แม้ว่าความเป็นผู้ดีตีนแดง จะไม่ได้มีติดตัวมาตั้งแต่เกิด แต่วันเวลาผ่านไปก็ทำให้ระพีพรรณซึมซับเอาความเป็นผู้ดี เข้าไปไว้ในตัวได้มากโขเลยทีเดียว แต่นั่นก็เป็นเพราะมีคนคอยขัดเกลาให้รู้จักสำรวม มีกิริยามารยาทดีขึ้น ยามอยู่กับผู้ใหญ่ หรือแม้กระทั่งเวลาออกงานสังคม ซึ่งไม่ใช่เรื่องถนัดของระพีพรรณเลย และไม่มีใครอยากให้เธอออกงานสังคมสักเท่าไหร่ เพราะมีแต่จะทำให้หม่อมอมราและว่าที่ลูกสะใภ้ทั้งหลายอับอายเสียหน้า
เบื้องหน้าว่าดูสุภาพอ่อนหวาน งดงาม แต่เบื้องหลังกลับทำให้คนที่เฝ้าสอนสั่งถึงกับต้องกุมขมับ เพราะไม่ต่างอะไรกับจับปูใส่กระด้ง ซนอย่างกับลิง ดื้อดึงเป็นที่สุด ความสวยสดงดงามของใบหน้า ไม่ได้ช่วยให้อะไรมันดีขึ้นเลย ต่อหน้าประหนึ่งสาวชาววัง ลับหลังอย่างกับสาวชาวสวน นอนเกลือกกลิ้งบนโคลนได้ก็คงจะทำไปนานแล้ว และสถานที่ประจำของระพีพรรณคือสวนดอกไม้หน้าบ้าน เธอชอบอยู่กับต้นไม้ ไม่ได้ชื่นชมกับความสวยงามของมันอย่างเดียว แต่แทบจะฝังตัวเองเข้าไปในดินเลยด้วยซ้ำ
ทำเอาคนที่เพิ่งกลับจากทำงาน ถึงกับส่ายหน้าพลางพ่นลมหายใจออกหนัก ๆ ขณะที่กำลังนั่งรถแล่นผ่านพอดี สีหน้าของคนที่มองอยู่บอกบุญไม่รับเอามาก ๆ จากนั้นเขาก็เมินหน้าหนีไปทางอื่น กระทั่งจอดรถปุ๊บวัฒนะซึ่งทำหน้าที่ขับรถเหมือนเช่นเคย ก็วิ่งลงมาเปิดประตูให้ แต่ยังไม่ทันที่จะเอ่ยอะไรเจ้านายรูปหล่อหน้าเคร่งก็เอ่ยขึ้นเสียก่อน
“เรียกคุณเพ่ยไปหาฉันที่ห้องทำงาน เดี๋ยวนี้” อมเรศสั่งเสียงเข้มในฐานะผู้ปกครองของบ้าน บัดนี้ในวัยสามสิบเจ็ดปี มีความภูมิฐาน น่าเกรงขามกว่าแต่ก่อนมาก สั่งอะไรทุกคนต้องฟัง ยิ่งนานวันเขาก็ยิ่งดูดุเข้ม
“ได้ครับคุณชาย”เมื่อวัฒนะรับคำเสร็จ อมเรศก็ยกมือขึ้นกระชับเสื้อสูทเล็กน้อยก่อนจะเดินขึ้นบ้าน ตรงไปยังห้องทำงานเพื่อความเป็นส่วนตัวในการคุยกับแม่ตัวแสบ เผื่อว่ามีอะไรจะจัดการกับเธอ ส่วนวัฒนะก็รีบวิ่งไปตามระพีพรรณที่ขลุกอยู่กับคนสวนและต้นไม้จนกระทั่งตนเองเลอะเทอะเปรอะเปื้อนไปหมด
“คุณเพ่ยครับ คุณชายให้ไปพบที่ห้องทำงาน เดี๋ยวนี้เลยครับ” วัฒนะรีบมาถ่ายทอดคำสั่งของเจ้านาย ทำให้ระพีพรรณถึงกับต้องวางทุกอย่างแล้วปาดเหงื่อที่โชกกายออกอย่างรวดเร็ว พาลให้เปื้อนเปรอะไปจนถึงใบหน้า บดบังความขาวเนียนและสวยงามไปเสียหมด ก่อนจะหันไปยิ้มหวานให้กับวัฒนะเล็กน้อย
“ระวังจะยิ้มไม่ออกนะครับคุณเพ่ย หน้าตานี่เคร่งเชียว” วัฒนะบอกเอาไว้ล่วงหน้าเพื่อจะได้เตรียมตัวรับมือกับอารมณ์ของอมเรศทัน
“ไปเถอะครับคุณเพ่ย ทางนี้เดี๋ยวผมจัดการต่อ” คนสวนบอก จากนั้นระพีพรรณก็วางทุกอย่าง แล้วไปล้างทำความสะอาดมือเป็นอย่างดี แต่ลืมเช็ดหน้าตัวเองเสียอย่างนั้น เรียบร้อยก็วิ่งเข้าบ้านไปทันที คนสวน ต้นหลิวหรือแม้แต่วัฒนะก็ห้ามเอาไว้ไม่ทัน เพราะอมเรศไม่ชอบให้ระพีพรรณวิ่งเป็นม้าดีดกะโหลกแบบนี้
“ตายๆๆ เคยเดินกับเขาบ้างไหมเนี่ย” ต้นหลิวบ่นอุบพลางถอนหายใจ
“คุณชายคงชินแล้วมั้งพี่ว่า” วัฒนะให้ความเห็นก่อนจะตามเข้าไปในบ้าน และเช่นเดียวกันด้วยความเป็นห่วงต้นหลิวก็ตามเข้าไปด้วย
เวลาเดียวกันนั้น ระพีพรรณก็วิ่งตรงไปยังห้องทำงาน ชนิดที่ไม่สนใจสายตาของคนรับใช้ฝ่ายหม่อมอมราเลย ประตูห้องทำงานของอมเรศก็เปิดกว้างรอรับอยู่ก่อนแล้ว เธอก็ลืมเคาะประตูไปเสียสนิท เข้ามาถึงห้องปุ๊บเห็นอมเรศนั่งอยู่บนโซฟาด้วยท่าทางเคร่งเครียด เธอจึงวิ่งไปนั่งคุกเข่าลงกับพื้น ยิ้มอย่างยียวนกวนประสาทเพื่อให้เขายิ้มตอบ อมเรศไม่ได้ยิ้มรับเพราะว่าเธอยิ้มหวานหรอก หากแต่ความมอมแมมทำให้เขาอดขำไม่ได้ แต่ต้องกัดฟันแน่นเพื่อคงความเก็กเอาไว้อยู่
“เอ่อ คุณชายอยากพบเพ่ยมีเรื่องอะไรคะ” น้ำเสียงหวาน ๆ ถามเขาแบบรัวๆ อย่างกับรีบร้อนเสียหนักหนา
“พี่บอกหลายครั้งแล้วว่าอย่าวิ่ง หัดเคาะประตู และให้พูดช้า ๆ” อมเรศตำหนิด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“ก็เพ่ยรีบ กลัวไม่ทันอารมณ์เลยต้องวิ่ง และที่ไม่เคาะประตูเพราะคุณชายเปิดเอาไว้แล้ว คุณชายก็เห็นว่าเพ่ยมา และที่พูดเร็ว ก็มันชิน” นี่มันเป็นคำอธิบายของเธอ หรือว่าเป็นการเถียงเพื่อให้พ้นผิดกันแน่นะ ซึ่งเขาฟังว่าเธอกำลังเถียง
“เมื่อกี้นี้เถียง” เขาต่อว่าอีกครั้งพลางจ้องมองใบหน้ามอมแมมของเธอ ไร้ซึ่งความงดงามของสาวน้อยวัยย่างยี่สิบปีเพราะมีแต่ฝุ่นและดิน
“เพ่ยอธิบายค่ะ ไม่ได้เรียกว่าเถียงสักหน่อย” นี่ก็น่าจะเรียกว่าเถียงคำไม่ตกฟากอีกนั่นแหละ เขาคิดพลางหรี่ตามองเธออย่างเอาเรื่อง
“อธิบายกับเถียงเส้นแบ่งมันแค่บาง ๆ เท่านั้นนะ แล้วใครให้ไปขลุกอยู่ในสวนอีกล่ะ”
“ไม่มีใครบอกค่ะ เพ่ยไปเอง วันนี้เพ่ยว่างค่ะ” เธอตอบด้วยน้ำเสียงสดใสร่าเริง โดยไม่ทันคิดว่าเขาเคยห้ามไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ว่าไม่ใช่หน้าที่จะต้องทำ
“วันนี้เรามีนัด จำไม่ได้เหรอ พี่นึกว่ากลับจากทำงานแล้วเพ่ยจะแต่งตัวรอเสียอีก กลับมายังต้องให้พี่ปวดหัว”
“เพ่ยไม่ไป หม่อมท่านไม่ให้เพ่ยไป” เธอฟ้องเสียเลยสินะ
“มันเป็นคำสั่งพี่ แล้วเกี่ยวอะไรกับคำสั่งของคุณแม่ล่ะ”
“ก็เพ่ยไม่ใช่พวกไฮโซ ไม่ใช่เชื้อเจ้า งานนี้เป็นงานการกุศล เพ่ยไปด้วยมีแต่จะอับอาย เพ่ยก็ยอมรับค่ะไม่ไปดีกว่า ขี้เกียจแต่งตัว”
“นี่คุณแม่พูดอะไรกับเราบ้างเนี่ย หืม ถึงได้เปลี่ยนใจง่าย”
“เพ่ยเป็นคนนอก ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคุณชายหรือหม่อม” ถ้าเขาถามเธอก็ยินดีตอบตรง ๆ และนี่แหละคือเรื่องจริง
“เฮ้อ!!! พี่ไม่ชอบเวลาที่เราเรียกพี่ว่าคุณชาย ฟังดูเหมือนประชดประชัน ปกติก็ไม่ได้เรียกแบบนี้นี่ หืม งอนเพราะเรื่องที่หม่อมพูดหรือเปล่า” เขาเดาได้ถูกต้องเผงเลย
“เฮ้อ!!!” อมเรศถอนหายใจอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเธอเงียบ จากนั้นเขาจึงเอื้อมมือไปหยิบเอากระดาษทิชชูเปียกสามแผ่นออกมา แล้วยื่นไปเช็ดหน้าให้กับเธออย่างเบามือ สายตาคมกริบมองไปทั่วทั้งใบหน้างามด้วยความเอ็นดู ขณะที่ระพีพรรณจ้องเขาตาปริบ ๆ พร้อมกับยิ้มและทำปากจู๋ราวกับเด็กน้อยอายุสิบขวบเสียอย่างนั้น
กระทั่งความเปรอะเปื้อนหลุดออกไปจนหมด ความงดงามสดใสก็เข้ามาแทนที่ทันที อมเรศชื่นชมผลงานของตัวเองด้วยความลืมตัว จ้องมองระพีพรรณในระยะใกล้พร้อมกับยิ้มมุมปาก ก่อนที่สายตาทั้งสองคู่จะประสานกันโดยไม่ได้นัดหมาย กระแสไฟบางอย่างทำให้ทั้งคู่จ้องลึกเข้าไปหวังจะหยั่งความรู้สึกแปลกประหลาดที่มันกำลังก่อตัว จังหวะเดียวกันนั้นวัฒนะกับต้นหลิวก็แอบดูอยู่ตรงประตู และปิดประตูเบา ๆ ก่อนจะยืนเฝ้าด้านหน้า