บทนำ
สตรีคลุมครึ่งหน้าเหลือไว้แต่เพียงช่วงบนของใบหน้า
สายตาชม้ายชายตาแลผู้คนที่ต่างจับจ้องตรงมายังนาง มือหนึ่งค่อยๆ ลูบแขนอีกข้างที่ยกสูงไล่ลงมาจนถึงคาง ก่อนที่จะหมุนตัวสะบัดสะโพกเร่งเร้าตามจังหวะท่วงทำนองของเครื่องดนตรีกู่เจิง เสียงดนตรีที่ไพเราะ นุ่มนวล กอปรกับผู้ร่ายรำมีท่วงท่าพลิ้วไหวหาจุดท้วงติงไม่ได้ ผู้ที่ชมการแสดงต่างพากันเคลิบเคลิ้มราวต้องมนต์ เมื่อผู้ดีดพิณแสดงท่วงทำนองพลิ้วไหวของสายน้ำ สายฝนหรือสายลมตามแต่ฤดูกาลที่ผันเปลี่ยน จวบจนบทเพลงบรรเลงจบ ผู้ชมต่างปรบมือชื่นชมกับการแสดงชุดนี้
"เยี่ยม! แสดงได้เยี่ยมมาก" โอรสสวรรค์ตรัสขึ้นพร้อมแย้มพระสรวลให้กับการแสดงชุดนี้ เหล่าขุนนางเมื่อเห็นพระพักตร์ก็ต่างอิ่มเอมใจไปตามๆ กัน เพียงไม่นานเจ้าของคณะละครที่มาร่วมจัดแสดงพร้อมกับเหล่านางรำก็ย่อกายน้อมรับคำชม
“เราไม่คิดว่าจะมีสตรีที่ร่ายรำน่าชม แม้จะดูแปลกตาไปสักนิด เจ้าพอจะบอกเราได้หรือไม่สตรีชุดแดง” ฮ่องเต้ตรัสถามอย่างเสียมิได้ เมื่อเห็นนางเอาแต่ก้มหน้าประหม่า ไม่เหมือนเมื่อครั้งร่ายรำก่อนหน้านี้
“เรียนฝ่าบาท หม่อมฉันเพียงมีโอกาสมากกว่าสตรีนางอื่นที่ได้เดินทางไปทั่วกับคณะงิ้ว และเห็นว่าแต่ละหมู่บ้านมักมีการร่ายรำที่มีแตกต่างกัน อีกทั้งยังมีเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะชนเผ่านั้นๆ ความคิดของสตรีวิปลาสไม่ชื่นชอบอยู่เฉย จึงได้ลองคิดค้นการแสดงชุดนี้โดยผสมผสานการร่ายรำจากเผ่าต่างๆ เข้าด้วยกัน จึงกลายมาเป็นการแสดงชุดนี้ หวังว่าฝ่าบาทจะโปรดนะเพคะ” ฮ่องเต้ฟังแล้วแย้มพระสรวลออกมา ก่อนจะเบนหน้าหันไปยังสตรีคู่กาย
“ความดีนี่คงต้องมอบให้กับฮองเฮาสินะ ถึงได้เฟ้นหานางรำที่มากความสามารถมาแสดงในงานเฉลิมฉลองได้"
"หม่อมฉันต้องเลือกคณะที่ดีที่สุดให้ฝ่าบาทเพคะ" ฮองเฮาหัน
พระพักตร์น้อมรับคำชม แม้จะเอ่ยรับได้ไม่เต็มคำนัก ด้วยรู้ว่าสตรีที่รำอยู่เบื้องหน้าพระพักตร์มาจากที่ใด หากไม่ใช่ฝีมือของฟ่านกุ้ยเฟยนางก็ไม่มีวันที่จะทำให้ตัวเองต้องจมบ่อโคลนไปด้วยแน่
"จะว่าไปทุกคนล้วนเห็นการแสดงของเจ้า บัดนี้ข้าคงสามารถเห็นใบหน้าของเจ้าแล้วกระมัง” ฮ่องเต้อายุราวสี่สิบเศษเอ่ยด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข สตรีคลุมหน้าย่อกายเพื่อสนองพระโอษฐ์ของโอรสสวรรค์
ไม่นานผ้าคลุมหน้าสีแดงก็ถูกปลดลงเผยใบหน้าขาวผ่อง
ริมฝีปากได้รูป ดวงตากลมโตสุกสกาวสดใส ช่างดูเฉิดฉันงามพิลาส เพียงใบหน้าไร้สิ่งใดปกปิดก็ทำให้คนที่ร่วมอยู่ภายในงานเลี้ยงฉลองถึงกับมีใบหน้าแข็งค้าง หาได้เพราะพวกเขาตกตะลึงในความงามเพียงอย่างเดียว หากแต่ใบหน้านั้นช่างละม้ายคล้ายคลึงกับคุณหนูกู้ นาม
‘กู้หรูอวี้’ สตรีที่ชาวเมืองต่างยกย่องว่านางงดงาม ทั้งยังเป็นที่หมายปองของบุรุษ
แต่สตรีกลางลานกว้างแตกต่างอาจเป็นเพราะดูนางจะผอมกว่าเล็กน้อยอีกทั้งสีผิวที่เผยให้ผู้คนได้เห็นบางส่วนของร่างกายในขณะ
ร่ายรำ จะเห็นว่านางมีผิวเปล่งปลั่ง บางคนมองอีกมุมดูคล้ายผิวนางโปร่งแสงจนเห็นว่าในร่างของนางมีเลือดเนื้อจริงๆ เมื่อสีผิวโปร่งผสมเลือดภายในกายยิ่งแลดูแล้ว ผิวของนางเป็นสีชมพูราวเปลือกของผลผิงกั๋ว
สตรีสองนางแม่ลูกสกุลกู้ วิญญาณแทบหลุดจากร่างไม่แตกต่างจากกู้ไต้ฝู่ ผู้เป็นขุนนางขั้นสองที่ได้รับเชิญมาในงานเลี้ยงฉลองครั้งนี้ด้วย 'เป็นไปไม่ได้ว่าจะมีคนคล้ายกันถึงเพียงนี้ หากจะมีก็มีแต่..." จื้อเหม่ยลี่ หรือกู้ฮูหยินในปัจจุบันไม่กล้าคิดอะไรต่อ
พระขนงของฮ่องเต้ขมวดมุ่นเข้าหากัน ไม่นานก็กวาดสาย
พระเนตรไปรอบๆ เพื่อมองหาคนสกุลกู้ และก็ทันมองเห็นความผิดปกติบนใบหน้าของคนสกุลกู้เข้าพอดี ยากที่จะคาดเดาได้ว่าเวลานี้ฝ่าบาททรงคิดอะไรอยู่ในพระทัย
“เจ้าชื่อ?”
“หม่อมฉันแซ่จื้อ นามซิ่งเหมี่ยน เพคะ”
“จื้อซิ่งเหมี่ยน? ซิ่งเหมี่ยนที่แปลว่า ‘โชคดีที่รอดพ้น’ นะหรือ?”
"เพคะฝ่าบาท" โอรสสวรรค์นิ่งไปสักพัก คล้ายจะตรัสสิ่งใดแต่ก็มิเอ่ย ฝ่ามือของฮองเฮาชื้นเหงื่อ ใครบ้างจะไม่ได้เคยยินชื่อนี้ นางอยากจะก่นด่าฟ่านกุ้ยเฟยออกมาทางวาจาเสียให้ได้
ผ่านไปครู่ใหญ่ฮ่องเต้ก็ตรัสบางคำออกมาและทำให้ฮองเฮาถอนพระทัยโล่งอกได้เปราะหนึ่ง “คล้าย! ช่างคล้ายกันยิ่ง เจ้าว่าอย่างไร
กู้ไต้ฝู่คล้ายบุตรีเจ้าหรือไม่? " คำถามกระแทกไปยังหัวใจของกู้ไต้ฝู่ทำให้เหงื่อไหลข้างขมับ ก่อนจะลุกขึ้นโน้มก้ายประสานมือ
"พ่ะย่ะค่ะ คล้าย..คล้ายมาก นางรำผู้นี้มีใบหน้าคล้ายกับบุตรสาวของกระหม่อมมากพ่ะย่ะค่ะ" คำตอบเสียงตะกุกตะกักไม่เต็มคำ เอ่ยออกอย่างยากลำบาก
"อืม! ราวกับเป็นฝาแฝด เจ้าว่าไงจื้อซิ่งเหมี่ยน" ฮ่องเต้หันมาตรัสถามสตรีอีกนาง ราวกับงานเฉลิมฉลองนี้มีงิ้วสนุกให้ชมก่อนจะกลับตำหนัก
"เพคะ เรื่องแปลกมักมีอยู่มากโดยที่เราเองไม่รู้มาก่อน
หม่อมฉันก็ไม่คิดว่าจะมีหน้าตาละม้ายคล้ายกับคุณหนูสกุลใหญ่อย่างคุณหนูกู้ คงเป็นบุญของหม่อมฉันที่สวรรค์เมตตาประทานใบหน้าคล้ายกับบุปผางามแห่งแคว้น หากฝ่าบาทจะทรงเมตตาและเพื่อความเจริญหูเจริญตากับเหล่าใต้เท้าทั้งหลายในค่ำคืนนี้ หม่อมฉันขอพระราชทานอนุญาตไปนั่งด้านข้างคุณหนูกู้ได้หรือไม่เพคะ" สองแม่ลูกต่างปฏิเสธในใจ แต่ไฉนพวกนางจะลั่นวาจาออกมาได้เล่า
ดูเหมือนว่าฮ่องเต้จะสนับสนุนเรื่องสนุกนี้ ให้เหล่าขุนนางเปลี่ยนเรื่องในการเสวนาเสียบ้าง
"ได้!" สิ้นคำของโอรสสวรรค์ จื้อซิ่งเหมี่ยนก็เดินไปนั่งด้านข้างกู้หรูอวี้ ใบหน้าเรียบเฉยเมื่อเทียบกับสตรีอีกนางที่ลอบกำหมัด กัดฟันแน่นอยู่อย่างมีโทสะในใจ
"เจอกันอีกจนได้นะน้องสาว!" นางเอ่ยเสียงเบา แทบจะไม่ได้ยินออกมา หากแต่เสียงนั้นก้องดังในใจของกู้หรูอวี้อย่างที่สุด…..