หนิงเหนียนอานไปเยี่ยมบุตรชายในคุก แม้นางจะไม่อยากไปแต่ก็มิอาจนิ่งดูดายปล่อยให้บุตรชายเพียงคนเดียวต้องไร้อิสระอยู่ในที่คับแคบแม้แต่แสงอาทิตย์จะสาดส่องยังเข้าไม่ถึง
เพียงขาเหยียบยืนหน้ากรงเหล็ก ใบหน้าตื่นกลัว สายตาระแวงระวังตลอดเวลาแม้แต่เสียงของหนิงเหนียนอานผู้เป็นมารดายังทำให้เขาสะดุ้งเฮือก ต้องใช้เวลาสักพักกว่าเขาจะรู้สึกตัวว่าคนที่เรียกตนคือมารดา
"ท่านแม่...ท่านแม่ช่วยข้าด้วย ช่วยข้าออกไปทีเถิด"
"เจ้าเป็นอะไร ใครทำเจ้า? "
"ที่นี่มีแต่คนวิปริต พวกมัน..." เขาหันซ้ายหันขวาไม่กล้าเอ่ยเสียงดังเพราะแววตาเย็นกำลังจ้องมองมาที่เขา "แล้วนั่น หน้าเจ้าไปโดนอะไรมา? " นางเห็นข้างแก้มค่อนไปทางใบหู มีรอยเขียวช้ำรอยใหญ่ที่ปกปิดอย่างไรก็ไม่มิด
"ท่านแม่ ได้โปรด ท่านแม่หาทางช่วยข้าออกไปเถิด"
"เจ้ายังไม่ตอบข้าเลยนะ ว่าหน้าเจ้าไปโดนอะไรมา? "
"พวกมันทำร้ายข้า แล้ว...แล้วยัง...ยังทำกับข้าราวกับชายบำเรอ!"
"ห๊า!" นางฟังคำของบุตรชายไม่เข้าหู นางปราดเข้าไปหาเจ้าหน้าที่โวยวายเรื่องที่บุตรของตนโดนกระทำชำเราและเจ้าหน้าที่ไม่สนใจ เจ้าหน้าที่ทางการมองอย่างไม่ยี่หระนัก
"ข้าต้องการให้ย้ายห้องขังบุตรข้า!" เจ้าหน้าที่ทางการก็ยังมิตอบ นางถอนหายใจแรงด้วยความโมโห มือไม้เผลอยกมือตบหน้าเจ้าหน้าที่อย่างเต็มแรงราวกับคนผู้นั้นคือบ่าวในเรือน
มีหรือที่เขาจะยอมให้สตรีที่มิใช่มารดาตบตี เขายกขาถีบไปที่ท้องของนางเต็มฝ่าเท้า นางล้มลงไปนอนกับพื้นมือกุมท้องและถูกเขาเตะเข้าที่กลางหลังอีกครั้ง จนนางต้องแหงนหลังหวังใช้มือประคบเพื่อคลายความเจ็บ แต่ก็มิใช่ง่ายดายเลย
เขานั่งยองๆ มองนางร้องโอดครวญ "จำไว้ ข้าไม่ใช่บ่าวในเรือนเจ้า หากคิดจะเอาเรื่องข้า นั่นย่อมได้...แต่จำไว้ว่าบุตรชายสุดที่รักของเจ้าอยู่ในคุก คนพวกนั้นขโมยของเล็กๆ น้อยๆ และมักเข้าออกที่นี่เป็นอาจิณ
แต่บุตรชายของเจ้าเผาเรือน ยากหน่อยที่จะออก ส่วนเรื่องใครจะรักใคร่กันในคุก หาใช่เรื่องที่คนอย่างข้าจะเอามือเข้าไปสอด มีแรงตบข้า คงมีแรงลุกเองได้นะ!" เขาลุกขึ้นยืนปัดฝุ่นที่แขนเล็กน้อยก็พอดีกับที่เจ้าหน้าที่สองคนเดินเข้ามา
"หัวหน้า เชิญทานมื้อ...เอ่อ...เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ? "
"ไม่มีอะไร นางทำของตกเลยก้มลงไปหา แต่ที่นี่มืดไปสักหน่อย เลยมองไม่เห็น ปล่อยให้นางหาไปเถอะ เจอเมื่อไหร่ก็ลุกได้เอง"
"เอ่อ...ขอรับ" กล่าวจบคนทั้งสามก็ไปทำหน้าที่ประจำตำแหน่งของตนเอง ไม่มีใครยื่นมือไปช่วยหนิงเหนียนอานให้ลุกขึ้นแม้แต่คนเดียว นางนอนกุมท้องสลับกับหลังที่เจ็บระบม เกิดความคั่งแค้น
"นางสตรีแซ่จื้อ ข้าจะจัดการแก!"
เรื่องที่จ้าวยวี่เสียงส่งแม่สื่อไปทาบทามถึงหอคณิกากลายเป็นข่าวแพร่กระจายยิ่งกว่าโรคระบาด จนทำให้ฮ่องเต้ถึงกับพิโรธแม้แต่รุ่ยอ๋องที่เพิ่งกลับมายังเมืองหลวงได้ไม่กี่วันยังรู้สึกแปลกใจ ไม่ใช่วันนั้นเขาเห็นเหนียนอ๋องยืนเคียงข้างกับบุตรสาวคนสกุลกู้หรือ?
"คุณชายท่านนี้ ข้าน้อยไม่เคยพบเห็นหน้า เพิ่งมาเที่ยวหอแห่งนี้หรือเจ้าคะ" สตรีใจกล้าเรียกแขกเข้าร้าน ชายตาหว่านเสน่ห์ให้บุรุษใบหน้าคมคาย แม้ผิวจะกร่ำแดดไปบ้างแต่ดูองอาจ
"ข้าอยากเจอแม่นางจื้อ" พูดจบก็มีชายที่ติดตามมาด้วยยื่นถุงเงินยัดใส่มือสตรีนางนั้น นางกะน้ำหนักก็รู้ว่าภายในถุงมีเงินมากนัก
"แหม!คุณชายเป็นแขกของคุณหนูจื้อนี่เอง ตอนนี้รับแขกอยู่ชั้นสามเจ้าค่ะ แต่ไม่ต้องกังวลนะเจ้าคะ แขกผู้นั้นเป็นสตรี"
"ใคร? "
"สาวงามที่สุดแห่งแคว้น แม่นางกู้หรูอวี้!" นางหันหน้าขึ้นไปมองชั้นบนตามสายตาของบุรุษผู้มาเยือน ก็เห็นสตรีผู้ถูกกล่าวถึงก้าวลงบันไดมาด้วยท่าทางโมโห และเดินสวนเขาออกด้านหน้าหอ
"คุณชายอย่าได้ใส่ใจเลยเจ้าค่ะ เชิญด้านบนข้าน้อยจะนำทาง" นางคณิกาผายมือเชื้อเชิญแขกเงินหนักให้ขึ้นชั้นบน วันนี้นางไม่ต้องรับแขกก็มีเงินเพียงพอแล้ว
เสียงดีดพิณผาจบลงพร้อมการจ้องมองของบุรุษ
จื้อซิ่งเหมี่ยนลุกจากเก้าอี้มานั่งฝั่งตรงข้าม
"คุณชายมาเพื่อฟังข้าน้อยดีดพิณอย่างเดียวหรือเจ้าคะ"
"ก็ไม่เชิง ได้ยินมาว่าเจ้างดงามจนทำให้เหนียนอ๋องถึงกับส่งแม่สื่อมาทาบทาม" นางยิ้มที่มุมปาก "คุณชายก็กล่าวเกินไป เหนียนอ๋องเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ ข้าเป็นสตรีต่ำศักดิ์ทั้งเป็นหญิงคณิกา ใครเล่าจะยกย่องเชิดหน้าชูตาได้"
"ก็ไม่แน่ เจ้าต่างเป็นที่โจษจันเรื่องความฉลาด แม้แต่ทรัพย์สินของสกุลหนิงเจ้ายังคว้ามาอยู่ที่มือได้โดยไม่เปลืองแรง"
"คนมีปากก็พูดเจื้อยแจ้ว ข้าไม่ได้เปิดโรงทานที่จะให้คนกู้เงินแล้วไม่หวังทรัพย์คืน"
"เจ้านี่หัวการค้าจริงนะ สมกับเป็นบุตรกู้ไต้ฝู่"
"ดูท่าคุณชายจะรู้เรื่องของข้าน้อยดีนะเจ้าคะ"
"เฮอะ ไม่มีเรื่องใดที่ข้าอยากรู้แล้วไม่รู้" นางจ้องมองนัยน์ตาชายตรงหน้า "สตรีต่ำต้อยเช่นข้าจะมีโอกาสทราบได้หรือไม่ว่าท่านคือใคร"
"เราเคยเจอกันแล้ว ข้าหยุดม้าไม่ให้เหยียบเจ้า ในวันที่เจ้ารีบจนไม่ดูถนนหนทาง ตำแหน่งข้าคือ'รุ่ยอ๋อง'"
"ที่แท้ก็รุ่ยอ๋อง" นางจำต้องลุกขึ้นยืน คารวะเต็มพิธี
"ข้าน้อยจื้อซิ่งเหมี่ยนขอคารวะเพคะ ข้าน้อยมีตาแต่หามีแวว ล่วงเกินรุ่ยอ๋อง ขอรุ่ยอ๋องโปรดเมตตาประทานอภัย"
"ไม่ได้ถือโทษ เพราะเจ้าไม่รู้ว่าข้าคือใคร หากว่ากันตามจริงทั้งการกระทำและวาจาของเจ้ามีโทษลงดาบเฉือนเนื้อถึงสามร้อยหกสิบดาบทันที แต่ที่มาที่นี่อยากรู้บางเรื่อง หวังว่าเจ้าจะไม่ปิดบัง" น้ำเสียงข่มขู่ชัดเจน ทำให้นางเงยหน้ามองเขาแวบหนึ่งก่อนที่จะก้มหน้ารับคำ
"เพคะ" นางหลุบตาต่ำ ในใจบริภาษเขาไปเสียแล้วว่านางพูดจาจาบจ้วงเขาเมื่อไหร่ หรือว่าเมื่อครั้งที่อยู่หน้าศาลตัดสินคดีของหนิงไช่กวง แต่นั้นคงไม่ใช่ธุระที่เขามาที่นี่ และไม่ใช่เรื่องของจ้าวยวี่เสียงแน่ แต่เป็นเรื่องใดนั้น นางยากที่จะคาดเดา
"ข้าได้ยินว่าเจ้าและมารดาออกจากสกุลกู้ แต่มิได้มีสมบัติติดตัวสักชิ้น เหตุใดถึงมีเงินทองที่สามารถซื้อหอนางโลมแห่งนี้ได้เล่า" เพียงถ้อยคำนี้เปล่งออกมา นางก็จับทางถูกแล้วว่าคนเบื้องหน้ามาหานางด้วยจุดประสงค์ใด
"ไม่ผิดเพคะ เงินอีแปะเดียวก็ไม่มี หม่อมฉันและมารดาต้องร่อนเร่พเนจรไปทั่วหล้า หนีหัวซุกหัวซุนเพราะเกรงว่าอาหารที่ขโมยมาจะถูกเถ้าแก่ร้านทุบตี แต่โชคชะตาไม่ได้ช่วยอะไร สตรีถูกพาเข้าหอนางโลมเก็บเล็กผสมน้อยไม่นานก็มีเงินเองเจ้าค่ะ"
"เรื่องจริง? "