เกาโหลวรู้ดีว่าชาวบ้านยังคงกลัวความแปลกประหลาดของเกาะลอยอยู่ เขาตัดสินใจคว้าองุ่นลูกหนึ่งส่งเข้าปากเคี้ยวกินต่อหน้าสมาชิกในหมู่บ้านเป็นการทดสอบทันที
“โอ เยี่ยมจริงๆ อร่อยมาก เนื้อก็เยอะ” เกาโหลวเอ่ยชมไม่ขาดปาก ทั้งยังรู้สึกว่าตนเองก็ปลอดภัยไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใดจากองุ่นผลนี้
“พวกท่านมีเรือมิใช่หรือขอรับ พายตามเราสองคนกลับไปที่เกาะสิ เราจะขอเอาผลไม้บนเกาะแลกเปลี่ยนกับข้าวของเครื่องใช้หรือไม่อย่างนั้นข้าก็ขอแลกเปลี่ยนเป็นเงิน จะได้หาซื้อของได้เองในภายหลัง” มู่สี่เสินตาเป็นประกายเมื่อเห็นว่าหัวหน้าหมู่บ้านเอ่ยชมผลไม้บนเกาะ เขาค้นพบช่องทางการค้าหาเงินมาใช้ได้แล้ว!
“เจ้าแน่ใจจริงๆ หรือว่าจะกลับไปที่นั่น ข้าก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้เจ้าฟังแล้วอย่างไร หากกลับไปแล้วเจ้าถูกกระแสน้ำกลืนกินไปเล่า?” เกาโหลวพยายามชักจูงมู่สี่เสินเต็มกำลัง นึกห่วงความปลอดภัยของสองพี่น้องด้วยคุณธรรมน้ำมิตร
“มีอะไรต้องกลัวกันท่านอา ที่นั่นปลอดภัยอย่างแน่นอน สัตว์ป่าดุร้ายสักตัวก็ไม่มี มีเพียงสัตว์เล็กๆ อย่างไก่ป่า กระรอก กระต่ายอะไรพวกนี้เท่านั้น เสียดายที่ข้าจับพวกมันมาเป็นอาหารไม่ได้” ยิ่งพูดมู่สี่เสินยิ่งรู้สึกหงุดหงิด หากตนมีอาวุธสักหน่อย เจ้าตัวเล็กเหล่านั้นก็เป็นอาหารอันโอชะและอาจสร้างรายได้ ได้อีกทางเลยทีเดียว
กลุ่มสตรีที่หายเข้าไปในหมู่บ้านก่อนหน้านี้กลับมาพร้อมกับเสื้อผ้าขนาดที่มู่สี่เสินและมู่เหยาจีสวมใส่ได้คนละ 2 ชุด พร้อมกับหวีไม้เล่มหนึ่ง นอกจากนี้พวกเขายังได้รับถ้วยชามตะเกียบ กระทะใบเล็กบิดเบี้ยวเล็กน้อย 1 ใบ ตะกร้าสานสองขนาดและถังไม้สำหรับตักน้ำอีก 1 ใบอีกด้วย
สี่เสินจัดการให้สตรีเหล่านั้นเลือกปลาและผลไม้เป็นของแลกเปลี่ยนกันตามใจชอบ สร้างความอิจฉาตาร้อนกับชาวบ้านคนอื่น ๆ ไม่น้อย
“บนเกาะจิงเหมินมีหมู่บ้านชาวประมงทั้งหมด 4 หมู่บ้านกระจายอยู่รอบเกาะ สิ่งที่พวกเราขาดแคลนย่อมเป็นผักผลไม้ที่ไม่สามารถปลูกได้บนเกาะ ถ้าพวกเจ้ากลับไปแล้วเอามาขายให้เราได้อีก เราก็จะรับซื้อเอาไว้ทั้งหมด หรือหากมีอะไรที่เจ้าสองคนพี่น้องต้องการแลกเปลี่ยนพวกเราก็จะจัดเตรียมเอาไว้ให้ ตกลงไหม"
เกาโหลวเห็นว่ารั้งตัวสองพี่น้องเอาไว้ไม่ได้ เขาจึงตัดสินใจจะส่งตัวเด็กๆ กลับไป หากสองพี่น้องอยู่รอดปลอดภัย ตนก็หวังเหลือเกินที่จะได้รับส่วนแบ่งผลไม้เลิศรสบนเกาะเหล่านั้น
มู่สี่เสินหันไปมองแพที่ถูกมัดอย่างง่ายๆ จากท่อนไม้และเถาวัลย์ เขาต้องขยายมันให้ใหญ่กว่าเดิม ต้องใช้เวลาอีกกี่วันกันนะจึงจะรวบรวมท่อนไม้มาได้อีกครั้ง
เกาโหลวมองตามสายตาของเด็กหนุ่มก็เข้าใจได้ “ข้ามีเรือเก่าอยู่ลำหนึ่ง ครั้งนี้จะให้เจ้าขอยืมไปใช้ก่อน จะได้ขนเอาผลไม้กลับมาอีกครั้งได้ง่ายขึ้น”
“ขอบคุณท่านอาเกา ข้าคงต้องขอให้ท่านช่วยตีราคาผลไม้แต่ละชนิดให้เราด้วยขอรับ เราต้องใช้ผลไม้มากเพียงใดจึงจะซื้อเรือของท่านได้ลำหนึ่ง” ไม่มีสิ่งใดที่มู่สี่เสินอยากได้มากเท่ากับเรืออีกแล้ว เขาต้องการติดต่อกับชาวบ้าน ต้องการใช้เรือในการขนส่งสินค้าบนเกาะออกมาขาย
“เรือลำนั้นถึงแม้จะเก่าแต่ก็ยังใช้งานได้อยู่ ข้าไม่ได้คิดจะขายมันออกไปแต่อย่างใด แต่หากเจ้าต้องการใช้มันจริงๆ ข้ามีเรื่องจะขอร้องสักประโยคได้หรือไม่”
“ท่านอาเราเหมือนคนที่ท่านจะขอความช่วยเหลือได้ที่ใดกันขอรับ ขอเพียงท่านอาบอกมาเถิดอะไรที่ข้ากับน้องสาวทำได้ข้ายินดี”
“หากเจ้าสองคนอยู่รอดปลอดภัยเข้าออกเกาะลอยได้จริงๆ ขอให้เจ้าขายผลไม้บนเกาะให้กับหมู่บ้านของข้าเพียงแห่งเดียวเป็นการแลกเปลี่ยนกับเรือลำนี้โดยไม่คิดเงิน”
เกาโหลวรู้สึกละอายใจอยู่เล็กน้อย แต่ทำอย่างไรได้เล่า เกาะจิงเหมินมีหมู่บ้านชาวประมงถึง 4 หมู่บ้านอาศัยอยู่รวมกัน ทุกครอบครัวหาเลี้ยงปากท้องด้วยการเป็นชาวประมงเป็นหลัก แต่จำนวนปลาในทะเลก็หายากมากขึ้น พวกเขาเป็นเพียงชาวบ้านที่มีเพียงเรือลำเล็กไม่สามารถออกไปหาปลาในมหาสมุทรที่ไกลกว่านี้
หากหมู่บ้านจิงไห่ของตนมีโอกาสได้นำผลไม้ออกไปขายให้หมู่บ้านที่เหลืออีกสามหมู่บ้าน หรือหากผลไม้มีจำนวนมากเท่าภูเขาอย่างที่มู่เหยาจีกล่าวจริงๆ ก็ยังแบกใส่เรือนำไปต่อขายให้ชาวบ้านที่แผ่นดินใหญ่ได้อีกทาง
“นั่นไม่ใช่เรื่องยากเลยขอรับ คนในหมู่บ้านของท่านมีน้ำใจกับพวกเราไม่น้อย ข้ารับรองว่าพรุ่งนี้ข้าจะกลับมาอีกครั้งพร้อมกับผลไม้เต็มลำเรือ” มู่สี่เสินตกปากรับคำอย่างมั่นใจ
ช่วงเวลาที่ตื่นเต้นเร้าใจที่สุดของคนทั้งหมู่บ้านจิงไห่แห่งเกาะจิงเหมิน ย่อมเป็นช่วงเวลาที่จะได้เห็นสองพี่น้องเดินทางกลับไปที่เกาะลอยตามเดิม
เกาโหลวกับบุรุษชาวประมงที่กล้าหาญอีก 5 คนนำเรือ 3 ลำติดตามเรือเก่าของสองพี่น้องไปห่างๆ เพื่อคอยให้ความช่วยเหลือหากเกิดเหตุร้ายแรงกับมู่สี่เสินและมู่เหยาจี
เมื่อใกล้เกาะลอยมากขึ้นไปทุกที เรือทั้งสามลำก็หยุดลอยลำคอยดูสถานการณ์ด้วยหัวใจที่เต้นกระหน่ำ ทั้งหวาดกลัวแทนสองพี่น้องแซ่มู่ ทั้งอยากเห็นกับตาว่าเกาะลอยจะเคลื่อนตัวหนีพวกเขาหรือจะทำปาฏิหาริย์อันใดที่ร้ายแรงขึ้นมาหรือไม่
“พี่สี่เสินคิดว่าเรื่องที่พวกเขากล่าวเป็นเรื่องจริงหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่รู้สิเหยาจี เวลานี้พวกเราก็ปลอดภัยดีไม่ใช่หรือ แต่ก็เห็นๆ อยู่ว่าบนเกาะไม่เคยมีคนขึ้นมาเก็บผลไม้เหล่านั้น ไม่มีร่องรอยของการสร้างที่อยู่อาศัยมาก่อน ก็อาจจะจริงกระมัง เจ้าอย่าลืมสิ เราสองคนก็เป็นตัวตนที่มนุษย์ไม่เคยพบเห็นมาก่อนเช่นกันนะ อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้นล่ะ เจ้าระวังตัวด้วย หากเกิดอะไรขึ้นก็กอดท่อนไม้เอาไว้ให้แน่นแล้วรีบว่ายน้ำกลับไปหาพวกเขา”
เรือเก่าของเกาโหลวมีน้ำหนักเบา ไม้พายที่ได้มาพร้อมกับเรือก็ใช้การได้ดีกว่าการใช้ท่อนไม้ถ่อแพมาในคราวแรกหลายเท่าตัว ขากลับมู่สี่เสินถึงกับรู้สึกว่าแม้แต่กระแสน้ำก็ยังเป็นใจกับพวกตน เขาไม่ได้เหน็ดเหนื่อยเหมือนกับคราวแรก เรือก็แล่นตรงเข้าไปยังเกาะลอยราวกับมีคนช่วยลากจูงลำเรือให้แล่นเร็วขึ้น
เกาโหลวเห็นทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตาตนเอง เหลือระยะทางอีกเพียงไม่ถึงครึ่งลี้เด็กแซ่มู่สองคนก็จะถึงชายหาดทรายสีขาวสะอาดอยู่แล้ว
เขาขยับไม้พายในมือเคลื่อนตัวเรือเข้าไปใกล้เกาะลอยมากกว่าเดิม
“ไม่แน่ว่าอาถรรพ์ที่เคยเป็นตำนานในอดีตจะถูกลบล้างไปแล้วก็ได้ เราอาจไปถึงเกาะลอยได้เช่นเดียวกับพวกเขา”
กล่าวยังไม่ทันสิ้นคำ เบื้องหน้าของเรือสามลำจากเกาะจิงเหมินก็ต้องพบเจอกับกระแสคลื่นใต้น้ำที่ปั่นป่วนกะทันหันอย่างไร้ร่องรอย ลมทะเลที่นิ่งสนิทผืนน้ำที่เคยสงบราบเรียบอยู่เมื่อครู่ อยู่ดีๆ ก็เกิดคลื่นขนาดใหญ่ออกมาขวางกั้นเส้นทางระหว่างเรือของพวกเกาโหลวกับเกาะลอยเอาไว้
“กลับเร็ว พายกลับเร็วเข้า! รีบออกไปจากที่นี่!” บุรุษร่างใหญ่ 6 คน จ้ำพายกันไม่ยั้งมือ ไม่กล้าแม้แต่จะหันหลังกลับไปมองความปลอดภัยของเด็กสองคนด้วยซ้ำ
พวกเขาถอยกลับมาได้ระยะหนึ่งผืนน้ำก็กลับมาเรียบนิ่งดังเดิม เกาโหลวถึงกับหน้าซีดเผือด หันไปมองสหายทั้ง 5 ด้วยใบหน้าตื่นตระหนก
มองกลับไปที่เกาะลอยอีกครั้ง มู่สี่เสินกำลังลากเรือขึ้นไปไว้บนหาดทราย ส่วนมู่เหยาจีก็โบกมือสองข้างไปมาเป็นการบอกกล่าวถึงความปลอดภัย
“แค่พวกเขาสองคนจริงๆ ที่เหยียบย่างไปยังเกาะแห่งนั้นได้” เกาโหลวไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อ คลื่นบ้าอะไรจะเกิดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ซ้ำยังเฉพาะเจาะจงเข้ามาขวางกั้นเรือสามลำของพวกตนเท่านั้น เรื่องนี้อัศจรรย์เกินกว่าที่พวกเขาคิดเอาไว้มากนัก
เหตุการณ์ทางด้านของเกาโหลว มู่สี่เสินกับมู่เหยาจีต่างก็ได้เห็นกับตาเช่นกัน คลื่นใหญ่เกิดขึ้นเฉพาะบริเวณที่เรือสามลำลอยอยู่อย่างเห็นได้ชัด ตำนานเรื่องเกาะลอยน่าจะเป็นจริงแล้ว แต่เหตุใดจึงไม่เกิดอะไรกับพวกตนแม้แต่นิด? สองพี่น้องได้ครุ่นคิดในใจ
“เป็นอย่างนี้ก็ดีแล้ว มนุษย์ไม่ได้มีเพียงแค่สี่หมู่บ้านบนเกาะจิงเหมิน ตราบใดที่มีเฉพาะเราสองคนที่เข้าออกที่นี่ได้ เราก็จะปลอดภัยจากอันตรายรอบด้าน” มู่สี่เสินยิ้มกว้างออกมาได้ในที่สุด การค้าที่มีเฉพาะตนที่จะทำได้เพียงผู้เดียวไม่น่าดีใจหรอกหรือ?
“ข้าแทบจะทนไม่ไหวแล้วพี่สี่เสินเรื่องอื่นข้าไม่สนใจ ขอเพียงได้อาบน้ำสวมใส่เสื้อผ้าที่สะอาด เท่านี้ข้าก็พอใจแล้ว" มู่เหยาจีหอบเอาตะกร้าสานที่บรรจุเสื้อผ้าสามชุดของตน วิ่งเข้าไปแนวป่าเป้าหมายเป็นลำธารกระจ่างใสทันที
มู่สี่เสินมองตามร่างเล็กที่วิ่งพรวดพราดออกไปด้วยความขุ่นเคืองใจเล็กน้อย เหยาจีอายุ 12 ปี อีกไม่นานก็จะเติบโตไปตามวัย กิริยาของนางอย่าว่าแต่เป็นมนุษย์เลย อยู่บนแดนสวรรค์ก็ยิ่งไม่งาม แต่จะให้เขาสั่งสอนน้องสาวอย่างไรเล่า ตนเองก็เป็นบุรุษ เรื่องใดควรสอน สอนอย่างไร เด็กหนุ่มสับสนเหลือเกินแล้ว
มู่สี่เสินเอาเชือกที่ติดกับตัวเรือมาผูกไว้กับโขดหินริมชายหาดเอาไว้จนแน่น ทยอยขนของที่เหลือไม่กี่ชิ้นขึ้นมากองไว้ที่แนวชายป่า เขายังไม่คิดกลับเข้าไปในป่าจนกว่าน้องสาวจะอาบน้ำชำระร่างกายเสร็จ และนี่ก็เป็นกฎเดียวกันกับที่ตนสอนเหยาจี ว่าหากพี่ชายจะอาบน้ำ นางก็ต้องรออยู่ในถ้ำห้ามออกมาจนกว่าเขาจะกลับเข้าไปเช่นกัน