6

1113 Words
เหรินซืออี้อยู่ในห้องพักรับรองกับสวีเกาหาน และเถาวัลย์ดังกล่าวรัดข้อมือทั้งคู่ไว้ เพียงแต่มันคลายตัวมาก ดังนั้น นางกับเขาในยามนี้จึงอยู่ห่างกันพอให้เคลื่อนไหวร่างกายสะดวก ถึงอย่างนั้นสายตาของผู้อื่นยามมองนางไม่ค่อยให้เกียรติ ฝ่ายสวีเกาหานทำแผลเรียบร้อยแล้ว มียาสมุนไพรให้เขาดื่มด้วย ตัวนางในร่างนี้มีความรู้เรื่องการปรุงยา ได้แต่ทำเป็นถอนหายใจแสดงออกว่า คนพวกนี้ช่างอ่อนด้อยเรื่องการรักษา “นักพรตน้อย ท่านต้องการสิ่งใดกันแน่ ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ก็สร้างความเดือดร้อน คุณชายของข้าไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับเจ้า อีกทั้งท่าทางหยิ่งผยอง อย่าได้ทำให้ผู้อื่นรังเกียจเจ้าไปมากกว่านี้เลย” หญิงสาวหรือจะสนใจคำพูดห่าวเจีย อีกฝ่ายก็แค่ขันที แม้ยามนี้เป็นหน่วยแพรม่วง ทว่ายังไม่ได้ก้าวขึ้นเป็นใต้เท้าพันปี (ตำแหน่งสูงสุดของขันที ซึ่งได้รับการโปรดปราณเป็นอย่างสูงในยุคสมัยนั้น อีกทั้งห่าวเจีย มีเชื้อสายของอดีตฮ่องเต้คนเก่า และนั่นทำให้เขาก้าวหน้ามาในอีกสิบปีต่อจากนี้) “พ่อบ้านท่านนี้ ข้าไม่ได้คิดทำสิ่งใดล่วงเกินคุณชายเกาหานแม้แต่น้อย อีกอย่างเรื่องทั้งหมดก็เป็น เขาที่...เสนอตัวช่วยเหลือข้าเองจนได้รับบาดเจ็บ” สิ้นคำพูดหญิงสาว จู่ๆ ร่างหนึ่งก็พุ่งเข้ามาและไม่ทันให้เหวินซืออี้ตั้งตัว ฝ่ามือสตรีนางนั้นตบลงไปที่ใบหน้าหญิงสาวทันที แรงตบรุนแรง เพราะมันทำให้เหวินซืออี้มึนงง ทั้งมีเลือดซึมที่มุมปาก เจ็บ ยิ่งเจ็บก็ยิ่งเตือนความจำให้แก่เหวินซืออี้ว่าคนพวกนี้ สร้างบาปอันเลวร้ายแก่นางเช่นไร “เสี่ยวฮวน... นั่นคือนักพรตน้อย เหตุใดเจ้าถึงไร้เหตุผล” “ฮึ นักพรตบ้าบออะไร ถึงได้ต่อปากต่อคำให้ข้าระคายหู อีกอย่างท่านปล่อยให้ข้ารออยู่นาน และคังต้าเกอต้องการให้ร่วมงานเลี้ยงคืนนี้” จือฮวนกล่าวถึงพี่ชายนางซึ่งก็คือ จือคัง ยามนี้เขามีตำแหน่งจือหยวนโหว เรียกได้ว่าได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้องค์ปัจจุบันมาก แน่นอนว่าการกระทำที่ต่ำช้าของจือฮวนเมื่อครู่ ได้ถูกบันทึกไว้ในบัญชีแค้นของเหวินซืออี้เรียบร้อย คนผู้นี้คือสตรีที่ชาติก่อน สร้างความแค้นต่อนางไม่ต่างจากเกิงเตียวอิ๋งผู้เป็นลูกสาว ยามนี้ใบหน้าเหวินซืออี้เป็นรอยแดงปื้นใหญ่ เจ็บและอับอาย แต่นางไม่ใช่สตรีคนเดิม การแก้แค้นนั้น ให้ดีที่สุดต้องต้องรอจังหวะที่เหมาะสม ซึ่งนางจะถอนรากถอนโคนทุกคน ไม่ให้พวกมันได้ตายดี! สวีเกาหานถอนหายใจแรงๆ และบอกว่า “เสี่ยวฮวน หากให้ข้าไปงานเลี้ยง เกรงว่าไม่เหมาะสม ในเมื่อนักพรตน้อยก็ต้องไปด้วย” ได้ยินอย่างนั้น จือฮวนเลยถลึงตาใส่เหวินซืออี้ และอยากเข้ามาตบตี หรือทำร้ายอีกฝ่ายให้ตายๆ ไปเสียได้คงดี “ข้าจะยังไม่ทำบาปในวันนี้ ให้มันเข้าร่วมงานด้วยก็ได้ แต่คลุมหน้ามันไว้เสีย เท่านี้คงสิ้นเรื่อง” เหวินซืออี้หัวเราะขึ้นคราหนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “บาปกรรมๆ โลกมนุษย์นี้ ช่างแปดเปื้อนไปด้วยสิ่งโสมม ให้นักพรตเข้าร่วมงานเลี้ยงที่มีทั้งดนตรี สุรา และนางบำเรอ คงไม่เหมาะสม” หญิงสาวว่าแล้วก็เตรียมเอ่ยต่อ แต่สวีเกาหานรีบขยับตัวอย่างว่องไว เอามือมาปิดนางไว้ ภาพที่ดูสนิทสนมกัน และท่าทางที่ไม่ห่วงแผลของตนที่ได้รับบาดเจ็บอยู่เป็นเหตุให้ จือฮวนคลั่งจัด จนเผลอเรียกอีกฝ่ายด้วยตำแหน่งที่แท้จริง “รัชทายาท! ท่านเหลวไหลเช่นนี้ ตั้งแต่เมื่อใด” สิ่งที่จือฮวนเอ่ยทำให้เหวินซืออี้ยิ้มอย่างพึงใจ มารดาของอดีตหนามหัวใจนาง ยามที่ยังอายุน้อย ช่างเป็นสตรีที่แผดเสียงดัง มีกิริยาราวกับพวกแม่ค้า “โอ้ เกิดชาตินี้นับว่าคุ้มค่าที่ทำให้คุณชายเกาหาน เอ่อ... รัชทายาทยอมเจ็บตัวแทนข้า ทั้งยังได้มีโอกาสทำตัวติดกันอย่างแนบเนื้ออยู่หลายชั่วยาม” คำพูดและการแสดงออกของเหวินซืออี้ ทำให้จือฮวนไม่อาจทนอยู่ในห้องดังกล่าวได้อีก ด้วยกลัวตนพุ่งเข้าไปตบตี และบีบคอเหวินซืออี้จนตายคามือ ดังนั้นจึงกระทืบเท้าแล้วเดินจากไป กระทั่งได้อยู่กันตามลำพัง สวีเกาหานก็ยื่นมือมาจับคางของเหวินซืออี้ แล้วพลิกไปมา ก่อนถอนหายใจแรงๆ “เจ้ายั่วโทสะ เสี่ยวฮวนเผื่อการใด” เหวินซืออี้ไม่ต้องการแสแสร้ง นางเบ้บิดมุมปากลง ท่าทางบอกให้รู้ว่าไม่สนใจ “ข้ากล่าวทุกอย่างตามจริง รัชทายาทช่วยข้าจากชาวสุยจ้วง นับว่าประเสริฐ ส่วนขันทีห่าว ปรุงยาไม่ได้เรื่องก็ต้องบอกกล่าว และแผลท่านอาจเน่า... ส่วนสตรีผู้นั้น... ข้าไม่ให้ราคา” สวีเกาหานได้ยินแล้วเลยระเบิดเสียงหัวเราะลั่น “นางเป็นน้องสาวของจือหยวนโหว นักพรตน้อยอย่าได้ล้อเล่นเชียว” “ฮึ เป็นท่านโหว แล้วใหญ่กว่ารัชทายาทหรือ” “มิได้ คนผู้นั้นแค่มีอำนาจ บิดาฟังเขามากไปหน่อย ส่วนข้าคือคนว่างงาน นำไปเปรียบเทียบกันไม่ได้” “ท่านถ่อมตนเกินไป วันหนึ่งท่านก็ได้เป็นมังกรนั่งบัลลังก์ เช่นนี้ไม่สมควรให้ผู้อื่นข่มได้” ดวงตาเรียวมองที่หญิงสาว มองแล้วส่งประกายบางอย่างออกมา เป็นช่วงเวลาดังกล่าวที่เหวินซืออี้สะเทิ้นอายอย่างไม่อาจเก็บอาการได้ “อืม นอกจากเป็นนักพรตน้อย เจ้าเป็นพระชายาของข้าได้หรือไม่” เหวินซืออี้หูอื้อไปหมด ดวงตาจ้องเขาตาโต คนผู้นี้กลายเป็นต้วนซิ่วจริงๆ แล้วหรือ “ขะ ข้าถือศีล อีกอย่างเพศเดิมคือบุรุษ” เขาอมยิ้มทั้งสีหน้า สิ่งที่ทำต่อจากนั้นคือจู่โจมเหวินซืออี้ด้วยริมฝีปากที่ชื้นๆ แสนเร่าร้อน มือทั้งสองข้างของเขาวางที่หน้าอกนาง วางแล้วพยายามแกะผ้าที่นางพันเอาไว้เพื่อปกปิดสองถันที่งดงามนั้น ส่วนลิ้นเรียวสากร้อนทะลวงผ่านเข้าไปในโพรงปาก พอนางร้องอื้ออ้าต้องการประท้วง เขายิ่งจู่โจมหนักกว่าเดิม ยามนี้เสื้อผ้านักพรตหลุดออกจากร่างทีละชิ้น โอ้ จากนี้ เหวินซืออี้ยังจะกล้าเล่นละครปลอมเป็นผู้ใด เพื่อตบตาสวีเกาหาน!
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD