แต่การมาอยู่ในวังของระพีพรรณเสมือนกาฝากก็ไม่ผิดนัก มีทั้งคนชอบและไม่ชอบ เพราะในวังแบ่งพรรคแบ่งพวก ฝ่ายหนึ่งเข้าทางหม่อมอมรา อีกฝ่ายหนึ่งเข้าทางคุณชายอมเรศซึ่งดูจะมีภาษีมากกว่า เพราะอมเรศถือสิทธิ์ของหัวหน้าครอบครัว ใครก็ไม่กล้าหือกระทั่งหม่อมอมราก็ต้องยอม
หลังจากที่อมเรศพาระพีพรรณทำความรู้จักกับทุกคน รวมถึงดูความยิ่งใหญ่ของวังแล้ว ก็กลับขึ้นห้องพร้อมทั้งถือโอกาสไปส่งเธอที่ห้องรับรอง ก่อนจะกลับมาที่ห้องของตนเอง เพื่อจะได้เตรียมตัวรับแขกอีกคน ซึ่งจะมาเยือนในเวลารับประทานอาหารมื้อค่ำ จะเป็นฝีมือใครไปไม่ได้นอกเสียจากหม่อมอมรา มารดาผู้แสนจะเจ้ากี้เจ้าการเรื่องหัวใจ จะปฏิเสธหรือก็ไม่ได้ ต้องแกล้งยินดีที่จะได้พบหน้าว่าที่ลูกสะใภ้
หากแต่เวลานี้อมเรศไม่มีกะจิตกะใจจะนึกถึงสิ่งใด เพราะตั้งแต่เลิกงานกลับมาจนกระทั่งรับรู้ข่าวการเสียชีวิตของพี่ชายร่วมสาบาน มันก็ทำให้เขาแทบจะคุมสติเอาไว้ไม่อยู่ พยายามอย่างมากที่จะเข้มแข็งเพื่อจะได้ปลอบใจสาวน้อยที่ระหกระเหินมาขอความช่วยเหลือ และสุดท้ายอมเรศก็อดคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาไม่ได้
สิบปีมาแล้ว กับจุดเกิดแห่งเรื่องราวที่เป็นต้นเหตุนำมาซึ่งคำสัญญา และหนี้บุญคุณที่ทดแทนทั้งชีวิต ก็ไม่รู้จะเพียงพอหรือไม่ ตอนนั้นอมเรศในวัยสิบเจ็ดปี พร้อมด้วยบิดาหม่อมเจ้าอัศวเรศ ถูกลักพาตัวไปในระหว่างเดินทางไปร่วมงานเรียนจบของอมเรศ ทั้งคู่ถูกลักพาตัวไปอย่างไร้จุดหมาย มองไม่เห็นเส้นทางเพราะถูกมัดมือและปิดตาเอาไว้เพราะโจรไม่ได้ต้องการเรียกค่าไถ่แต่ต้องการฆ่าปิดปาก
เพราะหม่อมเจ้าอัศวเรศไปล่วงรู้ความลับบางภายในบริษัทอย่างเข้า นั่นคือเพื่อนของท่าน ซึ่งเป็นผู้บริหารระดับสูงแอบยักยอกเงินไปหลายร้อยล้าน รวมทั้งให้ชาวต่างชาติเข้ามาโกงเงินด้วย ซึ่งแม้ท่านจับได้ก็ไม่ได้แจ้งความ หรือบอกใครแต่อย่างใด เพียงแค่ต้องการให้หยุดและยื่นใบลาออกพร้อมกับคืนทุกอย่าง เขาไม่ทำตามและหนีไปต่างประเทศทันที พร้อมกับสร้างบาดแผลขนาดใหญ่เอาไว้ให้กับครอบครัวของอมเรศ ด้วยการจ้างนักฆ่ามาปิดปากหม่อมเจ้าอัศวเรศแต่เพียงคนเดียว เพราะกลัวว่าสักว่าจะถูกเปิดโปง
ทว่าในวันที่อุ้มท่านไปนั้นอมเรศได้ถูกพ่วงเข้าไปด้วย เป็นเหตุให้พ่อลูกทั้งสองหาทางหนีอย่างหัวซุกหัวซุนเพื่อเอาตัวรอด หม่อมเจ้าอัศว เรศถูกยิงเสียชีวิตในระหว่างหลบหนีเข้าไปในดงหญ้า ส่วนอมเรศนั้นหลบซ่อนตัวโดยที่ไม่มีใครเห็น ระหว่างที่หลบซ่อนตัวนั้น กลับเห็นเหตุการณ์ที่บิดาถูกยิงตายไปต่อหน้าต่อตา แต่ไม่สามารถออกมาช่วยเหลือได้ ื
เมื่อคล้อยหลังฆาตกรใจโหดได้เพียงชั่วอึดใจ อมเรศก็วิ่งไปอย่างไร้จุดหมายเพื่อหวังจะหาที่พึ่ง และก็พบเข้ากับศาลเจ้าแห่งหนึ่งจึงหนีเข้าไปหลบซ่อนตัว ฆาตกรรับจ้างกำลังจะตามเข้าไปค้นในศาลเจ้า ทว่ากลับถูกสกัดออกไปโดยเจ้าถิ่นซึ่งเป็นทายาทผู้ทรงอิทธิพลในเขตนั้นเช่นกัน
“พวกนายเป็นใคร” ย่งเส็งบุตรชายของผู้มีอิทธิพลประจำถิ่น เอ่ยถามชายแปลกหน้าสี่คน ที่ยืนด้อม ๆ มอง ๆ อยู่หน้าศาลเจ้าปู่ย่า
“เอ่อ เรามาหาคน มันขโมยของ ๆ เรา” ชายคนหนึ่งเป็นคนตอบ
“หน้าตาเป็นยังไง เผื่อเราจะเคยเห็นหน้า” ย่งเส็งถามกลับไปเสียงเรียบ
“คือ ผิวขาว รูปร่างสูง อายุประมาณสิบเจ็ดหรือสิบแปดมันขโมยของ เราเลยวิ่งไล่ คิดว่ามันเข้ามาหลบในศาลนี้” คำบอกเล่าไม่น่าเชื่อถือก็ตรงที่ คนเล่าหน้าตาอย่างกับโจร แต่คนที่บอกว่าเป็นขโมยนั้นฟังดูแล้วไม่เหมือนโจรเลยสักนิด
“หึ ๆ ไม่มีคนแบบนี้ป้วนเปี้ยนแถวนี้เลย เข้าใจผิดหรือเปล่า คนเข้าออกศาลปู่ย่าทั้งวัน แล้วลักษณะที่นายพูดมาเขาเหมือนคุณหนูมากกว่าโจรเสียอีกนะ ส่วนหน้าตาพวกนายก็...” ย่งเส็งหยุดเอาไว้เพียงเท่านั้นก่อนจะยิ้มเยาะ
“จะมากเกินไปแล้วนะ” ชายคนเดิมทำท่าจะหาเรื่องย่งเส็งแต่ลูกน้องของย่งเส็งมีมากกว่า ทำให้เพื่อน ๆ ที่มาด้วยกันต้องปรามเอาไว้เพราะไม่ใช่ถิ่นของตนเอง
“ถ้าไม่เห็นก็ไม่เป็นไร เราจะไปตามหากันที่อื่น ถ้าเจอก็บอกเราด้วยก็แล้วกัน จะได้นำส่งตำรวจ” ชายอีกคนหนึ่งเป็นคนบอก
“หึ ๆ เชิญ” ย่งเส็งกล่าวพร้อมกับหัวเราะในลำคอเบา ๆ
จากนั้นชายแปลกหน้าทั้งหมดจึงรีบจากไป แต่ไม่วายมองเข้าไปในศาลเพื่อกวาดสายตามองหาอมเรศ
“ไม่เคยเห็นพวกนี้มาก่อน ท่าทางอย่างกับโจรแน่ะ” ย่งเส็งกล่าว
“เฮียเชื่อมันหรือเปล่าครับ ว่าคนที่มันตามหาขโมยของ ๆ มันน่ะ” ลูกน้องคนหนึ่งถามขึ้น
“หน้าตาอย่างนั้น เป็นคนขโมยเองมากกว่า เราเข้าไปในศาลเถอะ ฉันอยากจะเห็นหน้าคนที่พวกนั้นตามหาจะแย่อยู่แล้ว” ว่าแล้วย่งเส็งก็เดินนำเข้าไปก่อน พร้อมกับสั่งให้ลูกน้องแยกย้ายกันออกตามหาผู้ต้องสงสัยรอบ ๆ ศาล
ย่งเส็งเดินเข้ามาด้านในพร้อมกับเพ่งสายตาไปที่ด้านหลังของรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิม ก่อนจะย่างเท้าเข้าไปอย่างช้า ๆ ขณะเดียวกันเขากลับได้ยินเสียงร้องไห้เบา ๆ ของผู้ชาย ฟังจากน้ำเสียงแล้วน่าจะเป็นวัยรุ่นเหมือนอย่างที่เจ้าพวกนั้นบอก เมื่อเดินมาถึงรูปปั้นจึงได้เห็นว่ามีคนนั่งพิงรูปปั้นอยู่ พร้อมกับปิดปากตนเองเอาไว้เพราะกลัวใครจะมาได้ยิน
“เราเป็นขโมยที่เจ้าพวกนั้นตามหาหรือเปล่า” เสียงของย่งเส็งทำให้ชายหนุ่มตกใจและรีบลุกพรวดขึ้นยืนทันที รูปร่างลักษณะไม่ผิดจากที่เจ้าพวกคนนั้นบอกเอาไว้ แต่ไม่เหมือนคนขี้ขโมยเลย
“ผมไม่ได้ขโมยอะไรครับ ผมขอหลบซ่อนตัวอยู่ตรงนี้สักพักได้หรือเปล่า” น้ำเสียงของอมเรศดูสั่นและหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
“พวกนั้นไปแล้ว ออกมาเถอะและช่วยเล่าให้ฟังทีว่ามันเกิดอะไรขึ้น ถ้านายไม่เล่าฉันจับส่งตำรวจจริงๆ ด้วย”
“อย่า!!! อย่าจับผมส่งตำรวจเลยนะครับ ผมไม่อยากให้ใครรู้ว่าผมอยู่ที่นี่”
“งั้นก็ออกมาเถอะ มาเล่าให้ฉันฟัง ฉันรับรองว่านายจะปลอดภัยจากพวกนั้นแน่นอน”
ว่าแล้วอมเรศจึงเดินออกมาช้า ๆ ขณะที่ย่งเส็งสังเกตท่าทางด้วยความสงสัย
“เอาล่ะคุยกันที่นี่ไม่สะดวก ไปที่บ้านฉันดีกว่า ดูเหมือนนายจะอ่อนเพลียด้วย เดี๋ยวจะหาอะไรให้กินจะได้มีแรง” อมเรศเชื่อว่าผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าไว้ใจได้แน่นอน เพราะดูจากคำพูดและน้ำเสียงมีความจริงใจไม่ได้เสแสร้งหรือเป็นพวกเดียวกับฆาตกรพวกนั้น