“พี่สิบ พี่ไนท์… ฮึก ฟ้าปริ่มเหลือเกิน T^T”
“แต่กูไม่อยากเห็นเพื่อนเศร้า” ผมว่า
“กูกินเหล้าแป๊ปเดียวก็หาย” ไอ้สิบต่อ สายตาเราจ้องมองกันราวกับมีกระแสไฟฟ้าล่องหนลั่นเปรี๊ยะๆ เพราะเราสนิทกันมากถึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไร…
‘มึงเอาไปสิ’ ผมส่งโทรจิตทางสายตาพลางพยักเพยิดไปทางนางฟ้า
‘มึงนั่นแหละ เอาไป’ มันกัดฟันพลางถลึงตามองผมและขยับองศาหน้าไปทางนางฟ้านิดหน่อย
‘กูไม่เอา’
‘กูก็ไม่’
การฟาดฟันด้วยสายตาเริ่มต้นขึ้นพร้อมกับความชั่วร้ายที่กำลังก่อตัวขึ้นมาในมันสมอง ผมมองมันครู่นึงแล้วตีหน้าเป็นห่วงเป็นใย
“เหล้ามันทำลายสุขภาพ กูรักมึงนะเพื่อน มึงรู้ใช่ไหม?”
“ไม่กี่ดีกรีกูไม่ตายหรอก กูแข็งแรงดี แต่อี… เอ้ย นางฟ้าน่ะ กูอยากให้เค้ามีความสุข ถ้ามึงรักกู มึงควรจะทำตามคำขอกูนะ” ไอ้สิบโต้กลับ หนอยแน่ะ เดี๋ยวนี้มันกล้าปะทะวาจากับผมเชียวเหรอ เดี๋ยวมึง… เดี๋ยวเหอะมึง!
“ฮือๆๆ ฟ้าปลื้มที่สุดเลยค่ะ” เธอยืนกัดฟันอย่างปลื้มปริ่ม
“ชีวิตกูอยู่ได้ไม่นาน ถ้ากูตายไปเดี๋ยวฟ้าก็ต้องเสียใจ กูฝากมึงดูแลด้วย”
“มึงพูดเหี้ยอะไร?” ไอ้สิบเลิกคิ้วสูง
“ก็มึงบอกกูเป็นเอดส์ไง จำไม่ได้เหรอ ไหนกูจะร่างกายอ่อนแอ เป็นเบาหวาน ไซนัสอักเสบ หลอดเลือดหัวใจอุดตัน เส้นเลือดในสมองตีบ เฮ้อออ”
“พี่ไนท์…” นัยน์ตานางฟ้าเปล่งประกายมองผมอย่างสยดสยอง เหงื่อเม็ดโตเริ่มผุดกลางหน้าผาก สถานการณ์เริ่มแปลกๆ ไปเมื่อยัยจุดบอดกาแล็กซี่นั่นเดินฉาดๆ เข้ามาพร้อมกับดึงมือผมเข้าไปกุม “ขอโทษนะคะที่ฟ้าลังเลไปครู่นึง แต่ฟ้าจะไม่เป็นแบบนี้อีกแล้วล่ะค่ะ”
ฮะ? หือ? หึ? คืออะไร? ผมมองหน้าไอ้สิบด้วยเครื่องหมายคำถามพร้อมกับเครื่องหมายอัศเจรีย์ก่อนที่ทุกอย่างจะถูกตอบด้วยการกระทำชั่วช้าสามานย์ที่สุดในไตรโลก ริมฝีปากหนานั่นสัมผัสเข้ากับริมฝีปากอันแสนหวงแหนของผม สัมผัสร้อนจากปลายลิ้นที่ผมขยะแขยงทำให้หน้าผมชาวาบ เรี่ยวแรงทั้งหมดสูญหาย นัยน์ตาเบิกโพลงอย่างรับไม่ได้กับการกระทำอนาจารตรงหน้า ยัยบ้านั่น… ผมเห็นขนตายาวๆ ของเธอ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวและสันกรามอันมโหฬาร ความรู้สึกร้อนชื้นที่นัยน์ตามันก็ปรากฏขึ้นอย่างไม่อาจคาดหมาย…
ในชีวิตของลูกผู้ชาย ผมร้องไห้แค่ไม่กี่ครั้งและเลิกมีน้ำตาตั้งแต่สมัยอนุบาลสาม หากแต่ว่า…
แหมะ
นี่กู…
“ฟ้ารักพี่ไนท์นะคะ ฟ้าจะอยู่เคียงข้างพี่ไนท์”
แหมะ
กูร้องไห้…?
“พี่ไนท์จะไม่ต้องทนทารุณกับความโหดร้ายนั่นคนเดียวอีกต่อไป เพราะฟ้าจะอยู่กับพี่ทุกที่ ทุกเวลา เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไปนะคะ ^_^”
“…”
แหมะ แหมะ แหมะ
ของเหลวใสๆ รสชาติเค็มปริ่มไหลผ่านผิวแก้ม ไอ้สิบกลั้นขำไว้เต็มที่เพราะเมื่อกี้การคุกคามและลวนลามแบบไม่คาดหมายของยัยหลุมดำทำให้ผมตัวแข็งทื่อเป็นตอไม้ ขยะแขยงรังเกียจจนหน้าอกผมบีบหน่วงอยากจะอาเจียนพร้อมๆ กับที่เสียงวิทยุของมหาลัยประจำวันดังขึ้น ความจริงแล้วมันเป็นเพลงรักหรืออะไรสักอย่าง แต่สิ่งที่ผมได้ยินคือ…
ตื้อ ดือ ดือ ดื่อ ตือ ดื่อ ดือ ดือ ดื่อ~ (เสียงเพลงงานศพ)
‘ฟ้ารักพี่ไนท์นะคะ’
แหมะ
ตื้อ ดือ ดือ ดื่อ ตือ ดื่อ ดือ ดือ ดื่อ~
‘เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไปนะคะ’
ตะ ตลอดไป… ลมหายใจผมขาดห้วงเมื่อสบนัยน์ตากับผู้หญิงตรงหน้า คำพูดคำจาช่างโรแมนติกทรยศเบ้าหน้าและสันดาน ผมแค่นลมหายใจออกมาสองที อ้าปากค้างจนแมลงวันบินเข้าไปไข่ได้เป็นร้อยตัว นี่ผมเพิ่งโดน…แม่งจูบ!!!
“ไม่…”
“คะ?”
“ม่ายยยยยยยยย”
พรสวรรค์ของนักวิ่งสี่คูณร้อยสถิตที่ปลายขาแบบไม่ตั้งใจ น้ำตาผมไหลแหมะๆ ตามระยะทาง กว่าหลายสิบคนที่เห็นเหตุการณ์นั่นทำให้ผมอยากจะตายหรือหายตัวไปในอากาศ รสชาติปะแหล่มๆ และริมฝีปากแห้งผากที่ทิ้งสัมผัสอันน่าสะพรึงไว้ทำให้ไรขนอ่อนผมลุกชูชันพร้อมกันอย่างไม่นัดหมาย
เหมือนโลกทั้งโลกแตกสลายหายวับไปกับตา ตึกถล่ม ฟ้าทลาย เกิดวิปริตแปรปรวนรวนเรกับสภาพอากาศ ความมืดมิดเข้ามาครอบงำกับสายฟ้าที่ผ่าลงมาโครมคราม ผมรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ท่ามกลางพายุฝนที่มีผีอะไรสักอย่างกำลังตามฆ่าเอาชีวิตที่แสนสุข สงครามที่ว่าน่ากลัวและเต็มไปด้วยเลือดเนื้อของทหารหาญหาได้สยดสยองเท่าสิ่งที่ผมเจอ
“ไอ้ไนท์มึงจะไปไหน~!” น้ำเสียงตะโกนตามแผ่นหลังของผมที่เริ่มไกลออกไป
“พี่น๊ายยย” เสียงแหลมครวญกระตุ้นการทำงานกระเพาะของผมให้ปั่นป่วนจนอยากจะสำรอกข้าวมันไก่เมื่อเช้าออกมา ความรู้สึกช็อกทำให้จิตใจผมแตกออกไปเป็นสองส่วน น่ากลัว… ยิ่งคิดเท้าผมก็ยิ่งสาวเร็วขึ้น เร็วขึ้นและเร็วขึ้นจนกระทั่ง...
พลั่ก!!!
โครม!!
“โอ๊ย” เสียงนุ่มนั่นร้องเมื่อถูกผมกระแทกเข้าอย่างจัง แต่ตอนนี้สมองผมมันขาวโพลนและเบลอไปหมด ประสบการณ์ร้ายกาจเมื่อตะกี้ทำให้ผมวิ่งมาไม่คิดชีวิตจนไม่รู้ตัวว่าอยู่ที่ไหน ก้นกบของผมกระแทกเข้ากับพื้นปูนแต่ก็ยังไม่รู้สึกเจ็บอะไร “เป็นอะไรไหม?” ใครคนนึงถามอย่างเป็นห่วงเมื่อเขาลุกยืนขึ้นพร้อมกับยื่นมือมาที่หน้าผม
เป็นอะไรไหมงั้นเหรอ? เป็นสิ เป็นดิวะ! กู… กูโดนผีจูบบบบบ!! กูโดนผีจูบ!!! อ้ากกกกก กูอยากตาย TOT
“โหลๆ” เขาส่ายมือไปมาก่อนจะชะโงกหน้าก้มลงมามองผมที่จิตใจเลื่อนลอยไปคอยที่ทางช้างเผือก และมันคงจะเป็นอย่างนั้นต่อไปถ้าหากไม่ใช่เพราะว่านัยน์ตาสีน้ำตาลของคนตรงหน้า จมูกโด่งรั้น ริมฝีปาก และทุกๆ อย่างของเขามันสะดุดตาผมอย่างจัง…
ผมสบตากับเขาอยู่ครู่นึงท่ามกลางโรงอาหารของคณะอักษรศาสตร์ที่ผมวิ่งมาถึงนี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ จากที่สมองผมว่างเปล่าอยู่แล้วมันกลับกลวงหนักเข้าไปอีกเพราะนิสิตชายที่แต่งกายเป็นระเบียบนั่นติดติ้งคณะอักษร ผมไม่เคยรู้จักมันมาก่อน แต่หน้ามันคุ้นยิ่งกว่าคุ้น
เพราะอะไรรู้ไหม?
ก็ไอ้เวรนี่น่ะ แม่งหน้าเหมือนผมเปี๊ยบ!!!!