5

1753 Words
ย้อนเวลา (เข้าร่างจางเหยา) หญิงสาวไม่แน่ใจว่าเกิดเหตุอันใด แต่เมื่อครู่ริมฝีปากนางถูกใครบางคนฉกชิมความหวานไปอย่างเร้าร้อน ช่างพิลึกและชวนให้ขนลุกโดยแท้ ซึ่งไม่ใช่แค่จูบ แต่ฝ่ายนั้นยังพยายามส่งลิ้นเข้าไปด้านในโพรงปากด้วย เหวินซืออี้สะดุ้งเอือก ลืมตาโพลง ในหัวมึนงงชั่วขณะ ภาพต่างๆ ย้อนกลับไปกลับมาให้ได้คิด ตัดสลับกับเรื่องราวตรงหน้า โอ้ นางกำลังปลอมตัวเป็นบุรุษ แม้ดูรูปงาม แต่มองยังไงก็เป็นชายชาตรี ท่าทางไม่เหมือนขันทีสักหน่อย แล้วคนที่จูบนางเล่า เป็นพวกต้วนซิ่วหรืออย่างไร เขาถึงได้กระทำในสิ่งที่ชวนให้กระอักกระอ่วนเช่นนี้ นางหันไปมองอีกร่างที่นอนหลับในท่าผ่อนคลาย เสียงหายใจเขาสม่ำเสมอ พอนางสำรวจให้ดี พบว่าตนกับคนผู้นี้มีเถาวัลย์ผสานใจรัดที่ข้อมือไว้คนละข้าง นี่คงเป็นเหตุที่ทำให้นางรู้สึกอึดอัดนับแต่เข้ามาอยู่ในร่างผู้อื่น เหวินซืออี้พยายามจับต้นชนปลายสิ่งต่างๆ เข้าด้วยกัน นางฟื้นกลับมาจากเหตุการณ์บนกำแพงสูงป้อมสังเกตการณ์เมืองไฉ ยามนี้อยู่เพียงลำพังกับบุรุษแปลกหน้า เป็นชาติภพที่นางได้ย้อนเวลามามีชีวิตอีกครั้ง พอนางขยับตัวแรงกว่าเดิม เถาวัลย์จึงรัดข้อมือนางแน่น มันทำให้บุรุษร่างสูงที่นอนหลับลืมตา ฝ่ายเขาแกล้งทำเป็นงัวเงีย ก่อนยกยิ้มตรงมุมปาก และกล่าวด้วยน้ำเสียงอย่างคนยียวน“นักพรตน้อย เมื่อครู่ข้าต้องขออภัย เผลอเป่าลมใส่ปากเจ้าหลายครั้ง ช่วยไม่ได้ที่เรียกอย่างไรก็ไม่ตื่น และคงฝันร้ายมากสินะ จึงทั้งหยิกข่วนข้า กัดหู กัดปากข้าด้วย เฮ้อ...ช่างน่าสงสาร ก่อนหน้านั้น เจ้ามีอาการตาเหลือก ตัวเกร็ง ข้าเลยต้องยินยอมพลีกายเติมลมหายใจให้เจ้า ด้วยการเป่าลมใส่ปากไปหลายอึก บุรุษทั้งแท่งเช่นข้า ทำเช่นนี้ เพื่อช่วยชีวิตเจ้า” เหวินซืออี้ส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อ คนผู้นี้พูดจาเหลวไหลที่สุด นางเตรียมสาดคำพูดร้ายๆ ต่อว่าเขา แต่ชายหนุ่มเอ่ยแทรกเสียก่อน “อมิตาพุทธ บาปกรรมๆ ตัวติดกันก็แย่แล้ว นักพรตน้อยยังโมโหร้ายต่อข้าอีก นับเป็นการทำบุญบูชาโทษโดยแท้ ถ้าข้าไม่ช่วยเจ้าให้หลบหนีพวกสุนัขสุยจ้วงที่สุสานโบราณ ตัวเจ้าคงถูกมันเลาะกระดูก และเอาเนื้อหวานๆ ไปกินจดหมด” ยามนั้นเหวินซืออี้ พยายามปะติดปะต่อเรื่องราวในหัวเร็วรีบ นับว่าเจ้าของร่างเป็นคนที่ฉลาดมากด้วยไหวพริบ จึงทำให้นางรู้ว่ายามนี้ ตนกลายเป็นจางเหยา อีกฝ่ายคือน้องสาวของบิดานางนั่นเอง และหนีออกจากคฤหาสน์ใหญ่สกุลเหวินตั้งแต่อายุได้สิบห้าปีสิบหกปี นางขึ้นเขาศึกษาความรู้ เพื่อเอาตัวรอดจากผู้อื่น จางเหยาจึงมักปลอมตัวเป็นบุรุษ! ดวงตากลมโตมองชายที่อมยิ้มในสีหน้า ท่าทางเขาไม่เหมือนชาวบ้านทั่วไป ทั้งผิวพรรณ และเสื้อผ้าที่สวมแม้ดูออกว่าปลอมตัวมิต่างจากนาง แต่เป็นของมีราคา “หึๆ ๆ เรื่องต่อจากนี้ ย่อมเป็นบาปกรรมใหญ่ เพราะข้าจะตัดแขนท่านทิ้งเสีย จากนั้นข้าจะได้เป็นอิสระ ไม่ต้องตัวติดกับคนฉวยโอกาสที่กล้าล้วงเกินนักพรต!” กล่าวจบเหวินซืออี้จึงล้วงเข้าไปในอกเสื้อ และอย่างที่นางคาดไว้ไม่ผิด มีมีดสั้นซ่อนอยู่ มีดดังกล่าวติดตามนางไปทุกที่ มันคือสิ่งย้ำเตือนว่านางเป็นใคร มีลมหายใจเพื่อสะสางความแค้น ด้วยท่าทางนางเอาจริง บุรุษร่างสูงที่ผิวขาวละเอียด ใบหน้าคมคายจึงหุบยิ้มฉุบ “นักพรตน้อย เหตุใดถึงอยากทำบาปเยี่ยงนั้น” “ฮึ ผู้ใดบังอาจล่วงเกินข้า ย่อมมิสมควรมีชีวิตรอด แต่เอาเถิด ก่อนวิญญาณท่านหลุดออกจากร่าง ข้าขอทราบชื่อแซ่เสียก่อน อย่างน้อยเผื่อคุณธรรม แล้วตัวข้าจะแกะสลักป้ายเล็กๆ หน้าหลุมศพไว้ให้” “เจ้าล้อข้าเล่นหรอกหรือนี่ อีกอย่างชื่อข้าสมควรให้ผู้อื่นล่วงรู้ง่ายๆ ได้เยี่ยงไร” เขาว่าและคราวนี้กลับมายิ้มอีกหน ทั้งลักยิ้มข้างแก้ม และดวงตาที่มีน้ำใสหล่อเลี้ยงอยู่ข้างใน ทำให้คนผู้นี้มีเสน่ห์อย่างล้นเหลือ นอกเหนือจากนั้น นางมีความรู้สึกว่าคุ้นเคย อีกฝ่ายเป็นอย่างดี ทว่ากลับยังรื้อฟื้นความทรงจำไม่สำเร็จ “จงบอกชื่อท่านมา” นางขู่ และน้ำเสียงก็ห้วนกระด้าง “ฮ่าๆ ๆ แท้จริงแล้ว คนอย่างข้าไร้นาม และเป็นบุรุษที่ว่างงานที่สุดในใต้หล้า” คำที่เขาเอ่ยทำให้เหวินซืออี้นึกถึงบางสิ่ง และเรื่องราวในชาติก่อน ความคิดดังกล่าวส่งผลให้นางมือเท้าเย็นทันที “มีคนผู้หนึ่งเคยพูดเช่นนี้ และข้าเคยได้ยินเมื่อนานมาแล้ว” “โอ้ ใครกล้าเลียนแบบข้า คนผู้นั้นไม่สมควรมีลิ้น และฟันไว้พูดอีกต่อไป” เหวินซืออี้มองเขาใหม่ พินิจอย่างละเอียด ไม่รู้เหตุใด นางจึงคาดคะเนว่า เขาอาจเป็นบุคคลที่นางควรไว้ชีวิต และสมควรหาประโยชน์จากเขาให้มากที่สุด “อย่างไรก็ตามเรื่องที่ท่านล่วงเกินข้า ย่อมต้องเก็บงำไว้เป็นความลับ” “แน่นอน อย่างไรก็เปิดเผยไม่ได้” เขายังไม่วายยียวนต่อ พอชายหนุ่มเตรียมลุกขึ้นยืน นางก็รู้ว่าตนกับอีกฝ่ายตกลงมาในหลุมขนาดใหญ่ “เอ๊ะ... ท่านบาดเจ็บหรอกหรือ” ดวงตากลมโตมองเขา เห็นว่าอีกฝ่ายเคลื่อนตัวลำบาก คาดว่าคงมีแผลอยู่ในร่มผ้า คนผู้นั้นพยักหน้า เอ่ยอย่างภูมิใจ “หากข้าไม่เอาตัวปกป้องนักพรตน้อยในตอนที่พลัดตกลงมา เจ้าคงเสียเลือดยิ่งกว่านี้ ส่วนตัวข้าแผลเล็กๆ นั้นไกลหัวใจเหลือเกิน ถึงเจ็บอยู่บ้าง แต่นับว่าทนได้” เขาว่า แต่ท่าทางดูแล้วเจ็บหนัก “ให้ข้าดูเถิด เผื่อช่วยเหลือท่านได้” “นักพรตน้อย แม้เราทั้งคู่เป็นบุรุษ แต่คงไม่เหมาะที่จะเปลื้องผ้าให้อีกฝ่ายสำรวจเรือนร่าง อีกอย่างมันอยู่ใกล้จุดสำคัญของบุรุษ เจ้าย่อมรู้ดี งูตาเดียว ไม่ว่าอย่างไรก็มีพิษร้าย” เขาพูดปกติ ทว่าเหวินซืออี้หน้าแดงระเรื่อ ด้วยเข้าใจแล้วว่า เขาคงมีแผลที่ต้นขานั่นเอง จากนั้นไม่นาน มีเสียงฝีเท้าทั้งหนักและเบาดังก็อยู่ด้านบนปากหลุม “คุณชาย ท่านอยู่ด้านล่างหรือไม่ บ่าวเชื่องช้า แม้มีสิบหัวก็ไม่พอให้ตัด!” เสียงร้องเรียกนั้น สูงกว่าบุรุษทั่วไป อีกทั้งการใช้คำพูดเหมือนพวกอยู่ในรั้วในวัง “ท่านเป็นผู้ใดกันแน่ ถึงได้มีผู้อื่นหมายยื่นมือมาช่วยเช่นนี้” เขายิ้มให้เหวินซืออี้ และเอ่ยด้วยถ้อยคำเดิมแต่เพิ่มเติมคือน้ำเสียงที่น่าหมั่นไส้ “คนว่างงาน หากนักพรตน้อยอย่างแกะสลักป้ายชื่อหน้าหลุมศพให้ข้าจริงๆ จงใช้คำว่า เกาหาน ก็แล้วกัน” เมื่ออีกฝ่ายบอกนางเช่นนั้น ร่างกายเหวินซืออี้ก็แข็งทื่อชั่วขณะ แน่แล้วคนผู้นี้ภายหน้าก็คือ เหลียงอ๋อง... หรือฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่นั่นเอง ชื่อของเขาคือ สวีเกาหาน และยังเป็นบิดาของหนามหัวใจนางเมื่อชาติภพก่อน สตรีแพศยาที่ชื่อเกิงเตียวอิ๋ง หรือองค์หญิงหก ! และไม่ทันที่นางจะทันได้คิดสิ่งใดต่อ ร่างหนึ่งก็ใช้วิชาตัวเบา ลงมาอยู่ด้านล่าง พลางตวัดสายตามองมายังเหวินซืออี้ คนผู้นั้นสวมชุดรัดกุมสีดำ ทำให้โทสะเหวินซืออี้พลุ่งพล่านขึ้นอย่างรวดเร็วคือ ผ้าแพรสีม่วงที่พันอยู่รอบคอเขา หึๆ ๆ สวรรค์เปิดโอกาสให้นางได้พบหน้าศัตรูเร็วเยี่ยงนี้ แต่น่าเสียดาย ที่เหวินซืออี้ยังต้องฝึกฝนตนเองอีกสักหน่อย นางจึงจะจัดการคนพวกนี้ให้สิ้นซากในคราวเดียว “คุณชายรอง ยามนี้มีเรื่องที่ท่านต้องตัดสินใจเร่งด่วน” เสียงอีกฝ่ายที่กล่าวกับคนตัวสูงฟังแล้วขัดหูเหวินซืออี้ “อาห่าว อย่าเอาแต่เร่งเร้าข้า ยามนี้ก็เห็นอยู่ว่ามีนักพรตน้อยอยู่ด้วย และด้ายแดงนี้ได้ร้อยใจข้ากับเขาได้ด้วยกัน” ขันทีหนุ่มแยกเขี้ยวใส่เหวินซืออี้ และแก้คำพูดเจ้านายของตนเสียใหม่ “มันคือเถาวัลย์ผสานใจ เช่นนี้ท่านกับนักพรตน้อยคงยากจะแยกจากกัน ยกเว้นก็แต่ให้ข้าตัดแขนเขาทิ้งเสีย เพียงเท่านั้นทุกอย่างย่อมเรียบร้อย” “ฮ่าๆ ๆ มิได้ เป็นเขาต่างหาก ที่คิดตัดแขนข้า” สวีเกาหานกล่าวทีเล่นทีจริง ฝ่ายขันทีหนุ่มถลึงตาใส่เหวินซืออี้ และหมายจะจัดการนาง ทว่าเหวินซืออี้กับชี้หน้าเขา และตวาดใส่ว่า “ขันทีห่าว นอกจากท่านถูกตอนจนกุดแล้ว ยังต้องการให้ข้าควักหัวใจออกมาด้วย ใช่หรือไม่” เสียงของนาง และคำพูดที่แจ้งชัด ทำให้ทั้งห่าวเจีย และสวีเกาหานที่ปลอมตัวเป็นคุณชายเสเพล ต่างหยุดชะงัก มองนางด้วยความฉงน “ดูเหมือนนักพรตน้อย จะเป็นสายลับ หรือไม่ก็มือสังหารสินะ ถึงได้ล่วงรู้ฐานะที่แท้จริงคนของข้า” เหวินซืออี้คิดใคร่ครวญไปมา และตอบกลับด้วยเสียงราบเรียบ “บุรุษที่เสียงสูง ทั้งยังมีผ้าแพรม่วงพันคอ หากไม่ใช่หน่วยแพรม่วงแล้วจะเป็นผู้ใด” “ถึงอย่างนั้น หน่วยแพรม่วงก็มีคนมิน้อย เหตุใดนักพรตน้อยจึงเจาะจงว่าเป็นอาห่าวกันเล่า” สวีเกาหานถามจี้ แต่เหวินซืออี้ที่ผ่านความตายมาแล้ว ทั้งยังอยู่ในร่างที่มากด้วยไหวพริบ มีหรือนางจะเกรงกลัวสิ่งใดง่ายๆ “เพราะท่านคือคนที่ว่างงานที่สุดในใต้หล้า และยังมีขันทีหน่วยพิเศษติดตาม หากผู้ที่พอมีความรู้ในใต้หล้านี้ คงมองออกว่า ท่านคือองค์ชายรอง หานอ๋อง รัชทายาทแคว้นเหลียง!” สวีเกาหานหัวเราะเสียงดัง จากนั้นเขาก็ทำในสิ่งที่เหวิน ซืออี้ไม่ทันตั้งตัว คือการสกัดจุดหญิงสาว และให้ห่าวเจีย และคนของอีกฝ่ายช่วยเขากับนางขึ้นไปยังด้านบน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD