสาดส่องเข้ามาในตัวเรือน สายลมโชยเอื่อยพัดม่านโปร่งสีขาวนวลพริ้วไหว ดอกท้อสีชมพูอ่อนในแจกันลายครามหรูเหย่า ยามเมื่อถูกทาบทับด้วยประกายแสงตะวัน ดูสวยสดงดงามและชวนให้น่าหลงใหล เซียงฉินเอนกายบนเก้าอี้ตั่งสูง จับพัดกลมโบกไปมาเบา ๆ กล่าวอย่างไม่แยแส "ช่างเถิด…จากนี้คงไม่เจอกันอีกแล้ว" ยามเว่ยที่ สำนักศึกษา เซียงฉินเรียนรู้ศิลปะชงชาอยู่ในห้องเรียนเพียงลำพัง "เอาล่ะ!" โพล่งออกมาได้คำหนึ่ง เซียงฉินก็ผ่อนลมหายใจลากยาว รวบรวมสมาธิไปที่ถ้วยชาใบเดียวในมือ ด้วยท่าทางจริงจังเหล่านั้น กล้ามเนื้อของนางจึงหดเกร็งไปทั้งร่าง มือไม้สั่น สีหน้าวิตกกังวลอย่างยิ่ง น้ำใสสะอาดสายหนึ่งไหลจากรูกา รินลงในถ้วยชาจนเกือบปริ่ม ทว่าน้ำนั้นร้อนเกินไป หยาดน้ำกระเซ็นโดนหลังมือ ทั้งยังกระฉอกออกมาบางส่วน นางชักมือหดกลับกะทันหัน ตามด้วยเสียงกระแทกหนัก ๆ ถ้วยชาร่วงตกลงพื้น หมุนกลิ้งหลายตลบ ก่อนจะไปหยุดที่หน้าประตู "คุณหนูสามสกุลหลัว ฝีมือตกเสียแล้วหรือ? " หานซวี่ที่แอบยืนมองอยู่เนิ่นนาน ก้มตัวเก็บถ้วยชานั้น ส่งยื่นให้นางพลางแย้มยิ้ม เซียงฉินดึงถ้วยชาออกจากมือของหานซวี่ เดินปั้นปึ่งกลับไปนั่งที่โต๊ะชงชาดังเดิม "ไม่ว่าศิลปะด้านใด หากไม่ฝึกฝนก็ย่อมลืมเลือนเป็นธรรมดา" ด้วยกลัวจะเสียหน้า นางจึงเอ่ยออกไปอย่างนั้น ทั้ง ๆ ที่ความจริง…ความรู้ของนางแสนจะกลวงโบ๋ ศิลปะชงชานะหรือ? มิใช่เพียงลืมเลือน เรียกว่าไม่มีความรู้ด้านนี้เลยเสียมากกว่า! หานซวี่อดมิได้กระดกมุมปากยิ้ม เซียงฉินยื่นถ้วยชาที่เพิ่งรินใหม่ ๆ ให้เขา ขยิบตาซุกซนถาม "ฝีมือตกหรือไม่ คงต้องพึ่งพี่หานพิสูจน์แล้ว" หานซวี่ก้มศีรษะจ้องมองน้ำชาสีค่อนข้างจืด คิ้วงามสง่าขมวดพันกัน อีกนิดเดียวน้ำชาก็จะกลายเป็นสีเดียวกับน้ำเปล่าแล้ว เซียงฉินเหลือบตามองสีหน้าฝืดฝืนของหานซวี่ เขม่นตาถาม "พี่หาน…ท่านลำบากใจขนาดนั้นเชียวหรือ? " หานซวี่โพล่งตอบทันทีว่า "ไม่!" ก่อนจะใช้มือยกถ้วยชากระดกดื่มอย่างรวดเร็ว เซียงฉินคลายสีหน้าลง มุมปากระบายยิ้ม หลังจากที่หานซวี่ดื่มหมดไปหนึ่งถ้วย นางก็รินเพิ่มอีกจนเต็มถ้วย หานซวี่เบิกตาโพลง เอ่ยเสียงตะกุกตะกักว่า "ขะ ข้าอิ่มแล้ว" ทว่าพอเห็นอีกฝ่ายยื่นปากทำหน้าบูดบึ้ง กลัวว่านางจะน้อยใจ เขาจึงสูดลมหายใจลึก วาดมือตวัดถ้วยชาขึ้นมายกดื่มจนหมดเกลี้ยง ไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว "พี่หานเห็นหรือไม่ ข้ามีพรสวรรค์ด้านชงชามากเพียงใด" เซียงฉินยกมือเท้าคางบนโต๊ะเตี้ย จ้องมองคนตรงหน้าที่กำลังยกแขนเสื้อเช็ดมุมปาก ดวงตาเป็นประกาย "ใช่ เจ้ามีพรสวรรค์มาก" หานซวี่ยิ้มกระอักกระอ่วน ก่อนจะย้อนถามด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ "เหตุใดเจ้าไม่ลองชิมชาที่ตัวเองชงบ้างเล่า? " เซียงฉินพยักหน้ารับคำท้าทันที มือเรียวสวยปัดถ้วยชาเลื่อนมาตรงหน้า จากนั้นจึงสะบัดชายเสื้อคลุมยาว ใช้สองมือประคองถ้วยชาขึ้นมายกดื่มอย่างว่องไว ทันทีที่น้ำชาไหลผ่านลงคอ ใบหน้าของเซียงฉินก็พลันถอดสี พะอืดพะอมอย่างยิ่งยวด ในที่สุดก็พ่นน้ำชาออกมา! "ฮ่า ๆ ๆ " หานซวี่ตบโต๊ะหัวเราะอย่างคนสะใจ ทั้งยังเอ่ยเย้าไม่หยุด "ไยเจ้าถึงพ่นน้ำชาเลิศรสออกมาเช่นนั้น น่าเสียดายออก เจ้าว่าหรือไม่" เซียงฉินคลี่ยิ้มฝืดเฝื่อน ก้มหน้าใช้มือปัดละอองน้ำชาออกจากชุดกระโปรง พร่ำบ่นในใจ เลิศรสที่ไหนกันเล่า รสชาตินี่มันแย่ยิ่งกว่าน้ำล้างเท้าเสียอีก! ทันใดนั้นเอง หานซวี่คว้าผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ ซับไปที่ริมฝีปากแดงชุ่มชื้นอย่างอ่อนโยน เซียงฉินรู้สึกตัว พลันหันขวับมอง ทั้งสองจึงสบประสานสายตากันอย่างไม่ตั้งใจ "เปื้อนหน้าเจ้าแล้ว" เขาเอ่ยเสียงนุ่มนวล ก่อนจะถอนมือกลับ เซียงฉินจับผ้าเช็ดหน้าผืนนุ่มนิ่มต่อจากมือเขา นัยน์ตาสีดำแวววาวเลื่อนมองตามราวกับถูกสะกดไว้ หานซวี่ส่งเสียงกระแอมไอกลบเกลื่อนบรรยากาศอันน่าประดักประเดิดนี้ ก่อนจะเอ่ยประโยคหนึ่ง "จริง ๆ แล้ววันนี้ ข้ามีเรื่องจะรบกวนเจ้า" ขนตางอนยาวของเซียงฉินกระพือขึ้นลงเชื่องช้า เหมือนกับปีกผีเสื้อที่กำลังโบยบินงามสง่า เอ่ยถาม “พี่หานมีเรื่องอันใดหรือ?” หานซวี่หันมาเอ่ยกับนางด้วยสีหน้าจริงจัง “ฟางฉี…ข้าอยากให้เจ้าเป็นแม่สื่อให้ข้า” แม่สื่อ? เซียงฉินรู้สึกคล้ายดั่งวิญญาณหลุดลอยออกจากร่าง รู้สึกเจ็บแปลบวาบขึ้นมาในใจแปลกประหลาด หานซวี่กล่าวต่อไป "เจ้าจำได้หรือไม่ ตอนนั้นที่โรงน้ำชา ข้าเคยเล่าให้เจ้าฟังว่า ข้ากำลังตกหลุมรักสตรีนางหนึ่งอยู่ นางคือคังฝูเหนียง ยามนี้นางกำลังป่วยไข้ เป็นโอกาสดีที่ข้าจะเข้าหานาง” เซียงฉินดึงสติกลับมาจากอาการใจลอย บังเกิดความสงสัย จึงลองถาม “เหตุใดพี่หานถึงไม่เข้าหานางเสียเองเล่า?” “กะ ก็ข้าเป็นบุรุษ เจ้าเป็นสตรี สตรีกับสตรีย่อมพูดคุยกันรู้เรื่องกว่าสตรีกับบุรุษมิใช่หรือ? " หานซวี่ส่งสายตาเว้าวอนเปล่งประกาย แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายไม่มีท่าทีจะคล้อยตาม เขาจึงหลุบตาเศร้าสร้อย เอ่ยตามความจริง "หากกล่าวตามตรง คือข้า…ไม่มีความกล้าหาญพอ” เซียงฉินกะพริบตามองพลางนึกคิด เป็นครั้งแรกที่นางเห็นหานซวี่มีท่าทางประหม่าจนเสียอาการ แม่นางคังคือผู้ใด นิสัยใจคออย่างไร ย่อมไม่รู้ แน่นอนว่านางคือสตรีในดวงใจของพี่หาน หากกล่าวปฏิเสธ เขาคงจะเสียใจไม่น้อย “พี่หานจะให้ข้าทำอย่างไรบ้าง ขอจงบอกมา” หานซวี่แย้มยิ้มดีใจ กล่าวว่า “เจ้าแค่ไปเยี่ยมเยียนนาง นำยารักษาและของฝากไปให้ แล้วก็…พยายามพูดถึงข้า” แม้ขณะพูดถึงแผนการ เขาก็ยังยิ้มไม่หุบ “ให้ข้าเข้าไปที่จวนสกุลคัง?” นางย้อนถาม ไม่ค่อยเห็นด้วยกับวิธีนี้เท่าใดนัก หานซวี่พยักหน้าหงึกหงักพลางตอบ “เป็นดังเช่นเจ้าว่า” “มันจะดีหรือพี่หาน ข้าว่า…” ยังไม่ทันพูดต่อ เขาก็เอ่ยแทรกขึ้นมา “จะมีอะไรดีไปกว่านี้…ฉีฉี ช่วยข้าเถิดนะ เจ้าน่ะ คือคนแรกที่ข้านึกถึงเสมอ” คนแรกที่นึกถึงอย่างนั้นสินะ เซียงฉินลอบพรูลมหายใจออกมาเบา ๆ สุดท้ายนางก็ต้องมาพ่ายแพ้ให้กับถ้อยคำหว่านล้อมเช่นนี้ “ก็ได้…ข้าจะช่วยท่าน” “ฉีฉี…เจ้าช่างดีกับข้าเหลือเกิน” มือหนาข้างหนึ่งของหานซวี่เลื่อนไปเกาะกุมมือเล็กบางของเซียงฉินที่วางบนโต๊ะ นัยน์ตาทอประกายระยิบระยับขณะเอ่ย ครั้งนี้เซียงฉินไม่ดึงมือออก ทว่าใช้มืออีกข้างหนึ่งวางทาบทับมือใหญ่ของเขา อย่างน้อย ๆ ยามสุขและทุกข์ เขานึกถึงนางเป็นคนแรก ไม่ว่ารักครั้งนี้ของเขาจะเป็นเช่นไร บุรุษที่ดี…ย่อมสมควรได้รับความรักที่ดีเป็นการตอบแทน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD