เมื่อเวลาผ่านไปใกล้ปิดร้าน มินตรานำทุกอย่างไปล้าง ก่อนจะนำมาเก็บเข้าที่ ส่วนเข็มทิศก็ช่วยเก็บกวาดและจัดเก้าอี้อย่างเรียบร้อยก่อนจะเดินเข้ามาหามินตรา
“เหนื่อยไหม” มันเป็นคำถามสั้นๆ ที่มินตราโคตรจะรู้สึกดีเลย เธอไม่ได้ยินคำถามแบบนี้มานานมากแล้ว และไม่รู้ด้วยว่าครั้งสุดท้ายเธอได้ยินจากใคร เธอซึ้งในน้ำใจของเข็มทิศเป็นอย่างมาก
“ไม่เหนื่อยหรอกวันนี้ลูกค้าเยอะมาก ขนาดวันแรก ฝีมือนายใช่ไหม ยังไงก็ขอบคุณนะ” เข็มทิศเลื่อนเก้าอี้มานั่งข้างๆ มินตรา เขาไม่รู้ว่าโชคชะตาจะเล่นตลกอะไรกับเขาอีก แต่ที่เขารู้คือเขาจะไม่ปล่อยโอกาสนั้นให้มันหลุดลอยไปอีกแล้ว
“ขอโทษนะยังโกรธเรื่องช่อดอกไม้นั้นอยู่หรือเปล่า เดี๋ยวจะสั่งมาให้ใหม่ช่อโตกว่านั้นอีกหลายเท่า” เขาพูดพร้อมกับเอามือลูบที่ผมของเธอเบาๆ ทำให้สาวรุ่นพี่เขินเสียจนต้องเบือนหน้าหนี เขามักทำให้เธอใจเต้นแรงได้เสมอ
“ไม่ได้โกรธแค่เสียดายก็มันสวยดีนี่นา...ช่อเบ้อเร่อตั้งหลายดอกเลยนะ” มินตราพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่อ้อนๆ
“จะเอากี่ดอกเดี๋ยวคืนนี้จัดให้เลย” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับฉายแววตาเจ้าเล่ห์ออกมา
เพียะ!! ฝ่ามือเล็กตีไปที่ต้นแขนของเข็มทิศเบาๆ เมื่อมินตรารู้ดีในประโยคที่เขากำลังสื่อความหมายไปในทางที่เธอคิดว่าคงไม่มีทางจะเกิดขึ้นได้
“เป็นคนพูดแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เป็นเด็กเป็นเล็กกลับบ้านไปได้แล้ว” มินตราพูดพร้อมกับจะเดินไปหยิบเงินในเก๊ะให้กับเขา แต่ก็ช้ากว่าชายหนุ่มที่เดินไปคว้าข้อมือของเธอมากุมไว้..
“นายจะทำอะไรปล่อยเดี๋ยวนี้ ใครมาเห็นเข้ามันไม่ดี ที่สำคัญฉันไม่อยากมีเรื่องกับแม่ของนาย” มินตราพูดพร้อมกับหลบสายตาเขา
“บอกแล้วไงมันไม่เกี่ยวกับแม่ หัวใจของผม ผมกำหนดเองได้ เดี๋ยวคืนนี้จะไปเอาค่าจ้างนะ”
“นายจะบ้าหรอไม่ได้นะ! ห้ามมาเป็นอันขาด นี่! ฟังไหมที่ฉันพูดหนะ!” เขาไม่โต้ตอบเธอกลับแต่อย่างใดเข็มทิศกลับทำเป็นหูทวนลม ตั้งหน้าตั้งตาเดินออกจากร้านกาแฟไป ก่อนจะเดินเข้าไปในบ้านของเขาที่อยู่ติดกันมินตราเอามือมากุมที่อกข้างซ้ายที่มันกำลังเต้นแรง อย่าบอกนะว่าเธอกำลังตกหลุมรักเด็กรุ่นน้องที่อายุห่างกันเกือบสิบปี
เวลาสิบเก้านาฬิกามินตราจัดการล็อกบ้าน เพราะกลัวว่าเข็มทิศจะเข้ามานอนกับเธออีก แม้ว่าเขาจะไม่ได้ล่วงเกิน แต่มันก็ไม่เหมาะสมอยู่ดี ที่ชายโสดอย่างเขาจะเข้ามาพัวพันกับหญิงหม้ายอย่างเธอ
มินตราทานข้าวเสร็จแล้วก็รีบขึ้นไปบนห้องนอน เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำให้เธอหยิบมาดูแต่ต้องแปลกใจเมื่อสายเรียกเข้าเกือบสิบสายนั่นกับเบอร์ที่โทรมาเธอไม่คุ้นเลย มินตราไม่กล้ารับเพราะคิดว่าเป็นเจตต์ที่โทรมา ทุกอย่างระหว่างเธอกับเขามันจบลงแล้ว เธอไม่ชอบที่เจตต์จะเข้ามารื้อฟื้นเรื่องราวระหว่างเขากับเธอเพราะยังไงเขาก็มีลูกมีครอบครัวใหม่ไปแล้ว เธอเคยผ่านจุดนั้นมาแล้วและไม่อยากให้ใครต้องตกอยู่ในสภาพเดียวกับเธอการโดนแย่งสามีหรือคนรักไปนั้นมันเจ็บปวดและยากที่จะลืม..
โป๊ก!!. เสียงดังมาจากหน้าต่างทำให้มินตราสงสัยว่าใครกันปาอะไรเข้ามาแล้วเสียงมันก็เริ่มดังขึ้นถี่ๆ อีกหลายครั้ง
โป๊ก!..โป๊ก!.โป๊ก! มันก็ดังไม่หยุดคล้ายๆ กับว่าคนที่โยนมานั้นตั้งใจให้เธอเดินไปที่หน้าต่าง มินตราเดินไปเปิดผ้าม่านออก ก่อนจะพบว่าเข็มทิศกำลังยืนอยู่ที่หน้าต่างบ้านของเขา ที่มีห้องนอนตรงข้ามกับห้องของเธอ เขาเป็นบ้าอะไรอีก มินตราบ่นคนเดียวพึมพำก่อนจะเปิดหน้าต่างออกไป
“รับโทรศัพท์หน่อยทำไมไม่รับโทรศัพท์” เขาพูดเบาๆ เพราะกลัวว่ามารดาจะได้ยิน ความจริงเขาก็เบื่อขี้เกียจฟังแม่บ่นเรื่องมินตรามากกว่า
“นายว่าอะไรนะไม่ได้ยินพูดดังๆ หน่อยสิ”
“รับโทรศัพท์หน่อย ทำไมไม่รับโทรศัพท์” คราวนี้เขาพูดพร้อมกับนำโทรศัพท์มาแนบที่หู ก่อนจะชี้ให้เธอดูพอเข้าใจ..
“โทรศัพท์เหรอนั่นเบอร์ของนายโทรมาเหรอ...เข็มทิศ” มินตรายืนงงแต่ก็เดินไปหยิบโทรศัพท์ที่ดังนั้นมากดรับสาย
“ว่าไงแล้วได้เบอร์มาจากไหน”
“ได้มาจากไหนไม่สำคัญหรอก แล้วทำไมไม่รับโทรศัพท์ผมปาหินใส่กระจกหน้าต่างของคุณ จนจะแตกหมดแล้ว!” ถ้าเข็มทิศไม่เอาทิชชูพันแล้วห่อด้วยกระดาษ ป่านนี้กระจกหน้าต่างของมินตราคงแตกเป็นเสี่ยงๆ ไปหมดแล้ว..
“ใครจะรู้ว่าเป็นเบอร์นายฉันคิดว่าเป็นเบอร์ของ...” มินตราตอบเขาออกไป ก่อนจะพูดค้างเอาไว้ เพราะกลัวเขาคิดว่าเธอยังอาลัยอาวรณ์และรอให้สามีเก่าโทรมา เธอไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันทำไมต้องรู้สึกแคร์เขาด้วย ในเมื่อไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย
“น้อยใจนะเนี่ยไม่คิดบ้างเหรอว่าผมจะโทรไป”
“มินจะรู้ไหมว่านายจะโทรมา แล้วเนี่ยได้เบอร์มินมาจากไหน”
“มันจะยากอะไรก็แค่เอาโทรศัพท์ของคุณยิงเข้าเครื่องผมแค่นี้ก็สิ้นเรื่อง”
“แต่มินใส่รหัสผ่านไว้นะนายรู้ได้ยังไง”
“ปีเกิดจบไหม”
“อืม...พ่อคนเก่ง แค่นี้นะมินจะนอนแล้ว”
“ยังนอนไม่ได้ว่าจะชวนไปข้างนอกไปเพื่อนๆ หน่อยนะ”
“จะไปไหน ไม่ไปง่วงและก็เหนื่อยมากด้วยจะนอนแล้ว”
“เถอะน่าไปด้วยหน่อยนะถือว่าเป็นค่าจ้างของวันนี้ก็แล้วกัน ไปแป๊บเดียวเดี๋ยวพากลับ นัดกับเพื่อนไว้นะ” เมื่อมินตราคิดดูแล้วเขาก็ช่วยงานเธอตั้งเยอะตั้งแยะไปเป็นเพื่อนเขาหน่อยคงไม่เป็นไรหรอก
“แล้วจะไปไหนล่ะ”
“นัดกับเพื่อนไว้ที่ผับแต่งตัวรอเลยนะเดี๋ยวขับรถไปรับหน้าบ้าน”
“อืม..มินอาบน้ำเสร็จแล้วขอแต่งตัวเปลี่ยนชุดใหม่แป๊บหนึ่งนะ”
“ตกลงแล้วเจอกัน”
มินตราหยิบเสื้อผ้าออกมาจากตู้หลายชุด กว่าเธอจะเลือกได้ เพราะเพื่อนของเข็มทิศมีแต่วัยรุ่นทั้งนั้นเธอไม่รู้ว่าจะต้องแต่งตัวแบบไหนถึงจะเข้ากับพวกเขาได้ เธอเลือกอยู่นานจึงตัดสินใจเอาชุดเสื้อกล้ามกางเกงยีนมันไม่โป๊และไม่เรียบร้อยเกินไป
ประมาณเกือบครึ่งชั่วโมงเข็มทิศก็ขับรถมาจอดที่หน้าบ้านของมินตรา เขารอเธอไม่ถึงห้านาทีมินตราก็เดินออกมาจากบ้าน เข็มทิศถึงกับตาค้างกับชุดที่เธอสวมใส่มา..
“ใครใช้ให้ใส่ชุดแบบนี้ไปเปลี่ยน” เขาเอ็ดเธอเบาๆ พร้อมทั้งกัดฟันอย่างไม่ชอบใจ กับชุดที่เธอสวมใส่มินตราถึงกับงงอะไรของเด็กน้อยคนนี้อีกนะ
“ไปผับนะเข็มทิศไม่ได้ไปวัดจะได้ใส่ผ้าถุงห่มสไบไป...ขึ้นรถง่วงแล้วเนี่ย” มินตราพูดพร้อมกับเปิดประตูรถขึ้นไปนั่งคาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อย เข็มทิศยืนส่ายศีรษะ เมื่อห้ามเธอไม่ได้ ชายหนุ่มจึงขึ้นไปในรถ พร้อมกับเอื้อมมือหยิบเสื้อแจ็คเก็ตที่เบาะหลังออกมาให้เธอสวมทับ
“ใส่เสื้อในทับไว้มันหนาว” มินตราทำตามเขาอย่างว่าง่าย ความจริงเธอก็หนาวเหมือนกันยิ่งโดนเครื่องปรับอากาศเย็นๆ จากรถยนต์ มันยิ่งทำให้เธอถึงกับสะบั้นเลยทีเดียว
เข็มทิศพามินตราขับรถมาไม่นานประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึงยังที่หมายปลายทาง ก่อนที่มินตราจะลงจากรถเธอได้ถอดเสื้อแจ็คเก็ตออกวางไว้ที่เบาะ
“จะถอดออกทำไมข้างในมันหนาว”
“มินมาเที่ยววันนี้ครั้งแรกในรอบกี่ปีก็ไม่รู้ ขอปล่อยแก่หน่อยละกันปล่อยป้าไปเถอะนะเข็มทิศ” คำพูดออดอ้อนของมินตราปนทีเล่นทีจริงนั้น เธอช่างน่ารักเหลือเกินสำหรับชายหนุ่ม เวลานี้เธอทำให้เขาหลงครั้งแล้วครั้งเล่าเขายังไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้ทั้งรักทั้งหลงเธอมากขนาดนี้
“ถึงเป็นป้าผมก็หวง แต่วันนี้อนุญาตให้หนึ่งวันก็แล้วกัน เห็นแก่ป้าเลยนะเนี่ย...ป่ะเข้าไปข้างในกัน” มินตราทำตาขวางใส่เขา ก่อนจะกรอกตาขึ้นมองบน เธอเรียกตัวเองว่าป้าไม่ได้หมายความว่าให้เขาเรียกสักหน่อย ทั้งสองเดินเข้าไปข้างในที่มีคนพลุกพล่านบวกกับเสียงดังอึกทึกครึกโครมนั่น มันทำให้มินตรารู้สึกแปลกๆ เพราะเธอไม่ได้สัมผัสกับบรรยากาศแบบนี้มานานมากแล้ว ตั้งแต่ก่อนแต่งงานนับรวมแล้วก็หลายปี