“คุณอาครับ? แล้วเกว...”
“เห็นบอกจะตามมาทีหลังน่ะ แล้วนี่งานเรียบร้อยดีใช่ไหม?”
“ครับ ตอนนี้แขกมาเยอะแล้ว คุณอาไปนั่งก่อนเถอะนะครับ แดดแรงแล้ว”
“จ๊ะ”
วันต่อมา คุณเกศรินก็มาที่งานศพของเจ้าสัว เมื่อวันนี้เป็นวันฌาปนกิจศพของเจ้าสัวแล้ว และเธอก็อดที่จะนึกขอบใจพิธาไม่ได้ เพราะงานราบรื่นได้ขนาดนี้เพราะการจัดการของชายหนุ่ม ที่เธอรู้สึกชอบและต้องการให้มาเป็นลูกเขยของเธอในอนาคต พิธาเฝ้าดูแลและจัดการงานทุกอย่างเป็นอย่างดี ด้วยเป็นทั้งเลขาส่วนตัวของเจ้าสัวบัญชรและเป็นคนที่หมายปองบุตรสาวบุญธรรมของเจ้าสัว ทำให้เขามีแรงจูงใจในการทำทุกอย่างให้ออกมาดีที่สุด
ส่วนเกวรินทร์ ตอนนี้กำลังแต่งตัวทั้งๆที่ไร้เรี่ยวแรงและมีไข้ซึ่งเป็นผลจากความเจ็บปวดที่ได้รับมาเมื่อคืน ในตอนเช้าที่มารดาของเธอมาเรียกเธอแทบไร้เรี่ยวแรงลุกขึ้นตอบกลับ แต่ด้วยกลัวมารดาจะเข้ามาเจอสภาพของเธอในตอนนี้และเกิดรู้เรื่องเมื่อคืนเข้าเกวรินทร์เลยฝืนตัวเองลุกขึ้นมาบอกให้มารดาไปก่อนเดี๋ยวเธอจะตามไปซึ่งมารดาของเธอก็ไม่เซ้าซี้เลยทำให้เธอค่อยโล่งใจ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“คุณหนูคะ...ตื่นรึยังคะคุณหนู...”
ส่วนอีกคน ที่ตอนนี้ยังนอนอยู่ที่เดิม ร่างใหญ่ค่อยๆขยับเมื่อประตูห้องกำลังถูกเคาะ ตาคมอันหนักอึ้งปรือขึ้นมองไปรอบๆก่อนจะพบว่าตัวเองนอนอยู่บนพื้น
“โอ๊ย...อื้อออ”
พอขยับจะลุก อาการปวดหัวก็กำเริบขึ้นอย่างหนักจนเขาต้องล้มตัวลงไปนอนท่าเดิม
มานอนที่นี่ได้ยังไง...หรือเมาไม่รู้เรื่อง...
อังเดรคิดขึ้นพร้อมกับพยายามนึกว่าทำไมเขาถึงมานอนอยู่ตรงนี้
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“คุณหนูคะ...ตื่นรึยังคะ คุณหนูอังเดร...”
ป้าชม้อยยังคงเคาะประตูเรียกเมื่อวันนี้เป็นวันฌาปนกิจศพเจ้าสัวบัญชร และอังเดรต้องไปร่วมงานให้ได้เธอเลยไม่ยอมแพ้เคาะเรียกอยู่อย่างนั้น
“ครับ...เดี๋ยวผมออกไป...”
เสียงแหบแห้งตอบออกมา ทำเอาป้าชม้อยค่อยโล่งใจยอมเดินกลับลงไป ส่วนอังเดรก็พยายามหยัดตัวลุกขึ้น ก่อนจะพบว่าเขาไม่ได้ใส่เสื้อผ้า
“เฮ้ย!”
เขาอุทานออกมาอย่างตกใจ ก่อนจะมองไปรอบๆที่มีแค่เสื้อผ้าของเขาวางเกลื่อนอยู่ และอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขารู้ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นก็คือคราบรักที่แห้งกรังอยู่ที่แท่งรักของเขา
“เวรเอ้ย! อะไรวะเนี่ย...”
ด้วยความเมาทำให้เขาจำอะไรไม่ได้สักอย่าง จำไม่ได้แม้กระทั่งว่าไปลากใครมาสำเร็จรักด้วยซ้ำ อังเดรตัดสินใจเดินเข้าไปอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัวเพราะรู้ว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เขาจะอยู่ที่นี่ เพราะหลังจากเผาศพเจ้าสัวบัญชรเขาก็จะบินกลับทันที
“นี่อะไร?...ของใครกัน”
พอจะเดินเขากลับเหยียบเข้ากับสร้อยคอรูปนกที่ตกอยู่บนพื้นห้อง อังเดรหยิบมันขึ้นมาดูก่อนจะเดินไปวางทิ้งไว้บนเตียง ส่วนเขาก็เดินเข้าไปอาบน้ำเพื่อไปงานศพของบิดาเขา
“ใครกันครับ?”
พิธาถามขึ้น เมื่อตอนนี้การฌาปนกิจกำลังเริ่มขึ้น และหลายสายตาก็เอาแต่จังจ้องไปที่ร่างสูงใหญ่ หนวดเครารกรุงรังที่ยืนเด่นอยู่ไม่ไกล เมื่อกว่าที่อังเดรจะมาถึงก็เกือบไม่ทันได้ไหว้ลาบิดาครั้งสุดท้ายแล้ว
“เห็นว่าเป็นลูกชายของเจ้าสัว...แต่ดูยังไงก็ไม่น่าใช่ ดูสภาพสิ คนเถื่อนจากไหนก็ไม่ปาน ถ้าบอกว่าเป็นคนเร่ร่อนน่ะน่าเชื่อหน่อย”
คนที่มาร่วมงานพูดขึ้น ทำเอาพิธาถึงกับต้องมองพินิจร่างสูงใหญ่นั่นอีกครั้ง
อังเดร...นั่นเขาเหรอ?...
พิธาที่ไม่เคยเห็นอังเดรอดคิดขึ้นมาในใจไม่ได้ ก่อนจะจ้องมองบุตรชายคนเดียวของเจ้าสัวบัญชรอย่างเริ่มไม่ชอบใจ เพราะการที่ทายาทของเจ้าสัวโผล่มาแบบนี้มันอาจทำให้เกิดข้อพิพาทเรื่องของทรัพย์สมบัติขึ้น เพราะเขาเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ค่อนข้างสนิทกับเจ้าสัวและรู้ด้วยว่าถึงแม้เจ้าสัวจะไม่ติดต่อหรือเรียกหาอังเดร แต่ตลอดเวลาเจ้าสัวก็ไม่เคยตัดพ้อต่อว่าอังเดรให้ได้ยินเลยสักครั้ง
“เกว...ไม่สบายรึเปล่าลูก? ไหวไหม?”
ทางด้านเกวรินทร์ เธอพยายามฝืนร่างกายเพื่ออยู่ร่วมงานให้จบก่อน แต่ยิ่งฝืนก็เหมือนมันยิ่งแย่ลง หน้าขาวที่อุตส่าเติมแต่งเพราะไม่อยากให้ใครสังเกตเห็นตอนนี้กลับซีดเผือดจนคุณเกศรินที่สังเกตเห็นอดถามขึ้นอย่างเป็นห่วงไม่ได้
“ไม่ค่ะ เกวไหว แค่ไม่สบาย คงเพราะไม่ค่อยได้พักน่ะค่ะ รอให้งานจบก็น่าจะได้พักแล้ว”
“แต่สีหน้าลูก...”
“ไม่เป็นไรจริงๆค่ะคุณแม่...เกวอยากส่งคุณพ่อครั้งสุดท้าย”
พอได้ยินแบบนั้นคุณเกศรินเลยไม่เซ้าซี้ต่อ เธอหันไปมองเปลวควันที่ลอยขึ้นฟ้าพลางน้ำตารื้นขึ้นมาอีกรอบ เธอใช้ชีวิตกับเจ้าสัวมา 20 ปี และไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่เจ้าสัวบัญชรทำให้เธอเสียใจ เขาเคารพในการตัดสินใจของเธอทุกอย่างถึงแม้จะเป็นคนเจ้าชู้บ้างแต่เจ้าสัวก็ไม่เคยยกย่องใครนอกจากเธอ นั่นทำให้เธอรู้สึกรักและเคารพเขาอย่างที่ไม่เคยเป็นกับใครมาก่อน
“ผมเตรียมเครื่องเอาไว้แล้ว นายหัวจะกลับเลยรึเปล่าครับ”
“ยัง อีกสิบนาที”
“ครับ”
ทางด้านอังเดร ตอนนี้กำลังยืนมองไปที่คุณเกศรินและเกวรินทร์ด้วยความคิดมากมาย ซึ่งหนึ่งในความคิดที่ยังคงเด่นชัดคือความเกลียดชัง
“อังเดร อามีเรื่องอยากคุยด้วย...”
“เชิญครับ ผมมีเวลาแค่ 10 นาที”
อังเดรบอกขึ้นเมื่อทนายองอาจเดินเข้ามาหาเขาพร้อมด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนใจเพราะรู้ว่าอังเดรกำลังจะบินกลับเหมืองแล้ว
“แต่อาอยากคุยเป็นการส่วนตัว...”
“ผมไม่มีเวลาคุณอาก็รู้”
“โอเค...อาอยากพูดเรื่องพินัยกรรม...”
ทนายองอาจบอกขึ้นทั้งๆที่รู้ว่าศพก็พึ่งเผ่ายังไหม้ไม่หมดด้วยซ้ำแต่กลับมาพูดเรื่องพินัยกรรมอย่างนี้มันดูไม่เหมาะสมแต่ด้วยเวลาอันจำกัดทำให้เขาจำใจต้องพูดออกมา
“ผมไม่สนใจอยากได้อะไรทั้งนั้น ยกให้สองแม่ลูกนั่นไปหมดเลยก็ได้ หรือเอาตามที่คุณพ่อต้องการไปเลย เพราะยังไงคงไม่มีส่วนของผมอยู่แล้ว”
“แต่พินัยกรรมจะเปิดไม่ได้ถ้าไม่มีทายาทโดยชอบธรรมของเจ้าสัว...อาขอเวลาอีกสักวันสองวันไม่ได้เหรอ แล้วค่อยกลับ”
“ผมไม่มีเวลา งานที่เหมืองค่อนข้างยุ่ง หมดเวลาแล้วผมคงต้องขอตัวก่อน”
พูดจบอังเดรก็หันหลังเดินกลับออกไปโดยไม่สนใจสายตานับร้อยที่มองมาที่เขา เมื่อศพยังไหม้ไม่หมดแต่เขากลับเดินออกจากงานเสียอย่างนั้น
“เฮ้อ...ทำยังไงดีครับเจ้าสัว...อังเดรไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ”
ทนายองอาจได้แต่มองตามพร้อมกับถอนหายใจหนักใจ และไม่วายหันไปมองที่รูปถ่ายของเจ้าสัวบัญชรอย่างหาทางออก เพราะพินัยกรรมจะเปิดไม่ได้เด็ดขาดถ้าไม่มีอังเดร
“คุณอา”
“อ่าว อังเดร ลืมอะไรรึเปล่า?”
ขณะที่กำลังจะเดินไปหาคุณเกศริน ทนายองอาจก็ต้องหันกลับมามองอังเดรด้วยความแปลกใจที่เขาเดินกลับมาหา
“นานแค่ไหนเรื่องพินัยกรรมบ้าๆนั่นถึงจะจัดการเสร็จ”
เขาถามขึ้น เพราะรู้ดีว่าชีวิตของเขาอาจไม่สงบสุขอีกต่อไปถ้าเกิดเขาไม่จัดการมันให้แล้วเสร็จ
“ก็ประมาณ 2 อาทิตย์ อาต้องเตรียมเอกสารและจัดการอีกหลายอย่าง ว่าแต่ หลานช่วยอยู่รอจนกว่าทุกอย่างจะเสร็จไม่ได้เหรอ?...อย่างน้อยก็คิดซะว่าทำเพื่อพ่อของหลานครั้งสุดท้าย อาจใช้เวลาเร็วกว่านั้น”
“หึ...เขาไม่เคยเห็นทำอะไรเพื่อผมเลย ทำไมผมต้องทำเพื่อเขาล่ะ”
“หลานอาจยังไม่รู้อะไรอีกมากมายก็ได้นะ...รออาแค่ 2 อาทิตย์แล้วทุกอย่างก็จะจบ ถือว่าอาขอร้องได้ไหม?”
อังเดรมองทนายองอาจอย่างเริ่มใช้ความคิด เมื่อยังไงซะเขาก็ไม่อยากให้ใครเข้ามายุ่งกับชีวิตของเขาอยู่แล้ว แล้วอีกอย่าง เขาต้องหาคำตอบของเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนด้วย เขาเลยตัดสินใจเดินกลับมา
“ได้สิครับ แล้วช่วยแจ้งให้ผู้หญิงคนนั้นรู้ด้วยว่าผมจะพักที่บ้านของแม่ผม ถ้าเป็นไปได้ให้เธอกับลูกกาฝากของเธอไปพักที่อื่นได้ยิ่งดี”
พูดจบอังเดรก็เดินออกไป ปล่อยให้ทนายองอาจได้แต่มองอย่างหนักใจกับทิฐิของอังเดรที่มีต่อแม่เลี้ยงของเขา
“คะ? เอ่อ คุณอาว่ายังไงนะคะ?”
“จนกว่าจะเปิดพินัยกรรม คุณอังเดรจะอยู่ที่คฤหาสน์ด้วย ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็รีบบอกอานะ”
“แล้วทำไมเขาจะต้องอยู่ที่คฤหาสน์ โรงแรมก็เยอะแยะนี่คะ”
เสียงอันโรยแรงแหบแห้งถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ เธอไม่คิดว่าเขาจะยังอยากอยู่ที่บ้านต่อหลังจากทะเลาะกับมารดาของเธอรุนแรงขนาดนั้น
“อาก็ตอบไม่ได้ อาแค่อยากให้หนูกับคุณเกศระวังตัวกันเอาไว้ เห็นว่าเมื่อวานเกิดเรื่อง อังเดรน่าจะอยู่จนกว่าพินัยกรรมจะเสร็จสิ้น”
“ค่ะ...ต่างคนต่างอยู่คงไม่เป็นไร ขอบคุณนะคะที่มาบอกให้เกวระวังตัว”
“อืม อาไปล่ะ”
พอทนายองอาจเดินออกไป สีหน้าและแววตาวิตกกังวลของเกวรินทร์ก็เด่นชัดเมื่อกลัวเหลือเกินว่าเขาจะจำเรื่องเมื่อคืนได้ เธอคิดว่าเขาเมามากน่าจะจำไม่ได้และที่สำคัญเธอได้เก็บของทุกอย่างออกมาจากห้องของเขา ทำให้เธอแน่ใจว่าเขาคงไม่รู้ว่านอนกับใคร
“ยังไม่กลับเหรอครับ? แล้วที่เหมือง...”
“ให้ไอ้เด่นดูแลไปก่อน จัดการที่นี่เสร็จค่อยกลับ”
“ครับ”
เทวา ที่พึ่งตามมาหลังจากจัดการงานที่เหมืองเสร็จถามขึ้นอย่างนึกแปลกใจและก็อดกังวลไม่ได้ ส่วนอังเดร เขาแค่อยากจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย คนที่นี่จะได้ไม่ไปยุ่งวุ่นวายกับเขาอีก
“คุณหนูจะพักที่นี่เหรอคะ? งั้นเดี๋ยวป้าให้คนขึ้นไป...”
“ไม่ต้องหรอกครับ เดี๋ยวผมจัดการเอง ส่วนนี่เทวาลูกน้องผม รบกวนแม่นมช่วยจัดห้องพักให้หน่อยนะครับ”
“ได้สิคะ เดี๋ยวป้าดูแลพ่อหนุ่มคนนี้เองค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
อังเดรพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้า เมื่อความรู้สึกของเขาตอนนี้เหมือนกับว่าเขาไม่เหลือใครแล้วจริงๆ ถึงแม้จะโกรธผู้เป็นพ่อมากมายขนาดไหน แต่เขาก็ไม่เคยคิดว่าจะต้องสูญเสียบิดาไปอย่างนี้
และพอเดินเข้ามาในห้อง อังเดรก็ทิ้งตัวลงบนที่นอนนุ่มพร้อมกับหลับตา เมื่อความรู้สึกที่กักเก็บเอาไว้ทำให้เขาเหนื่อยเหลือเกิน เขาเสียใจที่บิดาจากไปแต่ก็โกรธเมื่อตลอดเวลาที่เขาหนีไปเขากลับไม่เคยได้ยินว่าบิดาของเขาตามหาเขาเลยสักครั้ง เขาหอบเงินที่มารดาเก็บเอาไว้ในธนาคารตั้งแต่เขาเกิดซึ่งมันก็มีจำนวนมากจนเขาสามารถเอาไปลงทุนในเหมืองเล็กๆได้อย่างสบาย และที่ทำให้เขาเสียใจมากไปกว่านั้นคือ บิดาของเขาประกาศแต่งงานหลังจากที่เขาหายไปได้แค่เดือนเดียว
“หายหัวไปไหนกันหมดหรือว่ารังเกียจฉันขนาดนั้น?”
พอถึงเวลาอาหารเย็น อังเดรที่นั่งอยู่บนโต๊ะอาหารใหญ่โตหรูหราคนเดียวอดถามขึ้นไม่ได้ ซึ่งอันที่จริงเขาก็พอจะเดาออกว่าสองแม่ลูกคงไม่มาร่วมกินข้าวกับเขาอย่างแน่นอน
“เอ่อ...คือว่า คุณผู้หญิงกับคุณหนูบอกว่าจะทานบนห้อง...ค่ะ...”
สาวใช้ที่ยืนอยู่ใกล้ๆรายงานออกมา ส่วนคนอื่นๆก็ได้แต่ยืนก้มหน้าหลบตาด้วยความกลัว
“แล้วนี่ก้มหน้าจะถึงพื้นอยู่แล้ว เป็นอะไรกัน คอหักรึไง”
อังเดรที่หงุดหงิดหันไปหาเรื่องคนรับใช้สี่ห้าคนที่ยืนอยู่ไม่ไกล ทำเอารีบพากันก้มหน้าเข้าไปอีก เพราะด้วยรูปลักษณ์ภายนอกและชื่อเสียงอันเลื่องลือถึงความน่ากลัวของเขา ทำให้ทุกคนอดที่จะกลัวไม่ได้
“โธ่ คุณหนูคะ อย่าไปแกล้งเด็กๆพวกนี้สิคะ ดูสิ พากันกลัวหมดแล้ว”
“กลัวอะไร อีกไม่นานก็จะได้ไปทำงานที่เหมืองกันหมดนี่แหละเตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้เลย”
พูดจบอังเดรก็ลุกเดินออกจากโต๊ะอาหารไปทันที ส่วนพวกสาวรับใช้ก็ได้แต่มองหน้ากันเหรอหรา ส่วนป้าชม้อยก็อดส่ายหัวกับสิ่งที่อังเดรพูดไม่ได้ เพราะเธอรู้ว่าเจ้านายหนุ่มนั้นแค่ล้อเล่น เมื่อเธอเลี้ยงเขามาตั้งแต่แบเบาะ ทำไมจะไม่รู้ว่าเจ้านายผู้แข็งกร้าวและแข็งกระด้างคนนี้นั้นที่จริงแล้วอ่อนไหวและอ่อนโยนมากมายขนาดไหน แค่เปลือกนอกที่ฉาบเอาไว้เท่านั้นที่ทุกคนเห็น
พอกลับขึ้นมาบนห้อง สร้อยเพชรที่เขาเก็บเอาไว้เมื่อเช้าก็ส่องประกายสะดุดตาจนเขาอดไม่ได้ที่จะหยิบมันขึ้นมาดู
“หึหึ ของแท้ซะด้วย...”
อังเดรที่ดูรู้ว่าสร้อยนี้เป็นของแท้ถึงกับยิ้มหยันเมื่อพอรู้แล้วว่าใครกันที่มีอะไรกับเขาเมื่อคืน เพราะทั้งบ้านคงมีแค่คนเดียวเท่านั้นที่ใส่สร้อยเพชรราคาเป็นล้านขนาดนี้