ห้องทรงพระอักษร
"ข้าได้ยินว่าเจ้ามาถึงเมืองหลวงนานแล้ว แต่เหตุใดไม่เข้าวัง จวนที่จัดเตรียมไว้ก็ไม่เข้าไปอยู่ หอนั้นมีอะไรดี? "
"ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเพียงคิดว่าอยากเที่ยวชมเมืองสักพัก ดูความเป็นอยู่ของคนในเมือง"
"เจ้าจะโทษข้าว่าไม่สนใจเจ้า ถึงได้ส่งเจ้าไปอยู่ชายแดนจนหลงลืมความเป็นอยู่ของเจ้า? "
"กระหม่อมหาได้คิดเช่นนั้น กลับคิดว่าเป็นการดีเสียด้วยซ้ำไปพ่ะย่ะค่ะ ได้เปิดหูเปิดตาและได้ใกล้ชิดกับราษฎรของฝ่าบาทมากยิ่งขึ้น"
"เจ้าคิดเช่นนั้นก็ดี แต่ที่เจ้ายังไม่คิดจะกลับจวนคงไม่ใช่เหตุผลเดียวกับที่บุรุษออกจากจวนเพื่อเที่ยวหาความสำราญ? " เขาเพียงก้มหน้าไม่ตอบรับในสิ่งที่ฝ่าบาทกล่าวใดๆ
"เฮ้อ! เหนียนอ๋อง หากเจ้าต้องการสตรีข้าจะสั่งให้คนจะจัดหาอนุให้เจ้า ดีกว่าที่เจ้าจะเข้าออกหอนางโลม เจ้าเป็นราชนิกุลมีสายเลือดของโอรสสวรรค์..."
"ขอบพระทัยฝ่าบาท เรื่องคู่ครองกระหม่อมขอเป็นผู้จัดการเอง"
"แต่ข้าก็จะไม่ยอมรับสตรีที่แม้จะสกุลดีแต่ความทำตัวให้หมองมัว ให้เหล่าบุรุษยลโฉมเพียงเพื่อความสุขสำราญ เหมือน..."
"เหมือนพระมารดาของกระหม่อมที่ถูกปรับปรำว่าเป็นนางจิ้งจอก ใช้เวทมนต์คุณไสยเพื่อให้ฝ่าบาทหลงใหล? "
"เจ้า!" ฮ่องเต้เริ่มไม่พอพระทัย แต่ก็ระงับปรับสีพระพักตร์ให้ปกติ ทว่าในใจกลับว้าวุ่น ภาพสตรีงดงามที่แม้ยามน้ำตาไหลอาบข้างแก้ม
"ในเมื่อฝ่าบาทตัดสินพระทัยเชื่อว่าหม่อมฉันเป็นดาวหายนะ
ทำให้สงครามครั้งนี้พ่ายแพ้จนมีพระราชสาส์นให้ส่งตัวสตรีเป็นเครื่องราชบรรณาการ หม่อมฉันก็ย่อมจะต้องยินดีไปอยู่ที่แคว้นนั้นไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งใดก็ตาม
หม่อมฉันไม่คิดปลิดชีพตนเองแต่จะยืนหยัดมีความสุขกับสิ่งที่ฝ่าบาทเป็นผู้ออกราชโองการนี้ และหากแม้นหม่อมฉันได้ยินว่าบุตรชายของหม่อมฉันได้รับความทุกข์ทั้งกายและใจ สงครามระหว่างแคว้นจะเกิดขึ้นอีกแน่ นี่ไม่ใช่คำข่มขู่แต่ฝ่าบาททราบว่าหม่อมฉันทำให้เกิดขึ้นได้"
"เวลานี้คงไม่สำคัญแล้ว หรือว่าเจ้ายังโกรธคิดแค้นข้าที่ให้นางไป" ฮ่องเต้นึกถึงคำสตรีที่เคยเป็นอดีตฮองเฮา แต่เพราะความพ่ายแพ้และสิ่งที่แคว้นนั้นร้องขอนอกจากดินแดนที่ต้องสูญเสียไปคือสตรีตัวประกันว่าเขาจะไม่ก่อสงครามอีก หากไม่เพราะในวังมีเรื่องหนาหูเกี่ยวกับเวทย์มนต์คุณไสย นางก็คงถูกเผาตามฎีกาที่เหล่าขุนนางร้องขอมา
"กระหม่อมมีสิทธิ์ที่จะคิดหรือทักท้วงหรือพ่ะย่ะค่ะ พระมารดาเลือกที่จะยุติปัญหาทุกอย่างเพื่อบุรุษที่นางรักถึงสองคน ฝ่าบาทคงหลงลืมว่าพระพักตร์ของอดีตฮองเฮาเมื่อครั้งขึ้นต้องเสด็จไปอยู่ที่แคว้นอื่นเพียงเพื่อ..."
"ปัง!" เสียงฝ่าพระหัตถ์ทุบไปยังโต๊ะพระอักษร ด้วยความขุ่นเคืองพระทัย ทำให้เหนียนอ๋องหยุดเอ่ยคำ แม้ในใจอยากจะเอ่ยมากกว่านี้ทว่าเขาก็มิสามารถทำเช่นนั้นได้ จนกระทั่งได้ยินพระสุรเสียง
"ข้าผิดเองที่ส่งนางไป ข้าผิดที่ปกป้องสตรีที่ข้ารักไม่ได้" เขาฟังคำผู้เป็นบิดาด้วยใบหน้าเรียบเฉย หากในอดีตเขายอมเชื่อแต่เวลานี้กลับไม่ใช่ในเมื่อแคว้นหนานจื้อในเวลานี้มีกองทัพที่เกรียงไกรพอๆ กับแคว้นนั้น แต่ฮ่องเต้กลับไม่มีความคิดจะพานางกลับแคว้น มีเพียงแต่เขาที่คิดหาหนทางแต่เพียงผู้เดียว
"เอาล่ะ เหนียนอ๋อง ข้าไม่ต้องการให้เจ้าคิดเรื่องในอดีต ตำแหน่งเจ้าก็ไม่ธรรมดา อย่าได้ให้เหล่าขุนนางนำเรื่องของเจ้าไปเป็นหัวข้อเสวนา หากคำสั่งของข้า ยังไม่สามารถทำให้เจ้าเข้าใจ ตำแหน่งที่ข้าเคยมอบให้ คงรู้นะ!" เพียงสิ้นคำเหนียนอ๋องยิ้มหยันขึ้น
"แล้วแต่ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ เพราะหากมีอำนาจแต่ปกป้องสตรีที่ตนรักไม่ได้ กระหม่อมว่ามีไปก็ไร้ค่า เฉกเช่นพระมารดามียศสักวันก็สิ้นยศ ฝ่าบาทคงหลงลืมพระมารดารอกระหม่อมอยู่ที่แคว้น และเมื่อใดที่กระหม่อมไป ฝ่าบาทย่อมทราบว่ากองทัพทั้งหมดที่ร่วมเป็นร่วมตายกับกระหม่อมก็จะไปด้วยเช่นกัน"
"เจ้า! เหนียนอ๋อง เจ้าลูกอกตัญญู!"
"อกตัญญู? หากฝ่าบาทคิดว่าบุตรชายจะไปอยู่กับมารดาเป็นเรื่องกตัญูญู ฝ่าบาททำให้กระหม่อมเปิดหูเปิดตาเสียแล้ว กระหม่อมทูลลา" เขาประสานมือโค้งคำนับ หมุนตัวกลับ
"เหนียนอ๋อง! หยุด!ข้าบอกให้หยุด จ้าวยวี่เสียง หยุดเดี๋ยวนี้"
ขาที่ก้าวเพียงไม่กี่ก้าวหยุดลงทันที เขาหันมามองพระพักตร์ของฝ่าบาทด้วยใบหน้าเรียบเฉย
"ฝ่าบาทอย่าทรงกังวลแทนกระหม่อมเลยพ่ะย่ะค่ะ อ๋อ! จวนหลังนั้นเป็นฮองเฮาจัดการ กระหม่อมไม่อยากใช้หนี้บุญคุณ อีกอย่างเรื่องระหว่างกระหม่อมกับฝ่าบาทคงไม่ต้องให้ผู้ใดรายงาน เพราะเจ้าตัวยืนฟังอยู่ด้านนอก เวลานี้คงเหมาะให้มังกรปลอบประโลมหงส์น่าจะดีกว่านะพ่ะย่ะค่ะ" เมื่อกล่าวจบเขาหาได้สนใจว่าตนได้ลูบเกร็ดมังกร แล้วจะเกิดอันใดขึ้นในภายหน้า
เขาเดินหันหลังก้าวเท้าออกไปและสวนทางกับสตรีวัยกลางคนที่ยังคงงามพิลาศ แต่งกายเต็มยศ ยืนจ้องหน้าเขาเขม็งยามเมื่อสบตากัน
"เหนียนอ๋อง วาจาร้ายไม่เบานี่" นางไม่ชื่นชอบบุตรชายของฮ่องเต้ผู้นี้นัก วาจาที่เหน็บแนมนางเมื่อครู่ นางได้ยินชัดเจน
"วาจาข้าร้ายแต่เมื่อเทียบกับฮองเฮาแล้ว กระหม่อมยังฝึกปรืออีกมากพ่ะย่ะค่ะ"
"เจ้า!"
"ชู่! อย่าทรงมีโทสะ เพราะถึงอย่างไรฮองเฮาคงต้องเจอกระหม่อมบ่อยขึ้น เก็บอารมณ์พิโรธไว้ใช้วันหน้าบ้างพ่ะย่ะค่ะ ใช้วันนี้หมดกระหม่อมเกรงว่าจะประชวรเสียก่อน"
"ข้าน้อยเกรงว่าเหนียนอ๋องกล่าวแรงเกินไป ดูไม่เหมาะนะ
เพคะ" มามาคู่พระวรกายของฮองเฮาเอ่ยแทนผู้เป็นใหญ่ในวังหลัง
"ขอบใจที่เตือนข้านะ มามา หากเมื่อครู่นี้เจ้าฟังคำข้าแล้วยังระลึกได้ว่าไม่เหมาะสม เจ้าผู้มีสติยั้งคิดก็สมควรตระหนักว่าควรจะตักเตือนแม่ของแผ่นดินบ้าง เพราะในเมื่อเจ้ามีเวลาเตือนข้าเช่นนี้แสดงว่ามีเวลามากพอที่จะเตือนสติ..." เขาไม่เอ่ยฮองเฮาเพียงใช้สายตามองพระพักตร์ของพระนางแทน และยกมุมปากยิ้มทำให้ฮองเฮารู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วใบหน้า ทรงพิโรธจัดแต่ก็ไม่อาจทำได้ดังใจที่ต้องการ ทำได้เพียงลอบกำหมัดจนขึ้นข้อขาว
“อย่ากำหมัดแน่นนัก ประเดี๋ยวจะทรงห้อเลือด เดือดร้อนผู้อื่นอีกนะพ่ะย่ะค่ะ ฮองเฮา”
“เจ้า!”
“จุ๊ๆ” เขาเดินชิดฮองเฮาอย่างถือดี กระซิบเบาๆ ให้นางได้ยินเท่านั้น “บางครั้งข้าก็อยากลองบ้าง อยากรู้นักว่ามีอะไรดี แต่คิดอีกที สกปรก!”