ยามราตรีที่ผู้คนหลับใหล มีเพียงห้องหนังสือเรือนปีกซ้ายฝั่งตะวันออกของจวนสกุลหลัวเท่านั้นที่ยังมีแสงเทียนส่องสว่าง
เซียงฉินนั่งอ่านตำราบนโต๊ะหนังสือเนิ่นนาน จิงชิงเห็นสีหน้าท่าทางของนายหญิงไม่สู้ดีนัก จึงขอตัวออกไปหากำยานและเครื่องหอมมาจุดเพื่อให้บรรยากาศผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น ทว่านางคาดการณ์ผิดเพี้ยนไป เซียงฉินมิได้เคร่งเครียดจากตำรา เรื่องราววุ่นวายต่างหากที่ทำให้รู้สึกเหนื่อยล้า ใบหน้างามจึงดูอิดโรยไปด้วย
หลังจากที่จิงชิงออกไปจากห้องแล้ว เซียงฉินก็ปิดตำราทุกเล่ม ออกมายืนสูดอากาศบริสุทธิ์ริมระเบียงนอกชาน แหงนหน้าเหม่อมองท้องฟ้ายามราตรี
ดวงจันทร์กลมโตนวลกระจ่างประหนึ่งหยกขาวเนื้อเนียนที่ทอประกายสว่างไสว ภายใต้แสงจันทร์พราวระยับ คนมองบังเกิดความลุ่มหลงมัวเมาในความสงบ ความคิดนับไม่ถ้วนผุดขึ้นมาในใจอย่างยั้งไม่อยู่
ช่วงเวลาที่เกิดขึ้นในอารามร้าง งานเลี้ยงสังสรรค์ หรือแม้กระทั่งที่จวนของนางเอง ประสบการณ์อันล้ำค่า เหตุการณ์สอนใจ ความหวาดกลัว ความผิดหวัง…ทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่มนุษย์หลีกเลี่ยงไม่ได้ สังคมแก่งแย่งชิงดีมีมาตั้งแต่สมัยบรรพกาล มีเพียงคนแข็งแกร่งเท่านั้นที่จะยืนหยัด ไม่มีที่สำหรับคนอ่อนแอ และจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป ไม่ว่าจะยุคสมัยใดก็ตาม
หากแต่ความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีแอบแฝงอยู่ ท่ามกลางความมืดมิดและอับจนหนทาง อัศวินผู้หนึ่งขี่ม้าขาวเข้ามาหา เขายื่นมือมา พร้อมกับบอกว่าจะพานางหนีออกไปจากที่นั่น
วาจานั้นราวกับมีเวทมนตร์วิเศษ เสกให้เรื่องเลวร้ายกลายเป็นดี เสกนางที่สติกระเจิดกระเจิงไม่อยู่กับเนื้อกับตัวสงบลง ไม่หวาดกลัวต่อไปอีก
นางไม่เคยลืมเลือนน้ำใจของชายผู้นั้นและยังซาบซึ้งอยู่ในส่วนลึกของหัวใจเสมอ
บุรุษแปลกหน้าที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อเสียงเรียงนาม เขาช่างเป็นคนจิตใจดียิ่ง ถึงแม้จะไม่เคยพบเจอกันมาก่อน กระนั้นนางก็ยังเชื่อเรื่องโชคชะตาและพรหมลิขิต ทุกอย่างหาใช่เรื่องบังเอิญ เขาอาจเป็นเทพเซียนแปลงกลายลงมา หรือไม่ก็เป็นคนธรรมดาที่มีจิตใจกว้างขวางเสียยิ่งกว่ามหาสมุทร
นางหลับตาอธิษฐานกับดวงดาวในใจ ไม่ว่ายามนี้เขาจะอยู่แห่งหนใด ขอให้เขามีชีวิตที่เปี่ยมสุข หากตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้าย ขอให้เขารอดปลอดภัย…
ขณะกำลังยืนภาวนาในใจ ประตูของห้องนอนก็ค่อย ๆ ขยับและเปิดออก
ฝีเท้าเบาหวิวคล้ายดั่งขนนกหาใช่ผู้ใด แต่เป็นจิงชิงที่กลับมาพร้อมกับเครื่องพ่นกำยาน นางนำของที่ประคองในมือไปวางไว้ตามมุมต่าง ๆ ของห้องทั้งในและนอกชาน จากนั้นจึงเดินย่างเท้าไปยืนข้างประตูริมระเบียงอย่างสงบเสงี่ยม
ควันขาวคล้ายดั่งไอหมอกจาง ๆ ม้วนตัวลอยอยู่กลางอากาศ กลิ่นหอมนั้นพัดโชยมาตามสายลม แทรกซึมเข้ามาในห้วงแห่งความคิด เซียงฉินหลับตาสูดดม พลันรู้สึกปลอดโปร่งและผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก
“กลิ่นหอมนี้คือกลิ่นของอะไร?” เซียงฉินโพล่งถามขณะหลับตา
จิงชิงก้มศีรษะนอบน้อม ย่องเบาเข้าไปตอบ “กลิ่นหอมของดอกกุหลาบป่าเจ้าค่ะ บ่าวเห็นว่าคุณหนูมักจะเวียนหัวเวลาดมกลิ่นของไม้หอมกฤษณานาน ๆ บ่าวเลยลองปรับเปลี่ยนนำเอาดอกกุหลาบป่ามาดัดแปลงทำเป็นเครื่องหอมให้คุณหนูเจ้าค่ะ”
เซียงฉินค่อย ๆ เปิดเปลือกตาขึ้น กล่าวว่า “ดี” ด้วยรอยยิ้ม อดชื่นชมในความช่างสังเกตและเอาใจใส่ของบ่าวสาวมิได้
“จิงชิง เจ้ามาจากที่ใดและเหตุใดถึงมาเป็นบ่าวใช้ของข้า?”
คำถามที่จู่ ๆ ก็โพล่งขึ้นมาอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุ ทำให้จิงชิงชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยตอบอย่างช้า ๆ “เดิมทีบ่าวเป็นชาวไป่อี๋ ถูกขายมาเป็นบ่าวใช้ในเมืองหลวงแคว้นต้าเว่ยตั้งแต่ยังเด็ก ท่านป้าทำงานในจวนหลัว ฮูหยินมีใจเมตตาและสงสาร จึงรับบ่าวมาทำงานในจวนอีกคนเจ้าค่ะ"
"ท่านป้าที่เจ้าว่า…คือฝูมามาอย่างนั้นหรือ? " เซียงฉินมีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย
จิงชิงผงกศีรษะเนิบช้า ตอบเสียงแผ่วเบาว่า "ใช่เจ้าค่ะ ฝูมามาคือป้าแท้ ๆ ของบ่าว"
เซียงฉินไล่เรียงเหตุการณ์ในหัวสมอง ความคิดที่ตกตะกอนทำให้เข้าใจมูลเหตุทั้งหลายในโลก
คนเราล้วนมีอดีตอันน่าขื่นขม ชีวิตที่ขึ้น ๆ ลง ๆ ราวกับกระแสน้ำในห้วงมหาสมุทร ไม่อาจคาดเดาทิศทางได้เลยว่าภายภาคหน้าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้น หากมองดูแล้วเราทั้งสองก็เหมือนคนหัวอกเดียวกัน จากถิ่นเดิมที่เคยอยู่ มาใช้ชีวิตอีกที่หนึ่ง เหมือนกับข้าที่จากโลกปัจจุบันมาอยู่ในยุคโบราณเช่นนี้
"แต่บ่าวมีความสุขนะเจ้าคะที่ได้ปรนนิบัติรับใช้คุณหนู" ดวงตาของจิงชิงมีรอยยิ้ม ขณะเอ่ย
เซียงฉินคลี่ยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก
และใช่…การโหยหาอดีตย่อมไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา รังแต่จะนำพาให้จิตใจหม่นเศร้า รักตัวเองให้มาก มีความสุขอยู่กับปัจจุบัน แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเองตามกาลเวลา
ขณะเดียวกันที่ จวนจวิ้นอ๋อง
"ท่านอ๋องวาดภาพอะไรอยู่หรือขอรับ? "
พู่กันในฝ่ามือพลันชะงัก นัยน์ตาสีดำสุกสว่างดุจดวงดาวของเซี่ยอวิ่นชำเลืองมองที่ กัวฟู่เฉิง…บ่าวใช้อาวุโสครู่หนึ่ง ก่อนจะดึงสายตากลับมาสะบัดพู่กันแต่งแต้มภาพวาดต่อ
'เซี่ยอวิ่นจวิ้นอ๋อง' หรือ 'จวิ้นอ๋องคนลึกลับ' คือชื่อเรียกที่ใครหลายคนมักคุ้นหู
ในสายตาของเหล่าเชื้อพระวงศ์ เซี่ยอวิ่นถือเป็นคนแปลกประหลาด เป็นองค์ชายเจ้าสำราญ ไม่สันทัดจับดาบ ไม่ฝักใฝ่การเมือง อ้างแต่เรื่องสันติ เที่ยวเล่นไปวัน ๆ เป็นบุตรชายที่ฮ่องเต้มักหลงลืมและจมหายในวงสนทนา
หากแต่ผู้ใดจะล่วงรู้ แท้ที่จริงแล้วเขาฉลาดปราดเปรื่องเป็นที่สุด เก่งกาจทั้งบุ๋นและบู๊เหนือผู้ใดในปฐพี อดีตที่ฝังใจล้ำลึก ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่เขาพบเจอแต่การสูญเสีย พระราชวังต้องห้ามงดงามเหมือนฝัน แท้จริงนั้นซุกซ่อนเงื้อมมือของเงาดำอำมหิตบางอย่างที่พร้อมจะเข่นฆ่ากันตายได้ทุกเมื่อ สีแดงฉานที่พบเจอมากที่สุดในวังหลวง หาใช่สีของบุปผา ทว่าเป็นโลหิตของมนุษย์ และไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคสมัย ทุกอย่างก็ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
ด้วยเหตุนี้เขาจึงรักความสงบ ไม่ชอบอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายในราชสำนัก ไม่สนใจคำติฉินทร์นินทาใด ล้วนตระหนักว่า การใช้ชีวิตอยู่กับความสุขที่แท้จริง ย่อมดีกว่าความสุขจอมปลอมเป็นไหน ๆ
"ข้ากำลังวาดภาพสตรีงามนางหนึ่งอยู่" เขาตอบเสียงทุ้มลุ่มลึก ใบหน้าผลิยิ้มจาง ๆ อย่างอ่อนโยน
ภายใต้แสงจันทร์กระจ่างที่ลอดเข้ามาจากทางหน้าต่าง ใบหน้าของเซี่ยอวิ่นสะท้อนเงาสีดำจาง ๆ ขับเน้นเครื่องหน้า ทั้งคิ้วตาและสันจมูกให้ดูมีมิติ หล่อเหลาคมคายมากยิ่งขึ้น
กัวฟู่เฉิงยืนกุมมืออย่างสำรวมพลางยิ้มกล่าว "สตรีผู้นั้นจะต้องงดงามต้องตาท่านอ๋องมากเป็นแน่ขอรับ"
"เหตุใดท่านถึงกล่าวเช่นนั้น" เขาย้อนถามเสียงเรียบ
กัวฟู่เฉิงตอบ "ทุกครั้งที่ท่านอ๋องจับพู่กัน ข้าน้อยมักเห็นภาพวาดงดงามวิจิตรา หากแต่เป็นภาพของทิวทัศน์ธรรมชาติ หาใช่สตรีงามขอรับ"
“อย่างนั้นหรือ?” ฟังเช่นนั้นแล้ว มุมปากของเซี่ยอวิ่นก็พลันหยักยิ้มเข้มข้นขึ้น
หลังจากนั้นผ่านไปราว ๆ หนึ่งเค่อ ภาพที่บรรจงวาดอย่างละเอียดประณีตก็เสร็จสมบูรณ์ เซี่ยอวิ่นยื่นภาพวาดที่ประคองด้วยสองมือส่งยื่นให้กัวฟู่เฉิงดู พลางถาม “ท่านคิดว่าอย่างไร?”
ภาพวาดครึ่งตัวของหญิงสาววัยสะพรั่ง ใบหน้าของนางพริ้มเพราชวนมอง คิ้วตาจมูกปากทุกส่วนราวกับถูกปั้นแต่งออกมา ให้ความรู้สึกงดงามและน่ารักในคราวเดียวกัน
ดวงตาของกัวฟู่เฉิงเบิกกว้างทอประกาย ภาพวาดนี้ช่างงดงามสมบูรณ์แบบ หาที่ติไม่ได้เลยแม้แต่น้อย พลันประสานมือกล่าว “งดงามมากเหลือเกินขอรับ”
ริมฝีปากของเซี่ยอวิ่นระบายยิ้มน่าหลงใหล มองดวงจันทร์สีขาวบริสุทธิ์เหนือศีรษะนอกชาน ตอบกลับเสียงเรียบว่า
"ใช่! นางงดงามจับใจข้าไม่น้อย"