ตอนที่ 4

1278 Words
เหล้าแก้วแล้วแก้วเล่าถูกสาดหายเข้าไปในลำคอ ดวงตาคมกริบจ้องมองขึ้นไปบนเพดานห้องซึ่งอยู่ด้านบนของโซฟาตัวยาวที่นอนเอนกายอยู่ สายฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างหนักหน่วง ดังเล็ดลอดเข้ามาในหู รอยยิ้มหยันที่มุมปากหยักสวยผุดขึ้นจางๆ เมื่อนึกถึงนรีกุล “ป่านนี้คงวิ่งไปมุดหัวอยู่ในห้องแล้วล่ะ” น้ำสีอำพันถูกสาดหายเข้าไปในลำคอของ ปรมะครั้งแล้วครั้งเล่า จนในที่สุดก็มึนเมา และเผลอหลับไปบนโซฟานั่นเอง ตรงกันข้ามกับคนตัวเล็กที่ตอนนี้นั่งกอดเข่าอยู่กับพื้นหินหน้าบ้าน สายฝนที่เทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา ทำให้ทุกคนต่างหลบฝนอยู่ในที่ของตัวเอง กายสาวเปียกปอนสั่นเทา น้ำตาที่ไหลรินออกมาผสมผสานกับหยาดพิรุณจนแยกไม่ออกว่าใบหน้านวลเปียกน้ำตาหรือว่าน้ำฝนกันแน่ กลีบปากอิ่มสั่นระริกด้วยความเหน็บหนาว หล่อนเงยหน้ามองตรงไปที่ประตูบ้าน เฝ้ารอให้ ปรมะเดินลงมาหา มาเรียกให้หล่อนเข้าบ้าน อย่างน้อยๆ เขาก็ต้องเป็นห่วงลูกบ้างล่ะ แต่เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง ปรมะก็ยังไม่ปรากฏตัว ทำไมเขาใจร้ายขนาดนี้นะ... หัวใจเจ็บปวดมาก เจ็บจนจุกพูดไม่ออก เสียงสายฟ้าดังกังวานแต่ละครั้งสร้างความหวาดกลัวให้หล่อนมากเหลือเกิน หญิงสาวตัดสินใจว่าจะต้องกลับเข้าไปในบ้านแล้ว ไม่คิดจะรอให้ปรมะออกมารับอีก เพราะเป็นห่วงลูกในท้อง แต่ทันทีที่พยายามพยุงตัวลุกขึ้น สมองของหล่อนก็ดับวูบลงไปในทันที ร่างอรชรนอนราบอยู่กับพื้นหิน ท่ามกลางสายฝนที่เทลงมาอย่างหนักหน่วง ชีวิตของนรีกุลทำไมถึงช่างอาภัพได้ถึงขนาดนี้นะ ชาติที่แล้วหญิงสาวผู้นี้ทำกรรมหนักอะไรเอาไว้กันหนอ... ปรมะรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาบนโซฟานั่นเอง มือใหญ่ยกขึ้นกุมศีรษะเอาไว้ เพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่ซัดเข้าไปเมื่อคืนมันรุนแรงเหลือเกิน รุนแรงจนรู้สึกปวดหนึบไปทั้งศีรษะ เขาใช้เวลาสักพักก็สามารถควบคุมตัวเองได้ และสิ่งแรกที่ชายหนุ่มนึกถึงก็คือนรีกุลนั่นเอง เขาลุกขึ้นและเดินไปแหวกม่านหน้าต่างมองลงไปยังพื้นด้านล่าง ที่คิดว่านรีกุลออกไปยืนเมื่อคืน มีแต่ความว่างเปล่า... รอยยิ้มหยันผุดขึ้นบนใบหน้าหล่อจัดของ ปรมะ เพราะเขาคิดว่าตอนนี้นรีกุลคงกำลังนอนหลับปุ๋ยอยู่บนเตียงในห้องพักของตัวเองแล้ว “ทำเป็นอวดเก่ง ไม่เห็นเก่งเหมือนปากเลย” แล้วชายหนุ่มก็หมุนตัวเดินเข้าไปในห้องน้ำ อาบน้ำเสร็จเรียบร้อยก็ลงมายังชั้นล่าง เจอกับส้มแป้นเข้าพอดี “รับอาหารเช้าเลยไหมคะคุณหนึ่ง” “อืม” ชายหนุ่มเข้าไปนั่งในห้องอาหาร หยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาเปิดอ่าน “อาหารเช้าค่ะคุณหนึ่ง” ส้มแป้นวางอาหารเช้าตรงหน้าของเจ้านายหนุ่ม ก่อนจะถอยออกไปยืนอยู่ด้านข้าง แต่กระนั้นก็ทำเสียงอ้ำๆ อึ้งๆ จนปรมะต้องปรายตามองด้วยความรำคาญ “จะพูดอะไรก็พูดมาสิ อึกอักทำไม” “เอ่อ...” “ถ้าจะไม่พูดก็หุบปากไป” “คือ... ตอนนี้คุณกุลอยู่โรงพยาบาลค่ะคุณหนึ่ง” สีหน้าเย็นชาของปรมะจางหายไปในทันที แววตาของเขามีความตกใจ แต่ไม่นานมันก็ถูกความมืดดำเข้าครอบงำทั้งหมด “สำออยล่ะสิ” “คุณกุลไม่ได้สำออยนะคะ แต่เมื่อตอนดึกๆ ป้าแววแกกลับเข้ามาที่บ้าน แล้วเจอคุณกุลนอนสลบตากฝนอยู่หน้าบ้านนะค่ะ” “ว่าไงนะ” ปรมะพยายามควบคุมน้ำเสียงของตัวเอง แต่ยากจริงๆ “คือ... หนูก็ไม่รู้ว่าทำไมคุณกุลไปนอนสลบอยู่หน้าบ้านตอนฝนตกๆน่ะค่ะ” คำพูดซ้ำเป็นครั้งที่สองของสาวใช้ ทำให้ปรมะรู้สึกเหมือนถูกค้อนทุบแรงๆ ที่ท้ายทอย ขนมปังที่กัดเอาไว้ในปากรอเคี้ยว ตอนนี้ไร้รสชาติลงอย่างสิ้นเชิง นี่มันอะไรกัน ผู้หญิงบ้าคนนั้นออกไปนั่งตากฝนอย่างที่พูดจริงๆ เหรอ มือใหญ่กำแน่น ก้อนเนื้อในหัวใจเต้นแรงมาก และก็รู้สึกละอายใจไม่น้อย “คุณหนึ่งจะไปเยี่ยมคุณกุลเหรอคะ” ส้มแป้นรีบถาม เมื่อเห็นปรมะผุดลุกขึ้นยืน “ฉันจะไปมหา’ลัย” สีหน้าของส้มแป้นเต็มไปด้วยความแปลกใจระคนไม่เข้าใจ “แต่ว่าคุณกุลอยู่โรงพยาบาลนะคะ...” “แล้วไง ฉันเป็นหมอหรือถึงจะช่วยอะไรแม่นั่นได้ ฉันเป็นอาจารย์ ฉันทำได้แค่สอนหนังสือ...” ปรมะกล่าวทิ้งท้ายเสียงกระด้าง ก่อนจะรีบเดินออกไป ท่ามกลางสายตาผิดหวังของส้มแป้นที่มองตามไป “ทำไมคุณหนึ่งใจร้ายกับคุณกุลจัง” เมื่อเข้ามาอยู่ในรถ สีหน้าที่เคยเคลือบด้วยความเย็นชาประดุจน้ำแข็งก็ค่อยๆ ถูกความเคร่งเครียดกลืนกิน “ทำบ้าอะไรของเธอ นี่ถ้าลูกฉันเป็นอะไรไป ฉันเอาเธอตายแน่ นรีกุล” กรามแกร่งขบกันแน่น ในอกก็อดเป็นห่วงหญิงสาวไม่ได้ แต่กระนั้นเขาก็แก้ตัวกับตนเองว่า ที่เขาเป็นห่วงนรีกุล เพราะเขากลัวว่าลูกในท้องของหล่อนจะไม่ปลอดภัยต่างหากล่ะ รถหรูสีดำสนิทแล่นออกจากคฤหาสน์หลังงาม ในระหว่างนั้นเขาก็กดต่อสายหาน้องชาย ที่ตอนนี้กำลังไปฮันนีมูนกับภรรยาที่ภาคใต้ของประเทศไทย “สองกลับบ้านวันไหนน่ะ” “บินกลับพรุ่งนี้เช้าครับพี่หนึ่ง มีอะไรหรือเปล่าครับ” เสียงอิ่มเอมความสุขของน้องชาย ทำให้ปรมะอดยินดีด้วยไม่ได้ เขาดีใจมากที่ปรมินทร์มีครอบครัวที่สมบูรณ์และมีความสุขเช่นนี้ “เอาไว้นายกลับมาแล้วพี่ค่อยบอกดีกว่า” “อย่าเลยครับพี่หนึ่ง ผมอยากรู้ มีอะไรก็บอกได้เลยครับ” ปรมินทร์โอดครวญมาตามสาย เพราะถ้าพี่ชายไม่ยอมบอก เขาคงนอนไม่หลับเพราะความอยากรู้แน่ๆ “คือตอนนี้นรีกุลอยู่โรงพยาบาลน่ะ” “อ้าว น้องกุลเป็นอะไรหรือครับ” “ไม่สบายน่ะ พี่อยากให้แกถามหมอเจ้าของไข้หน่อยว่าลูกของพี่เป็นยังไงบ้าง” “พี่หนึ่งอย่ามาปากแข็งสิครับ พี่เป็นห่วงน้องกุลเหมือนกัน ใช่ไหมครับ” “พี่เกลียดแม่นั่น คนที่พี่เป็นห่วงคือลูกเท่านั้น นายถามให้หน่อยว่าลูกพี่ปลอดภัยดีไหม แล้วส่งข้อความบอกพี่ด้วยล่ะ” “อ้าว แล้วพี่หนึ่งไม่ไปเยี่ยมที่โรงพยาบาลเลยล่ะครับ จะได้เห็นกับตาตัวเอง” “พี่มีงานต้องทำ และงานของพี่ก็สำคัญกว่าผู้หญิงคนนั้นมาก” ปรมินทร์ถอนใจออกมาอย่างอ่อนอกอ่อนใจ “ก็ได้ครับ งั้นผมได้ข่าวแล้วจะส่งข้อความไปบอกนะครับพี่หนึ่ง” “ขอบใจมาก” หลังจากปรมะวางสายไปแล้ว วาสินีที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็อดพูดขึ้นด้วยความสงสารนรีกุลไม่ได้ “พี่หนี่งผู้อ่อนโยนหายไปไหนแล้วคะเนี่ย ทำไมใจร้ายกับคุณกุลจังเลย” ปรมินทร์เองก็รู้สึกสงสารนรีกุลมากไม่ต่างจากภรรยาเลย “ผมก็ไม่รู้จะช่วยน้องกุลยังไงแล้วครับ พี่หนึ่งแค้นฝังใจมาก” “วาสงสารคุณกุลจัง เธอกำลังท้องกำลังไส้ด้วย...” ปรมินทร์ฝืนยิ้มออกมา ก่อนจะต่อสายหาคุณหมอที่โรงพยาบาลของตัวเองเพื่อถามอาการของ นรีกุลตามที่พี่ชายต้องการ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD