จริงอยู่ที่เซียงฉินไม่เคยมาเยือนที่นี่ ทว่าหมู่บ้านเสียนอันไม่ได้กว้างขวางมาก เดินไปกี่ก้าวก็ทั่วทั้งหมู่บ้านแล้ว อารามรกร้างที่ท่านแม่เฒ่ากล่าวถึงจึงไม่เกินความสามารถของนาง
อารามขนาดเล็กรายล้อมด้วยกำแพงอิฐสีน้ำตาลอมแดง เถาวัลย์ที่ระโยงระยางมาจากต้นไม้สูงใหญ่คดเคี้ยวพันเกี่ยวทั่วกำแพงจนเกิดรอยร้าว สีแดงชาดที่เคยทาเอาไว้เพื่อรอบูรณะยามนี้ซีดเซียว เว้าแหว่งหลุดหายไปหลายส่วน
เซียงฉินย่างเท้าเข้าไปสำรวจด้านใน หน้าอารามว่าทรุดโทรมแล้ว ด้านในแทบดูไม่ต่างกันเลย มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่งดงามหมดจดและสูงสง่า คือ 'รูปปั้นพระโพธิสัตว์' ที่ตั้งเด่นตระหง่านอยู่กลางอารามป่าแห่งนี้
นางนั่งเก็บส้นเท้าตรงหน้าลาน จุดธูปและหลับตาอธิษฐานขอพรในใจอย่างเงียบ ๆ
ประการที่หนึ่ง ขอให้ข้ามีชีวิตที่สงบสุข ประการที่สองขอให้ ข้า…เอ่อ…ข้า…
นางสะดุดความคิดไปชั่วขณะ จู่ ๆ หัวสมองที่ว่างเปล่ากลายเป็นสีขาวโพลนก็พลันผุดคำพูดหนึ่งของหลี่หวนกลางโต๊ะอาหารงานเลี้ยงสังสรรค์ขึ้นมาอีกครั้ง
'คนยโสโอหังเช่นนั้น ชาตินี้ทั้งชาติก็คงไม่มีบุรุษใดแต่งงานด้วย'
ฮึ! น่าแค้นใจนัก กล้ามาดูถูกคุณหนูสามแห่งสกุลหลัวได้อย่างไร?
ประการที่สอง ขอให้ท่านเทพดลบันดาลบุรุษรูปงาม ขอให้ข้าได้แต่งงานกับบุรุษที่ดี ไม่จำเป็นต้องร่ำรวย ขอแค่รักข้าเพียงคนเดียวเท่านั้น ภายในเร็ววันนี้ ไม่สิ! ภายในวันนี้เลยก็ย่อมได้!
สิ้นสุดคำอธิษฐาน สายลมก็พลันพัดวูบกระทบใบหน้า เซียงฉินค่อย ๆ ลืมตา เรียวนิ้วและฝ่ามือขาวผุดผ่องราวกับหยกจับปอยผมสะบัดพลิ้วทัดหู จิตใจสงบลงในยามนั้น
ขณะกำลังจะลุกขึ้นยืน หางตาแหลมคมของนางก็พลันเหลือบไปเห็นชายผู้หนึ่งกำลังนั่งอยู่เคียงข้าง เขาค่อย ๆ ขยับเปลือกตาเปิดออก จากนั้นจึงปักธูปลงในกระถางเงิน มีท่าทางสงบเสงี่ยมและสำรวมยิ่ง
เซียงฉินขยี้ตาซ้ำ ๆ ชักไม่แน่ใจว่าเขามีตัวตนจริงหรือไม่ เหตุใดถึงไม่รู้สึกอันใดเลย
หรือว่า…ท่านเทพจะศักดิ์สิทธิ์จริง ประทานสามีให้ข้ารวดเร็วทันใจปานนี้!
แนวคางโค้งงดงามของเขาดึงดูดสายตานาง ปลายโด่งจมูกคมสัน คิ้วดกดำนั่นก็ด้วย เซียงฉินจ้องเขาอย่างละโมบไม่กะพริบตา จนชั่วขณะหนึ่ง ใบหน้าสมบูรณ์แบบหันมองมา…
แล้วก็เป็นเขา
ชายนิรนามผู้นั้น!
"นี่ท่าน!"
"แม่นาง!"
ดวงตาของเซียงฉินเบิกกว้างตกใจ ชายหนุ่มก็มีสีหน้าตื่นตระหนกไม่แพ้กัน
วาจาสิ้นสุดเพียงเท่านั้น หลงเหลือเพียงไอหมอกเบาบางลอยอวลและเสียงสายลมที่พัดผ่านห้วงเวลาอันเงียบงันหน้าลานพระโพธิสัตว์
กระทั่งเซียงฉินเลียบเคียงถาม "ท่านมาทำอะไรที่นี่"
ใบหน้าราบเรียบของชายหนุ่มผลิรอยยิ้มจาง ๆ อย่างอ่อนโยน "ข้าอาศัยอยู่ที่นี่"
นัยน์ตาสีดำของเซียงฉินทอประกายระยิบระยับ แสดงถึงความคาดไม่ถึงและตื่นเต้นเหลือประมาณ "ไม่พบกันนาน ท่านสบายดีหรือไม่? "
ชายหนุ่มผงกศีรษะเบา ๆ พลางตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย "ข้าสบายดี แล้วแม่นางเล่า? "
"ข้าก็สบายดี บังเอิญจริง ๆ เลยนะ"
เป็นการสนทนาน่าประทับใจ อย่างน้อยก็ดีกว่าถามคำตอบคำดังเช่นครั้งก่อน ทว่าพูดคุยกันไม่กี่ประโยค หญิงชรานางหนึ่งก็ตะโกนร้องเรียกเสียงดัง หาคนมาช่วยถือกระบุงผักกาด เขาอาสาออกไป เราจึงแยกจากกันตรงหน้าประตูใหญ่ของอาราม
หลังจากก้าวขาพ้นประตูไม่กี่ก้าว เสียงทุ้มเข้มหนึ่งก็ลอยตามหลังมา…
"ข้ามีนามว่า 'อาเซี่ย' เผื่อว่าแม่นางใคร่รู้"
เซียงฉินชะงักฝีเท้าหนึ่งจังหวะ ก่อนจะย่างเท้าต่อไป ถึงแม้จะได้ยินเสียงเขาเลือนราง ไม่ชัดเจนเท่าใดนัก แต่ห้วงสมองก็จดจำชื่อของเขาไปเรียบร้อยแล้ว
ท่ามกลางม่านหมอกราตรีที่เหมือนน้ำหมึกปกคลุมลงมา ดวงจันทร์กระจ่างอวดโฉมเพียงครึ่งเดียวเหมือนคนขี้อาย ขมุกขมัวเลือนรางเห็นได้ไม่ชัดเจนนัก
ยามนี้หมู่บ้านเสียนอันครึกครื้น หลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จสิ้นแล้ว ทุกคนในหมู่บ้านก็ออกมายืนห้อมล้อมพร้อมเพรียง ประสานเสียงร้องประกอบกับปรบมือเข้าจังหวะ มองไปทางไหนล้วนมีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ หนุ่มสาวจับคู่กันออกมาเต้นระบำหน้ากองไฟ แม่เฒ่าหลางที่นั่งยิ้มหยีอยู่บนตอไม้ก็ถูกลากตัวเข้ามาร่วมวงด้วย
หานซวี่มองหาเซียงฉิน ทว่าพบแต่ความว่างเปล่า เขาหลบออกมาจากงานเลี้ยง ถืออาหารจานหนึ่งมาด้วย
เซียงฉินนั่งเงียบเชียบใต้ร่มไม้ แหงนหน้าเหม่อมองท้องฟ้าคล้ายดั่งครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ไม่รู้ตัวว่าเขาย่องเบาเข้ามานั่งเคียงไหล่สักพักหนึ่งแล้ว
"งานเลี้ยงไม่สนุกหรือ ถึงได้มานั่งลำพังอยู่ที่นี่"
สุ้มเสียงทุ้มนุ่มของเขาดึงเซียงฉินออกมาจากภวังค์ ใบหน้าสะคราญโฉมตื่นตระหนกเล็กน้อย เอ่ยตอบ "ใช่ที่ไหนกันเล่า สนุกมากต่างหาก"
พอฟังคำตอบ คิ้วดำของหานซวี่ก็พลันขมวดมุ่น "หากสนุกจริง เจ้าจะปลีกตัวออกมาทำไมกัน? "
"ข้าออกมานั่งดูดาว พี่หานว่าดวงดาวบนท้องฟ้ายามนี้งดงามหรือไม่" เซียงฉินเอ่ยพลางชี้นิ้วไปบนเวิ้งฟ้าอันกว้างไกล คลี่ยิ้มให้กับดวงดาวพร่างพราวเหล่านั้น
เขาเห็นด้วยกับนาง แสงจันทร์พราวระยับส่องแสงลงมากระทบใบหน้างามของเซียงฉิน ขับเน้นให้นางดูงดงามอ่อนหวานและเปล่งประกายขึ้นมาหลายส่วน ดวงหน้าเกลี้ยงเกลาไร้มลทิน นัยน์ตากลมโตใสกระจ่างชุ่มชื้นเหมือนมีประกายน้ำ เขาไม่อาจละสายตาจากนางได้เลยแม้แต่น้อย
"พี่หาน เป็นอะไรไป"
หานซวี่จ้องมองนางด้วยแววตาอ่อนหวานลึกซึ้ง ใบหน้าของเซียงฉินแดงซ่าน รู้สึกหายใจไม่ออกเล็กน้อย อดมิได้ต้องหันไปด้านข้าง หลบเลี่ยงสายตาละโมบเหล่านั้น
ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับนางคืออะไร นางย่อมรู้
ทว่าการกระทำของเขาไม่ชัดเจน
บางครั้งนางก็ไม่เข้าใจตัวเอง เหตุใดอยู่ใกล้กับชายผู้นี้ถึงได้ใจสั่น เริ่มสับสนว่านี่คือความรู้สึกที่แท้จริงของนางหรือว่าเป็นความรู้สึกที่หลงเหลือจากหลัวฟางฉีกันแน่
ปลายนิ้วหยาบแหวกเรือนผมสีดำเงางาม ก่อนจะไล้มาหยุดตรงปลายคาง จากนั้นจึงค่อย ๆ เชยขึ้นอย่างอ่อนโยน
เซียงฉินหลับตาพริ้มโดยสัญชาตญาณ เขาโน้มหน้าลงมาหวังจะจุมพิตที่ริมฝีปากเล็กบาง
ทว่าจู่ ๆ กิ่งไม้ที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุก็พลันร่วงตกใส่ศีรษะ ช่วงเวลาตื่นเต้นประทับใจเมื่อครู่ละลายหายไปในความมืดมิดยามราตรีทันที
"โอ๊ย!"
หานซวี่ร้องโอดครวญออกมา เราทั้งสองหันขวับมองรอบด้าน แต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีผู้ใดอยู่แถวนี้
ด้วยความประดักประเดิดกับเหตุการณ์เมื่อครู่ เซียงฉินจึงถามเรื่อยเปื่อย "ในจานนั่นมีอะไร ขอข้ากินได้หรือไม่? "
เขายื่นจานให้นางอย่างไม่ลังเลใจ โค้งมุมปากยิ้ม "เนื้อกวางย่าง ข้าแบ่งมาให้เจ้า" เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อ "ข้าได้ยินท่านแม่เฒ่ากล่าวว่าคืนนี้จะมีการจัดแสดงตลกล้อเลียน เรากลับเข้าไปดูกันเถิด"
เซียงฉินส่งเสียงอื้ม มุมปากประดับยิ้ม
ที่ลานกว้างการแสดงเริ่มต้นขึ้นแล้ว…
หานซวี่พาเซียงฉินไปนั่งตำแหน่งที่ว่างช่วงกลางของลาน ที่นั่งตรงนี้เหมาะเจาะ มองเห็นนักแสดงได้ชัดเจนเต็มสองตา นับว่าเขาตาแหลมคมไม่น้อย
ดนตรีเริ่มบรรเลง นักแสดงตลกล้อเลียนทยอยกันออกมายืนหน้าลาน บ้างก็สวมหน้ากาก บ้างก็ถือถาดถือจานโบกสะบัดไปมา
เสียงโห่ร้องต้อนรับดังขึ้น ประกอบกับเสียงปรบมือดังสนั่นเลื่อนลั่นไปทั่วหมู่บ้าน
นักแสดงนำชายวิ่งออกมากระโดดโลดเต้นและเกี้ยวพาราสี นักแสดงนำหญิงร่ายรำอ่อนช้อย ร้องงิ้วเสียงใสกังวาน
โดยปกติแล้วพวกเขามักจะล้อเลียนฮ่องเต้ ฮองเฮาหรือไม่ก็เหล่าบรรดานางสนมที่เปรียบดั่งบุปผางามในวังหลวง แต่นักแสดงคณะนี้มิใช่…
เซียงฉินขมวดคิ้วมุ่นเบา ๆ พลางนึกคิดตามราวกับกำลังไขคดีปริศนา นักแสดงนำชายผู้นี้มิได้สวมใส่ชุุดหรูหรากรุยกราย อีกทั้งยังไม่มีมงกุฎจักรพรรดิที่สูงเด่น แต่กลับสวมชุดที่ดูแล้วไม่น่าใช่ชาวบ้านหรือคุณชายสูงศักดิ์ทั่วไป ดูเหมือนองค์ชายผู้หนึ่ง
ชายผู้นี้กำลังล้อเลียนท่านอ๋ององค์ใดกันแน่ ?
หานซวี่ที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาดูการแสดงอย่างใจจดจ่อ ชำเลืองเห็นใบหน้ากลัดกลุ้มจริงจังของเซียงฉิน พลันโน้มหน้ากระซิบข้างริมหูนางเหมือนดั่งล่วงรู้ความคิด "ข้าว่าต้องเป็นอ๋ององค์ใดสักคนในวัง"
เซียงฉินเบิกตาโต หันมาถาม "พี่หานว่าเป็นอ๋ององค์ใด ที่สำนักศึกษาแปะรูปของอ๋องสามพระองค์ไว้ อ๋องสาม อ๋องเก้าและอ๋องสิบเอ็ด นอกนั้นข้าก็ไม่เคยพบหน้า ได้ยินเพียงสมญานามเท่านั้น"
หานซวี่เบ้ปากพลางยักไหล่ "เจ้าไม่รู้ ข้าจะรู้ได้อย่างไร"
เซียงฉินมีสีหน้าผิดหวังในคำตอบเล็กน้อย "โธ่…ข้านึกว่าพี่หานจะรู้เสียอีก"
เสียงกลองค่อย ๆ แผ่วเบาลง หญิงสาวร่างเล็กที่ถือกระจาดสานสองสามนางวิ่งวนไปมารอบ ๆ รับอิฐเบี้ยจากบรรดาชาวบ้าน ก่อนจะกลับเข้ามายืนทำความเคารพกับทุกคน การแสดงถือเป็นการสิ้นสุดลงแล้ว
“หมู่บ้านเสียนอันเปี่ยมไปด้วยความสุขมายาวนาน อย่าปล่อยให้ผู้ใดเข้ามาทำลายหมู่บ้านของเรา"
เสียงโห่ร้องดังขึ้นอีกครั้ง พูดจบ นักแสดงนำชายก็พลันสะบัดหน้ากากออก เผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาที่ซ่อนเร้นอยู่ในนั้น เขาจ้องมองมาที่เซียงฉิน ระบายยิ้มที่มุมปาก คนในหมู่บ้านต่างพากันปรบมือส่งเสียงเฮลั่น ชื่นชมการแสดงสุดแสนประทับใจ ทว่าเซียงฉินกลับมือแข็งทื่อ อุทานออกมาเบา ๆ อย่างไม่รู้ตัว…
"อาเซี่ย!"