วันนี้เซียงฉินตื่นเช้าเป็นพิเศษ หลังจากล้างหน้าบ้วนปากแล้ว นางก็ออกมาเดินรับลมและแสงแดดที่สวนพฤกษากลางจวนสกุลหลัว
ท้องฟ้าสีครามกระจ่างสดใสราวกับสายน้ำในฤดูใบไม้ร่วงที่ทอดตัวยาวอย่างไร้ขอบเขต นกน้อยบินเริงร่าท่ามกลางหมู่เมฆสีขาวอันอ่อนนุ่ม
ไม่รู้อะไรดลใจให้นางเดินไปเรื่อย ๆ และหยุดข้างต้นท้อตรงมุมหนึ่งของเรือนหลัก เอื้อมมือเล็กเด็ดดอกท้อขึ้นมา ก่อนจะโน้มหน้าหลับตาสูดดมกลิ่นหอมของดอกไม้
"เจ้าชอบดอกท้อตั้งแต่เมื่อใด"
สุ้มเสียงเข้มหนึ่งดังแทรกเข้ามาในห้วงภวังค์ เซียงฉินสะดุ้งโหยง ตื่นตกใจจนดอกท้อร่วงหลุดจากมือ
หานซวี่แอบปีนเข้ามาในจวนอีกแล้ว…
หลังจากหันมองที่ต้นเสียง นางก็เห็นร่างสูงกลิ้งตกลงมาจากจุดสูงสุดของกำแพง หญ้านิ่ม ๆ ที่ปูพื้นรองรับการกระแทกอยู่ด้านล่าง ทำให้เขาไม่ส่งเสียงร้องออกมาสักแอะ ทว่าเดินโซซัดโซเซเข้ามาหานาง คลี่ยิ้มเจิดจ้าแข่งกับดวงอาทิตย์ ไม่ได้มีความรู้สึกผิดฉายบนใบหน้าเลยแม้แต่น้อย
"พี่หานซวี่ เหตุใดถึงไม่เข้าจวนมาดี ๆ หากท่านพิการขึ้นมา ข้าจะทำอย่างไร ?" เซียงฉินมุ่นคิ้วถาม
"หากข้าพิการขึ้นมา เจ้าจะดูแลข้าตลอดชีวิตหรือไม่" เขาย้อนถามด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ จงใจเอ่ยเย้าให้นางจนมุมและไม่พร่ำบ่นอีก
แล้วก็เป็นผล เซียงฉินชะงักงันไป คำหวานเช่นนี้ หากสตรีใดได้ฟังก็ล้วนหัวใจโบยบินทั้งสิ้น
"ดูแลตัวเองไปเถิด พี่หานทำตัวเอง ไม่เห็นจะเกี่ยวอันใดกับข้า"
เซียงฉินบุ้ยปากพลางเดินหนี หานซวี่ก้าวขายาวตามหลังไปติด ๆ ก่อนจะรีบเร่งฝีเท้าเดินไปยืนข้างหน้า ขวางทางเดินของนาง
"พี่หานมีเรื่องอันใดกับข้ากันแน่ ?" นางเอ่ยถาม ดวงตาสีดำขลับจ้องมองเขาอย่างตรง ๆ
"อากาศดีเช่นนี้ ข้าอยากชวนเจ้าไปเที่ยวเล่นที่หมู่บ้านเสียนอัน"
"หมู่บ้านเสียนอัน ?" ขณะย้อนถามในหัวของเซียงฉินก็พลันผุดภาพสถานที่หนึ่งขึ้นมา หมู่บ้านเล็ก ๆ กลางหุบเขา ลำธารสะอาดใส ผู้คนสวมชุดพื้นเมืองกลุ่มหนึ่งเก็บเกี่ยวต้นผักกาดก้านขาว กลุ่มหนึ่งใช้ไม้ไผ่ตีข้าว บนเนินเขาหนุ่มสาวพูดคุยกันสนุกสนาน ชีวิตชนบทสงบเรียบง่าย ทว่ามีเสน่ห์มากล้น…ที่นั่นคือ หมู่บ้านเสียนอัน อย่างนั้นสินะ
"เจ้าไม่อยากไปหรือ ?" นัยน์ตาสีดำของหานซวี่เจือแววผิดหวังเล็กน้อย
"ปะ เปล่า" ยามถูกถามกะทันหัน เซียงฉินพลันส่ายศีรษะ เอ่ยปฏิเสธทันใด
หานซวี่กระดกมุมปากยิ้ม ดวงตาสีดำขลับทอแสงแวววาว เขาคิดเข้าข้างตนเองในใจ นางไม่ปฏิเสธ นั่นก็หมายความว่านางตอบตกลงไปด้วยกันกับเขา กว่าจะรู้ตัวว่าตกหลุมพราง เซียงฉินก็เอ่ยแย้งไม่ทันอีกแล้ว
บนถนนหนทางที่เงียบสงัด มีเพียงรถม้าโดยสารคันเก่าควบทะยานไปข้างหน้า
เซียงฉินใช้มือแหวกม่านลูกปัด ผินหน้ามองทิวทัศน์นอกรถม้า ทั้งสองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้เขียวชะอุ่ม เป็นสีเขียวทอดตัวยาวตลอดเส้นทาง มองออกไปได้ไม่นานก็ต้องดึงหน้ากลับเข้ามาหลบด้านในห้องรถม้า แสงแดดกลางวันร้อนแรงจนแสบตา เพียงยื่นมือออกไป คล้ายจะสัมผัสถึงไอร้อนที่ระเหยขึ้นมาจากพื้นได้
หานซวี่ยิ้มอย่างโง่งมไปตลอดทาง คล้ายดั่งเบิกบานใจอย่างยิ่งยวดที่นางหลงกลออกมาร่วมชะตากรรมด้วย เขาบอกให้นางปลอมตัวออกมา กำชับว่าอย่าทำตัวโดดเด่นเกินไป เซียงฉินเชื่อฟังตาใส นอกจากชุดผ้าป่านสีน้ำตาลธรรมดา ๆ ที่นางสวมใส่แล้ว เครื่องประทินโฉมยังลดลงเบาบาง ทาเพียงผงแป้งไข่มุกบำรุงผิวหน้าเล็กน้อยและแต้มชาดที่ริมฝีปากจาง ๆ แต่กระนั้นก็ไม่อาจลดความงามหมดจดบนใบหน้ากระจ่างเกลี้ยงเกลาของนางได้
รถม้าค่อย ๆ ชะลอตัวลง ทันทีที่ก้าวขาลงมาจากห้องรถม้า ภาพความทรงจำในหัวก็พลันกระจ่างชัดขึ้นราวกับหลุดออกมาจากภาพวาด
หมู่บ้านกลางหุบเขามีจริงและงดงามไม่น่าเชื่อ!
"ฉีเอ๋อร์ เจ้ามาแล้วหรือ ?"
สุ้มเสียงแหบพร่าเจือแววดีใจนั้นมาจากแม่เฒ่าหญิงชราที่กำลังกระทุ้งไม้เท้าเดินเข้ามาหา นางมีผมสีขาวโพลน สวมชุดคอกลมกระดุมผ่าหน้าสีน้ำตาลอ่อน โพกศีรษะด้วยผ้าปักหลากสี บนดวงหน้าที่มีฝ้ากระประปรายทอยิ้ม แย้มตาโค้งจนรอยพับย่นตรงหางตาเด่นชัด ดูท่าทางใจดีและเป็นมิตร
"แม่เฒ่าหลาง" เซียงฉินเอ่ยออกไปโดยสัญชาตญาณ ก่อนจะหันไปสบตากับหานซวี่ จากนั้นจึงเข้าไปช่วยประคับประคองผู้เฒ่าคนละข้าง
แม่เฒ่าหลางเดินด้วยย่างก้าวช้า ๆ สลับกับพูดคุยถามไถ่ตลอดทาง เซียงฉินรู้สึกเหมือนนางเป็นญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง ทั้งใจดีและโอบอ้อมอารีย์ ยามได้อยู่ใกล้ชิดจิตใจพลันสงบอย่างบอกไม่ถูก
"หายหน้าหายตาไปไหนมา ข้านึกห่วง ลุกขึ้นมานั่งสวดมนต์ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้คุ้มครองพวกเจ้าทุกวัน"
นางสบตากับหานซวี่ แน่นอนว่าคำถามนี้เขาต้องเป็นคนตอบ
หานซวี่ฉีกยิ้มกว้างพลางกล่าว "ท่านแม่เฒ่าอย่าได้ห่วง ข้ากับฉีฉีเข้าไปในเมืองหลวงเพื่อร่ำเรียนวิชา ล้วนนำความรู้มาพัฒนาหมู่บ้านเสียนอันของเราทั้งสิ้น"
แม่เฒ่าหลางปลาบปลื้มดีใจกับคำตอบนี้ยิ่ง กล่าวว่า"ดี" ยิ้มไม่หุบไปตลอดทาง
ประโยคนี้ของหานซวี่ทำให้เซียงฉินแปลกใจ รู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของหมู่บ้านอย่างไรอย่างนั้น
ครั้นพอส่งแม่เฒ่าหลางถึงกระท่อมจึงแอบกระซิบถาม จนได้ความว่านางคือผู้มีพระคุณ วันหนึ่งที่ทั้งสองออกมาเที่ยวเล่นในป่า เซียงฉินถูกงูพิษเลื้อยเข้ามากัด ขณะที่หานซวี่กำลังจะดูดพิษออกจากรอยเขี้ยวที่ฝังบนขาของนาง แม่เฒ่าหลางเดินเข้ามาพร้อมกับบอกว่าจะพาไปรักษาที่หมู่บ้านเสียนอัน จากนั้นที่นี่ก็กลายเป็นบ้านหลังที่สอง เซียงฉินมีใบหน้าละม้ายคล้ายบุตรสาวที่จากไปของนาง แม่เฒ่าหลางจึงเรียกเซียงฉินว่า 'ฉีเอ๋อร์' ด้วยความเอ็นดู
"พวกเจ้าเดินทางมาไกล คงจะกระหายน้ำ" แม่เฒ่าหลางต้อนรับทั้งสองด้วยชาข้าวแบบภูมิปัญญาเดิมท้องถิ่น
เซียงฉินใช้สองมือจิบชาข้าวสีเหลืองอ่อน สัมผัสได้ถึงความหวานละมุนจากเมล็ดข้าวและกลิ่นหอมของยอดอ่อนใบชา รู้สึกว่าการเดินทางดั้นด้นมาถึงที่นี่คุ้มค่าแล้ว นางไม่เคยลิ้มลองชาที่มีรสชาติหอมหวานกลมกล่อมเช่นนี้มาก่อน
"ที่อารามรกร้างกำลังบูรณะ ชาวบ้านทยอยกันเข้าไปกราบไหว้ขอพรพระโพธิสัตว์ เจ้าลองไปดูสิ…ฉีเอ๋อร์" แม่เฒ่าหลางมองเซียงฉิน เอ่ยช้า ๆ ด้วยแววตารักใคร่เอ็นดู
หานซวี่โพล่งเอ่ยขึ้น ดวงตาทอประกาย "เช่นนั้น ข้าขอไปกับนางด้วย"
แม่เฒ่าหลางเอ่ยสวนทันควัน "หากเจ้าไป แล้วผู้ใดจะช่วยข้ายกกระบุงผลไม้เข้าไปเก็บหลังกระท่อมเล่า"
ฟังท่านแม่เฒ่าเอ่ยเช่นนั้น หานซวี่ก็จนใจ ได้แต่ทำสีหน้าสลด เอ่ยตัดพ้อ "ท่านแม่เฒ่าลำเอียงแล้ว…"
เซียงฉินเห็นใบหน้าเติบใหญ่ที่ปั้นปึ่งนั่น อดมิได้หัวเราะออกมา หานซวี่ส่งสายตาเว้าวอนเศร้าสร้อย ขยับริมฝีปากพูดอย่างไร้เสียงว่า "ดู แล ตัว เอง ให้ ดี"
ก่อนที่ชายขี้งอนจะอาลัยอาวรณ์ไปมากกว่านี้ นางจึงรีบคว้าถ้วยชาข้าวขึ้นมากระดกดื่ม จากนั้นจึงขอตัวและเดินออกจากกระท่อมไปอย่างว่องไวที่สุด