สิ้นเสียงของฟ่านเทียนเผยสีหน้าของแต่ละคนกลับดูไม่ได้ ตระกูลฟ่านยอมรับหลานเขยที่เคยมีฐานะเป็นบ่าวในจวนสกุลเหอ แต่ทางตระกูลเหอกลับทอดทิ้งบุตรสาวและบุตรเขยโดยให้ทั้งสองย้ายออกมาอยู่จวนของมารดาผู้ล่วงลับกันเพียงสองคน และคล้ายกับตัดขาดกับบุตรสาวคนนี้
ทำให้พวกเขาพอจะรู้แล้วว่าคุณชายรองฟ่านเรียกพวกเขามาด้วยเรื่องอันใด
นี่คงหมายให้พวกเขารู้ว่าตระกูลฟ่านรับหลานเขยคนนี้แล้ว และไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับสกุลเหออีก
“วันนี้ข้าไม่อาจจะรั้งพวกท่านไว้นาน แต่เพียงข้าต้องการจะบอกข่าวเรื่องหลานเขยของท่านปู่ และท่านย่าเท่านั้นเอง แล้วข้าขอประกาศว่าสกุลฟ่านและสกุลเหอไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันอีก แม้ว่าคนในตระกูลเหอจะอ้างด้วยเรื่องอันใด ข้าและคนในสกุลฟ่านไม่ขอรับรู้ใด ๆ”
อาเฟยมองเห็นสีหน้าของแต่ละคนที่ดูแทบไม่ได้ แทบจะหลุดยิ้มออกมา ยิ่งเห็นใบหน้าที่เคร่งขรึมของพี่ต่างแซ่ภรรยายิ่งอยากจะหลุดยิ้ม
“และตัวข้ามีเรื่องสำคัญที่จะกล่าวเช่นกัน”
อาเฟยกวาดสายตามองเหล่าบรรดาใต้เท้าที่นั่งหน้าซีดด้วยใบหน้าที่เย็นชา
“ตั้งแต่ที่ข้าและฮูหยินก้าวเท้าออกมาจากสกุลเหอ นั่นหมายความว่าฮูหยินของข้าไม่มีส่วนใด ๆ กับการกระทำของเสนาบดีเหอเช่นกัน หวังว่าพวกท่านจะเข้าใจ และเอาคำพูดของข้าไปแจ้งกับเหล่าสหายของท่าน”
“เจ้ามีสิทธิ์อันใดมากล่าวข่มขู่พวกเราเช่นนี้ เจ้าเป็นเพียงบ่าวท้ายจวนที่จับหงส์อย่างคุณหนูใหญ่เหอได้เท่านั้น”
ใต้เท้าก้านลุกขึ้นยืนชี้หน้าใคร่ไม่พอใจ เมื่อตีความหมายคำพูดของอาเฟย
“ตัวข้าย่อมไม่กล้าที่จะข่มขู่ท่าน แต่ในฐานะของนายท่านหอมู่ตานทั้งสอง ท่านคิดว่าข้ากล้าหรือไม่เล่า ทางที่ดีท่านเก็บคำกลืนลงคอไปเสียเถอะ และหากฐานะของข้าเปิดเผยออกไป พวกใต้เท้าที่อยู่ในห้องนี้ก็อย่าฝันว่าจะมีชีวิตที่สงบอีกเลย หอมู่ตานของข้าพร้อมที่จะขุดคุ้ยทุกสิ่งที่ท่านได้กระทำทั้งในเวลานี้และในอดีตที่ผ่านมา”
หลังจบคำสนทนาของอาเฟยใบหน้าของเหล่าใต้เท้าเหลือไม่ถึงคืบ คุณชายรองฟ่านเรียกให้พวกเขามาตายชัด ๆ
แม้ว่าหอขายข่าวมู่ตานเปิดได้ไม่นาน แต่หอประมูลมู่ตานใครบ้างไม่รู้ถึงกิตติศัพท์ แม้เป็นเพียงแค่หอประมูลแต่มีแทบทุกหัวเมืองใหญ่ในแคว้นหลาน
“เจ้าอย่าพูดให้ท่านใต้เท้าเหล่านี้กลัวเลย พวกเราเป็นเพียงพ่อค้าหรือจะไปสู้กับเหล่าขุนนางในราชสำนัก พวกท่านว่าจริงหรือไม่”
ฟ่านเทียนเผยพูดคล้ายกับเกรงกลัวเหล่าขุนนางที่อยู่ตรงหน้า แต่แววตาของเขากลับไม่มีความกลัวเลยแม้แต่น้อย
“เช่นนั้นพวกข้าต้องขอตัวก่อนนะขอรับ”
อาเฟยหันมายิ้มและกล่าวขอตัว เขาตั้งใจว่าจะรีบกลับไปหาภรรยาที่นอกเมือง แม้ว่าจะนัดหมายกันมาพบที่จวนฟ่านก็ตาม
ทางด้านเหอหลันฮวา หลังจากที่เดินทางมาถึงที่ดินนอกเมือง นางมองดูแล้วแม้ว่าการค้าจะไม่ครึกครื้น แต่ทว่าเดินทางอีกไม่ถึงสองเค่อก็จะมีท่าเรือ และร้านค้ามากมายรวมอยู่ในนั้น หากนางต้องการสร้างหอการค้าตรงนี้ย่อมต้องมีบรรดาพ่อค้ามาจับจองพื้นที่เป็นแน่ เพราะที่ดินของนางเป็นผืนใหญ่เมื่อไหร่ที่สร้างเสร็จย่อมต้องสะดุดตาผู้คนไม่น้อย
“จื่อกวง กลับไปแล้วเจ้าจงไปติดต่อผู้รับเหมาให้ไปพบข้าที่จวนในอีกสามวัน ข้าขอเวลาร่างตึกที่ข้าต้องการก่อนก็แล้วกัน”
“ขอรับฮูหยิน”
“จริงสิ เหล่าองครักษ์ที่พวกเจ้ากำลังฝึกซ้อม ทั้งหมดพร้อมจะเริ่มทำงานได้เมื่อใด ข้าคิดว่าหลังจากนี้ ท่านพี่หรือว่าข้าต้องมีคนคุ้มกันเสียที พวกเจ้าย่อมเห็นอาการและสีหน้าของคนผู้นั้นใช่หรือไม่”
เหอหลันฮวาเป็นห่วงที่สุดคืออาเฟยของนาง การไปกับพี่รองฟ่านในวันนี้ ย่อมเป็นการเปิดเผยฐานะของเจ้าของหอมู่ตาน นางกลัวว่าจะมีคนกล้าลองดีเล่นงานสามีของนาง
“ขอรับฮูหยิน องครักษ์พร้อมทำงานแล้วขอรับ มีส่วนหนึ่งที่บ่าวฝึกให้เป็นองครักษ์เงา กลุ่มนี้ยังไม่พร้อมขอรับ”
การฝึกองครักษ์เงานั้นไม่ยาก แต่การที่จะมาเป็นองครักษ์เงานั้นไม่ง่าย หากเขาไม่ฝึกซ้อมและฝึกฝนให้อย่างหนักย่อมไม่เป็นผลดีต่อการมาคุ้มครองเจ้านายทั้งสอง
เหอหลันฮวามองด้วยความแปลกใจ การฝึกองครักษ์นางพอจะรู้ดี แต่การฝึกองครักษ์เงานั้นไม่ง่ายเลย ตระกูลฟ่านเองดีที่ท่านลุงเป็นแม่ทัพใหญ่จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะฝึกองครักษ์เงา
แต่สี่พี่น้องแซ่จื่อคือบ่าวที่ซื้อมาจากโรงค้าทาส จึงน่าแปลกใจไม่น้อยที่ทั้งสี่คนมีความสามารถฝึกองครักษ์เงา
เหอหลันฮวาใช้เวลาตรวจดูที่ดินเกือบหนึ่งชั่วยามจากนั้นจึงชวนทุกคนกลับเพื่อมารออาเฟยที่จวนตระกูลฟ่าน
รถม้าของเหอหลันฮวาเคลื่อนตัวมาได้ไม่นาน จื่อหลงจึงมองหน้าน้อง ๆ ทั้งสามคนและจับกระชับดาบที่อยู่ข้างเอวแน่น
“หลันจิง อย่าให้ฮูหยินออกมาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม”
เหอหลันฮวาได้ยินคำพูดของจื่อหลง จึงทำเพียงนิ่งสงบ และมองหน้าหลันจิงเพื่อไม่ให้สาวใช้ข้างกายตื่นตระหนก
แต่แล้วไม่นานกลับมีกลุ่มนักฆ่าเข้ามาดักหน้ารถม้าไว้หลายสิบคน คล้ายกับไม่ต้องการให้ผู้ใดมีชีวิตรอดกลับไปได้
“หากไม่อยากตายจงทิ้งสตรีที่อยู่ในรถม้าเสีย แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า” บุรุษที่ดูคล้ายจะเป็นหัวหน้ากล่าวขึ้น
“เจ้าคิดว่าเราสี่พี่น้องโง่เขลาถึงต้องเชื่อคำพูดของพวกเจ้าเชียวหรือ ในเมื่อพวกเจ้ารับเงินมาแล้วย่อมต้องไม่ปล่อยให้ใครมีชีวิตรอด ดังนั้นพวกเจ้าอย่าพูดอีกเลย ลงมือเถอะ”
จื่อหลงกล่าว เขาไม่มีทางเชื่อว่านักฆ่าพวกนี้จะยอมปล่อยพวกเขาไป ต่อให้ปล่อยไปจริง ๆ เขาไม่มีทางยอมเพราะพวกเขามีหน้าที่ปกป้องฮูหยินที่เป็นยอดดวงใจของนายท่าน ต่อให้พวกเขาต้องตายฮูหยินจะต้องปลอดภัย
การต่อสู้ระหว่างกลุ่มของนักฆ่ากับกลุ่มของจื่อหลงเป็นไปอย่างดุเดือด แม้ไม่อยากฆ่าก็ต้องฆ่า เพราะไม่เช่นนั้นคนที่ต้องตายคือพวกเขา
จื่อกวงใช้ทีเผลอส่งสัญญาณขึ้นฟ้าเพราะดูเหมือนว่าต่อให้พวกเขาฆ่าพวกมันไปมากเท่าไร แต่กลับมีกลุ่มนักฆ่าเพิ่มขึ้นมาอีกเรื่อย ๆ ต่อให้ทั้งสี่คนเคยผ่านสงครามและการรบราฆ่าฟัน แต่ด้วยจำนวนคนที่น้อยกว่าเกือบสิบเท่าทำให้ตึงมือไม่น้อย
แต่แล้วอยู่ ๆ กลับมีกลุ่มของเว่ยอิ้งเหมยผ่านทางมาที่นี่พอดี
“เกิดอะไรขึ้น” เว่ยอิ้งเหมยนั่งอยู่บนรถม้า นางได้ยินคล้ายเสียงการต่อสู้ดังอยู่ด้านหน้า
“มีการต่อสู้กันครับ คล้ายจะเป็นคุณหนูหรือฮูหยินของจวนใดจวนหนึ่งขอรับคุณหนู”
องครักษ์ประจำกายรายงาน
“พวกเจ้ารีบไปช่วยเถอะ ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะตึงมือไม่น้อย”
เว่ยอิ้งเหมยไม่เห็นใบหน้ากลุ่มของผู้ที่โดนทำร้าย จึงไม่รู้ว่าเป็นผู้ใด แต่ก็เลือกให้องครักษ์ทั้งหมดรีบเข้าไปช่วย ส่วนนางเองก็จับกระบี่อ่อนที่ซ่อนอยู่ตรงเอวทะยานพุ่งตรงไปเช่นกัน
ทว่าเมื่อกลุ่มของเว่ยอิ้งเหมยเห็นใบหน้าของจื่อหลงทั้งหมดได้แต่อ้าปากค้างและทำท่าจะเรียกทั้งสี่คนด้วยความดีใจ แต่จื่อหลงและน้องทั้งสามคนกลับส่ายหน้าไม่ให้เรียก
แม้จะแปลกใจแต่เว่ยอิ้งเหมยกลับยอมทำตามแต่โดยดี อย่างน้อยนางก็พบเจอองครักษ์ของพี่ชายแล้ว การที่จะสืบหาพี่ชายของนางย่อมไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปและหวังว่ารัชทายาทแคว้นเว่ยยังมีชีวิตอยู่
เสียงกระบี่กระทบกันไม่หยุด ร่างของนักฆ่าร่วงหล่นคล้ายกับใบไม้ แต่เมื่อกลุ่มนี้สิ้นใจกลับมีกลุ่มใหม่เพิ่มเข้ามาเรื่อย ๆ
ทว่าเมื่อมีกลุ่มของเว่ยอิ้งเหมยมาช่วยทำให้องครักษ์ทั้งสี่ของเหอหลันฮวาไม่ตึงเครียดเท่ากับก่อนหน้านี้