“อะแฮ่ม!!! ค่อยยังชั่ว ค่อยดูเป็นผู้เป็นคนหน่อย” อมเรศกระแอมเตือนสติตัวเองก่อนจะพูดแก้เขิน
“แล้วเมื่อกี้เป็นอะไรคะ” ระพีพรรณหุบยิ้มและถามด้วยความอยากรู้
“เป็นลิง หรือไม่ก็ม้าดีดกะโหลก พออยู่นิ่ง ๆ หน้าเกลี้ยง ๆ ก็ถึงได้ดูออกว่าอ๋อ คนนี่หว่า” เขามันช่างกวนประสาทหน้าตายเสียเหลือเกิน
“เพ่ยก็ไม่ใช่ลูกผู้ดีตีนแดงนี่คะ จะได้นิ่งเป็นหุ่น หุ่นเหมือนเอ่อ... คุณหญิงน้อย คุณหญิงเกตุ และอีกหลายคน” เธอเองก็ประชดเก่งไม่เบา แถมยังไล่รายชื่อบรรดาสาว ๆ ที่หม่อมอมราหามาให้อีกต่างหาก
“แบบนั้นถูกใจคุณแม่เลยล่ะ” อมเรศตอบยิ้ม ๆ ก่อนจะขยับตัวออกมาให้ห่างระพีพรรณ แต่ทว่าเธอกลับเบ้ปากใส่พลางตวัดหางตาแล้วเมินไปทางอื่น
“ทำไม อิจฉาเหรอ” อมเรศแซวอีกครั้ง
“จะให้เพ่ยอิจฉาตรงไหนคะ หม่อมแม่ของคุณชายไม่ได้ปราบปลื้มในตัวเพ่ยอยู่แล้วตั้งแต่เล็กจนโตป่านนี้” นี่ไม่น่าจะเรียกว่าประชดเสียแล้ว แต่เธอดันพูดเรื่องจริง ที่ทำให้อมเรศถึงกับหุบยิ้มแล้วถอนหายใจแทน
“เพ่ยก็ไม่ได้ทำให้ท่านชอบเสียทีนี่นะ” เขาคงคิดว่าเป็นเพราะเธอที่ไม่ยอมปรับตัวสินะ
“เพ่ยก็เป็นของเพ่ยแบบนี้ ไม่ใช่กุลสตรีด้วย ออ... ออกนอกเรื่องไปไกลแล้ว พูดถึงงานคืนนี้ดีกว่า เพ่ยไม่ไป”
“ไม่ไปไม่ได้ พี่สั่ง” อมเรศถือสิทธิ์ในความเป็นผู้ปกครองของเธอ แต่ลืมไปแล้วหรืออย่างไรว่าหม่อมอมราไม่ยอมแน่ ๆ
“เพ่ยไม่ไป ดูปากนะคะ ไม่ไป” บอกให้ดูยังไม่พอ แต่เธอกลับเอานิ้วชี้ที่ริมฝีปากอิ่มพร้อมกับทำปากจู๋ใส่เขา ตามนิสัยที่งอแงแล้วทำเช่นนี้อยู่เรื่อย
“เพราะแบบนี้ หัวดื้อ หัวร้น ขัดเกลายังไงก็ไม่ได้เรื่องสักที พี่พยายามจะเจียระไนก้อนกรวดให้กลายเป็นเพชรก็คงไม่ได้สินะ ใช่ไหม” อมเรศชักสีหน้าเคร่งเครียดใส่เธอพร้อมกับต่อว่าเสียเลย
“งั้นก็อย่าขัดเกลาให้ยุ่งยากเลยค่ะ กรวดยังไงก็ยังเป็นกรวดอยู่ว่ายังค่ำ”
“เมื่อไหร่จะหยุดเถียงคำไม่ตกฟากเสียที อยากให้พี่มองเป็นผู้ใหญ่ก็ต้องทำตัวให้มีเหตุผลสิ”
“ก็ได้ค่ะ เหตุผลก็คือ เพ่ยไม่ไป จะไม่มีทางไปร่วมงานที่ทุกคนมองเพ่ยตั้งแต่หัวจรดปลาย... ปลายเท้า แล้วเอาไปดูถูก หาว่าเป็นกาฝากบ้างล่ะ เด็กกำพร้าบ้างล่ะ บางทีเพ่ยก็ไม่ได้อยากฟัง อยากจะเข้าไปต่อยอีคนที่ปากเสียสักหมัดสองหมัด” นึกแล้วเชียวว่าเธอจะลงท้ายประโยคแบบนี้
“รวมทั้งหม่อมแม่พี่ด้วยหรือเปล่า” อมเรศพยายามไม่ทำให้เธอหงุดหงิดมากไปกว่านี้จึงต้องยิ้มบางๆ เล็กน้อย
“ใครจะกล้าล่ะคะ” เธอว่าพลางเมินหน้าหนี
“ทั้งบ้านเราไปกันทุกคน เพราะฉะนั้นในฐานะคนในครอบครัวพี่ถึงอยากให้เพ่ยไปด้วย ถือว่าเปิดตัวน้องสาวพี่ไง ใกล้จะอายุครบยี่สิบแล้ว ควรออกงานสังคมบ้างจะได้รู้จักคนเยอะ ๆ และมีเพื่อน” น้องสาวอย่างนั้นหรือ ฟังอย่างนี้แล้วแทนที่เธอจะรู้สึกดี แต่กลับรู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย
“เอาความจริง เพ่ยไม่อยากเถียงกับคุณชายแล้ว อย่างที่บอกว่าหม่อมท่านห้ามเพ่ยเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ท่านไม่อยากให้ใครมาซักถามว่าเพ่ยเป็นใครมาจากไหน”
“คุณแม่นะคุณแม่ ฟังพี่นะ อยู่ข้างพี่ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น คนเก่งอย่างเพ่ยพี่เชื่อว่ารับมือได้สบาย หรือจะยอมให้คนอื่นรังแกล่ะ”
“เพ่ยก็ไม่รู้เหมือนกัน บางทีก็ไม่อยากทำให้คุณชายเสียหน้านี่คะ”
“สำหรับเพ่ยพี่ไม่เคยรู้สึกเสียหน้า มีแต่อยากจะพาออกนอกหน้า”
สิ้นคำของเขา เธอก็เงยหน้ามองด้วยความแปลกใจ พลางจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคมกริบสีน้ำตาลเข้ม เหมือนจะค้นหาบางอย่างจากความหมายที่เขาเอ่ยออกมา
“เอ่อ... เพ่ย คือ” เวลานี้เธอแทบจะพูดอะไรไม่ออก เพราะกำลังตีความหมายประโยคเมื่อครู่ของเขา
“นะ ไปกับพี่” อมเรศขอร้องด้วยน้ำเสียงออดอ้อน พร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“ไปก็ได้ค่ะคุณชาย” ระพีพรรณรับคำพร้อมกับเรียกเต็มยศ นี่แหละที่จะทำให้เขาไม่พอใจอีกครั้ง
“เรียกใหม่สิ เรียกดี ๆ ไม่ใช่เรียกประชด แล้วก็เลิกงอนเรื่องที่คุณแม่พูดได้แล้ว”
“ไปก็ได้ค่ะพี่ชาย เพ่ยก็เรียกได้เฉพาะเวลานี้แหละ ต่อหน้าหม่อมใครจะกล้าเรียก”
“ก็เอาไว้เรียกเวลาที่เราอยู่กันสองคนไง อย่างเช่นตอนนี้” อมเรศเอ่ยน้ำเสียงทุ้มนุ่มอ่อนโยนขึ้น พร้อมกับยิ้มหวานและกว้างเสียจนเห็นฟันขาว ๆ เรียงกันอย่างสวยงาม
“คือ เพ่ย ขอตัวขึ้นไปอาบน้ำดีกว่าค่ะ เอ่อ เจอกันกี่โมงคะ” ระพีพรรณรีบดึงอารมณ์บางอย่างให้กลับเข้าที พร้อมกับตัดบทพูดเรื่องอื่นแทน
“พี่จะรออยู่ด้านล่างหกโมงครึ่งจ้ะ หวังว่าคงจะตรงเวลา”
“เพ่ยตรงเวลาเสมอ แต่ห้ามโทรขึ้นไปเร่งเป็นอันขาด ไม่งั้นเพ่ยอาจจะเปลี่ยนใจ” พูดจบเธอจึงลุกขึ้นยืน เพื่อจะออกไปจากห้อง แต่เขาก็พูดดักคอเอาไว้เสียก่อน
“ก็ถ้าลงมาช้า เจอพี่ขึ้นไปตามแน่”
“น่ากลัวตายล่ะ” เธอว่าก่อนจะสะบัดหน้าใส่แล้วเปิดประตูออกจากห้อง โดยไม่ทันได้สังเกตว่าอมเรศกำลังยิ้มชอบใจอยู่สักพัก ก่อนจะออกไปจากห้องทำงานเพื่อกลับขึ้นห้องเช่นกัน แต่แล้วเขาก็เจอหม่อมอมราเสียก่อน ซึ่งดูเหมือนว่ากำลังรอเขาอยู่ก่อนแล้ว