“ทำไมแกถึงไปนอนตากฝน จนเป็นลมเป็นแล้งแบบนี้ล่ะนังกุล”
แวววรรณที่รู้ข่าวหลานสาวก็รีบมาเยี่ยมด้วยความเป็นห่วง
“หรือว่าคุณหนึ่ง?”
“เอ่อ... ไม่ใช่หรอกจ้ะป้าแวว ไม่ใช่เพราะคุณหนึ่ง”
เพราะไม่อยากทำให้ใครมองปรมะไม่ดี ทำให้นรีกุลรีบโกหกออกไป
ถึงแม้ปรมะจะใจร้ายไส้ระกำกับหล่อนสักแค่ไหน แต่ก็ไม่เคยมีสักนาทีเดียวที่หล่อนอยากจะทำร้ายเขา
เพราะหล่อนรักเขามากนั่นเอง...
เขาคือผู้มีพระคุณ ทำให้หล่อนได้เรียนต่อ และช่วยเหลือหลายๆ อย่าง หากไม่เกิดเรื่องในค่ำคืนนั้นขึ้น ความสัมพันธ์ของหล่อนกับปรมะก็คงจะเป็นเหมือนเดิม
ผู้มีพระคุณกับเด็กสาวยากไร้...
แต่มันคงไม่มีวันนั้นอีกต่อไปแล้ว
หญิงสาวกล้ำกลืนความเจ็บปวดเข้าในอกจนลึกเพื่อไม่ให้ใครล่วงรู้
“ถ้าไม่ใช่แล้วทำไมแกไปนอนตากฝนนังกุล”
“คือกุล...”
“ข้าเลี้ยงแกมาทำไมจะไม่รู้จักนิสัยแก ไอ้คุณหนึ่งใช่ไหม”
“ไม่ใช่จ้ะป้าแวว... เชื่อกุลนะป้าแวว...”
“งั้นก็ตอบมาให้ได้ ว่าทำไมแกไปนอนตากฝนนังกุล”
นรีกุลเม้มปากเป็นเส้นตรง ก่อนจะรีบโกหกออกไป
“คือ... กุลจำได้ว่าออกมาเดินเล่น แล้วฝนตกลงมา กุลก็กำลังจะเดินเข้าบ้าน แล้ว... จากนั้นกุลก็จำอะไรไม่ได้อีกเลยจ้ะป้าแวว”
แวววรรณเบ้หน้ามองหลานสาวอย่างไม่อยากเชื่อ
“แกแน่ใจนะว่าที่พูดน่ะเป็นความจริง”
“กุล... แน่ใจจ้ะป้าแวว”
“แล้วลูกแก...”
แวววรรณกำลังจะถามถึงเด็กในท้องของนรีกุล แต่โทรศัพท์มือถือของตัวเองก็ดังขึ้นเสียก่อน แวววรรณรีบกดรับ
“ได้ๆ เดี๋ยวรีบออกไป รอด้วยนะ”
แวววรรณกดตัดสายสนทนาก่อนจะหันมาพูดกับนรีกุล
“ข้ามีธุระ เอ็งก็นอนพักผ่อนล่ะ เดี๋ยวไม่ค่ำนี้ ก็พรุ่งนี้เช้าเจอกัน”
“ป้าแวว...”
นรีกุลพยายามเรียกแวววรรณ แต่หญิงวัยกลางคนรีบผลุนผลันออกไปเสียแล้ว
ใบหน้านวลค่อยๆ ซีดขาวยิ่งขึ้นเมื่ออยู่ตามลำพัง ความคิดมากมายอัดแน่นอยู่ในหัวราวกับสายน้ำหลาก
น้ำตาไหลรินออกมาอาบสองแก้ม มือเล็กยกขึ้นลูบหน้าท้องของตัวเองไปมา หัวใจมีแต่ความเจ็บปวดทรมาน
‘หึ! ผู้หญิงอย่างเธอเคยรับความจริงอะไรบ้าง ทำชั่วๆ แต่ก็ไม่เคยยอมรับว่าทำเลย ผู้หญิงสารเลว! ฉันทั้งเกลียดทั้งขยะแขยงเธอรู้ไหม!’
‘ตอแหล! แค่ฉันต้องรับผิดชอบเธอมันก็ทำให้ชีวิตของฉันดำมืดพอแล้ว นี่เธอยังไปประกาศให้คนอื่นรู้อีกเหรอว่า ฉันพลาดมีอะไรกับผู้หญิงต่ำๆ อย่างเธอน่ะ คงภูมิใจมากสินะ... ’
‘ร้องไห้? จะร้องไห้อะไรนักหนา ฉันเกลียดที่สุดเลย ผู้หญิงขี้แย ตอแหล บีบน้ำตาแบบเธอน่ะ’
คำพูดร้ายกาจของปรมะยังคงวิ่งวนอยู่ในสมองไม่ยอมหยุด และมันก็กลายร่างเป็นมีดแหลมคมทิ่มแทงหัวใจสาวจนพรุนไม่เหลือชิ้นดี
เขาเกลียดหล่อนมาก...
น้ำตาไหลลวกสองแก้มไม่หยุด เจ็บจนไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้อีกแล้ว
“ขออนุญาตค่ะ”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น พร้อมกับเสียงสดใสของนางพยาบาลดังตามมา
ประตูห้องถูกดันให้เปิดกว้างออก นางพยาบาลชุดขาวหิ้วตะกร้าสานใบเล็ก เดินนำนายแพทย์หนุ่มใหญ่เข้ามาหยุดข้างเตียงคนไข้ของหล่อน
นรีกุลรีบป้ายน้ำตาทิ้ง พยายามที่จะฝืนยิ้มให้กับนายแพทย์และนางพยาบาล แต่น้ำตามันก็ยังคงไหลออกมาประจานความอ่อนแออยู่ดี
“คนไข้ยังเจ็บตรงไหนไหมครับ”
“ไม่... ไม่เจ็บแล้วค่ะคุณหมอ”
หล่อนตอบเสียงเจือสะอื้น หล่อนจะพูดในสิ่งที่ตัวเองต้องการออกไป
“คุณหมอคะ ถ้า... ถ้ากุลมีอะไรบางอย่างอยากขอให้คุณหมอช่วย... พอจะได้ไหมคะ...”
“เรื่องอะไรครับ”
นรีกุลมองไปที่นางพยาบาล และนางพยาบาลก็รู้หน้าที่เป็นอย่างดี ไม่นานก็เดินออกไปรอด้านนอกของห้องพักฟื้น
เมื่ออยู่กับคุณหมอตามลำพัง หล่อนก็ค่อยๆ ขยับตัวลุกขึ้น และยกมือขึ้นไหว้ขอร้องคู่สนทนา
“ช่วยบอกกับทุกคนว่ากุล... แท้งลูกแล้วได้ไหมคะคุณหมอ”
สีหน้าของคุณหมอที่แสดงออกมานั้นเต็มไปด้วยความลำบากใจ หล่อนจึงต้องอธิบายออกไปอีกครั้ง
“กุล... อยากเลี้ยงลูกคนเดียว ไม่อยากวุ่นวายกับใครอีกแล้วน่ะค่ะ กุลอยากให้คุณหมอ... ช่วยกุล ได้โปรดเถอะนะคะ”
“แล้วสามีของคุณจะไม่เสียใจหรือครับ”
คงเพราะหล่อนไม่ได้เข้ารักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลที่ปรมินทร์เป็นเจ้าของ ทำให้คุณหมอท่านนี้ไม่รู้ว่าพ่อของลูกในท้องของหล่อนคือใคร
“เขาไม่เสียใจหรอกค่ะ”
หล่อนตอบออกไปแค่นั้น ซึ่งก็ทำให้คุณหมอเข้าใจไปว่า พ่อของเด็กไม่ต้องการเด็กคนนี้
“ได้โปรด... ช่วยกุลด้วยนะคะคุณหมอ”
“เมื่อมันเป็นความต้องการของคนไข้ หมอก็ยินดีทำตามความประสงค์ครับ”
หล่อนยกมือไหว้คุณหมอเจ้าของไข้ด้วยความซาบซึ้งในน้ำใจ
“ขอบคุณคุณหมอมากค่ะ ขอบคุณที่สุดเลยค่ะ”
คุณหมอเจ้าของไข้ระบายยิ้มน้อยๆ แต่สีหน้ายังคงมีความลำบากใจอยู่
หลังจากสอบถามหล่อนอีกสองสามประโยค คุณหมอก็เดินออกไป
เมื่ออยู่ตามลำพัง นรีกุลก็ยิ้มออกมาทั้งๆ ที่น้ำตาไหลอาบสองแก้ม
“กุล... กำลังคืนอิสรภาพให้กับคุณหนึ่งค่ะ”
หล่อนสะอื้นไห้ด้วยความเจ็บปวด ลำคอตีบตัน กระบอกตาร้อนผ่าวเจ็บร้าว
“กุลหวังว่าต่อจากนี้ไป... คุณหนึ่งจะมีความสุข เพราะคุณหนึ่งได้หลุดพ้นจากผู้หญิงที่คุณหนึ่งเกลียดอย่างกุลแล้ว...”
ทำไมหล่อนถึงหยุดร้องไห้ไม่ได้นะ
ทำไมถึงต้องเจ็บจนจุกไปทั้งหัวใจแบบนี้ด้วย
หญิงสาวค่อยๆ ผ่อนกายลงนอนราบกับเตียง พลิกนอนตะแคง ร้องไห้จนเนื้อตัวสั่นเทา ก่อนจะผล็อยหลับไปเพราะความอ่อนเพลีย