บทที่ 8 เครื่องนอนชุดใหม่

1649 Words
เผยมู่ซีก้มหน้าก้มตาวาดรูปตั้งแต่ยามเฉินไปจนถึงยามอู่ ส่วนจังฮูหยินกับเสี่ยวลิ่งก็อยู่ในห้องปักเย็บ เสี่ยวลิ่งรู้สึกว่าตนเองเริ่มหิวจึงเงยหน้าขึ้น             “ฮูหยินเจ้าคะ ได้เวลาอาหารเที่ยงแล้วเจ้าค่ะ เดี๋ยวข้าไปอุ่นอาหารสักครู่”             “เจ้าไปเถอะ ประเดี๋ยวข้าไปเรียกหลานเอ๋อร์เอง”             ท่อนแขนผอมแห้งของชิงหลานตวัดปลายพู่กันครั้งสุดท้ายเสร็จก็ยิ้มอย่างพึงพอใจ ภาพที่นางกำลังก้มหน้าก้มตาวาดนับได้ว่าเป็นภาพที่นิยมยิ่งนักในเมืองหลวง วิวทิวทัศน์อันสวยงามของน้ำตกเขตเทือกเขามังกรทะยานมักจะมีผู้นิยมเดินทางไปวาดเป็นจำนวนมากแต่บรรดาจิตรกรมีชื่อเสียงเหล่านั้น ไม่มีผู้ใดสามารถเลียนภาพลายเส้นอันทรงพลังของจิตรกรฉาน คนผู้นี้ไม่เคยเปิดเผยตัวตนแต่ภาพที่เขาวาดเอาไว้หลายภาพได้รับการประดับประดาไว้ในวังหลวง โดยเฉพาะภาพที่มีชื่อว่า “น้ำตกสวรรค์”             จังฮูหยินเดินผ่านเข้าประตูห้องหนังสือที่มิได้ปิดไปยืนดูบุตรสาวที่ใช้ผ้าคาดศีรษะกำลังวางพู่กันลงพอดี             “เจ้าวาดภาพนี้ได้สวยงามยิ่งนัก!” นางเอ่ยชมเมื่อมองต้นฉบับแล้วหันไปทางผลงานที่บุตรสาวเพิ่งรังสรรค์เสร็จ หากไม่คิดว่าเข้าข้างหลานเอ๋อร์นางเห็นว่าภาพวาดที่หมึกยังไม่แห้งดีนี่งดงามยิ่งกว่าต้นฉบับเสียอีก             “ท่านแม่ บ่ายนี้ข้าจะเอาภาพนี้ไปขาย คงจะพอจะซื้อเครื่องนอนใหม่ให้พวกเราคนละชุด” เผยมู่ซีที่นอนกลิ้งอยู่บนฟูกนอนเก่าคร่ำคร่า ผ้าห่มที่ซีดเปื่อยจนแทบจะไม่เห็นสีเดิมรู้สึกไม่สบายตัวยิ่งนัก จริงอยู่ที่เสี่ยวลิ่งคอยซักและทำความสะอาดเครื่องนอนพวกนั้นให้นางอยู่ไม่ขาด ทว่าของใช้พวกนั้นล้วนสิ้นสภาพไปหมดแล้ว             จังฮูหยินใบหน้าสลด “แม่ขอโทษที่ไม่มีเงินจะซื้อใหม่ให้เจ้า”             “ท่านแม่...ข้ามิได้กล่าวโทษท่าน ที่ข้าป่วยก็เป็นภาระยิ่งแล้ว ยามนี้ข้ามีเรี่ยวแรงและสามารถวาดภาพขายได้ก็ขอให้ข้าได้ช่วยท่านบ้างเถิด”             “เช่นนั้นรอให้แดดหายร้อนเสียก่อน แม่จะพาเจ้าไปตลาดเอง ยามนี้ไปกินของอร่อยให้อุ่นท้องก่อนเถิด”             “เจ้าค่ะ”             ยามบ่ายจังฮูหยินจึงออกไปหาท่านหมอฉินเพื่อบอกให้รู้อาการของบุตรสาวของตน เมื่อหมอฉินได้ยินว่าชิงหลานสามารถเดินเหินได้สะดวกกระทั่งเดินไปตลาดเองได้ก็ดีใจยิ่งนัก จึงนำสมุนไพรบำรุงกำลังมาให้จังฮูหยินหนึ่งห่อ จังฮูหยินหยิบเงินสองพวงออกมาให้ท่านหมอฉิน             “ที่ผ่านมา ท่านให้ยาข้ามาหลายห่อ เงินทองข้าก็มิเคยมีให้ ยามนี้ข้าก็พอหาเงินได้แล้วจึงอยากจะตอบแทนท่านบ้าง ข้ารู้ว่าท่านหมอเองก็มิค่อยได้เก็บเงินคนป่วยที่ยากไร้ โปรดรับไว้ด้วยเถิด”             หมอฉินดูอึกอัก ชายชราสังเกตสีหน้าของจังฮูหยินดูแช่มชื่นก็พอจะรู้ว่านางน่าจะพูดความจริง “ในเมื่อพวกเจ้าดีขึ้นแล้ว ข้าก็จะรับเอาไว้ก็แล้วกัน”             “ข้าอยากจะถามท่านหมอว่ายามนี้หากหลานเอ๋อร์เดินบ่อยๆ จะมีปัญหาใดหรือไม่?”             “นางเพิ่งฟื้นตัว หากรับประทานอาหารได้ปกติ ได้ออกกำลังเสียบ้างหากไม่มากเกินไปก็คงไม่มีปัญหา ดีเสียอีกกำลังขาของนางจะได้เพิ่มมากขึ้น”             ได้ยินเช่นนั้นจังฮูหยินก็ยิ้มออกมา นางกล่าวขอบคุณท่านหมอฉินแล้วก็กลับจวนไป ยามบ่ายเผยมู่ซีไม่อาจฝืนร่างกายที่อ่อนแอของตนเองได้ นางจึงต้องนอนพักอยู่ร่วมหนึ่งชั่วยาม จังฮูหยินให้เสี่ยวลิ่งไปเคี่ยวยาบำรุงที่เพิ่งได้มา เสี่ยวลิ่งเห็นถ้วยยาที่เรียงอยู่ในถาดถึงสามถ้วยแล้วก็ส่ายหัวเบาๆ             “เห็นทีคุณหนูคงไม่อยากป่วยก็คราวนี้ ยาแต่ละขนานขมลืมตายเลยเทียว”             “เจ้ารู้แล้วก็ไปเตรียมน้ำตาลกรวดมาไว้ให้คุณหนูเสียสิ”             เสี่ยวลิ่งยิ้มออก นางรีบเปิดฝาโถน้ำตาลกรวดก้อนเล็กๆ ที่อยู่มุมห้องหยิบออกมาวางสามก้อนไว้บนถาดก่อนจะยกออกไปรอคุณหนูตื่น             เผยมู่ซีเองก็ไม่อยากอิดออดเหมือนเด็กๆ ที่ได้เห็นถาดยา ถ้วยแรกนางได้ดื่มติดกันหลายวันหลังกลับมาจากเมืองหลวงเพราะเป็นยาฟื้นกล้ามเนื้อที่ท่านหมอเกาสั่งไว้ให้นาง ถ้วยต่อมาเป็นยาบำรุงที่ท่านแม่แอบซื้อมาจากเมืองหลวงที่เพิ่งต้มให้นางกินเพิ่มเมื่อวาน แต่...ถ้วนที่สามเล่า?             “ท่านแม่เจ้าคะ ยาถ้วยที่สามมาจากที่ใดกัน?”             จังฮูหยินยิ้มน้อยๆ “ท่านหมอฉินเห็นว่าเจ้ายังไม่แข็งแรงดีจึงให้ยาบำรุง          เลือดลมมา เจ้าจะได้แข็งแรงเร็วขึ้น ที่ผ่านมาหลายครั้งที่ท่านหมอฉินรักษาเจ้าโดยที่แม่ไม่มีเงินจ่ายค่ายา หากต่อไปแม่หาเงินได้เพิ่มขึ้นก็จะตอบแทนคุณท่านหมอฉินแน่นอน”             เมื่อเห็นสีหน้าภาคภูมิใจของท่านแม่ เผยมู่ซีก็จำใจต้องกลืนยาขมแต่ละถ้วยสลับกับหยิบน้ำตาลกรวดมาอมกระทั่งนางดื่มยาหมดทั้งสามถ้วย             “ยามนี้แดดอ่อนลงแล้ว หมึกบนภาพของเจ้าก็คงแห้งแล้ว พวกเราไปตลาดกันเถอะ น่าจะพอเหลือเวลาสักนิดแม่อยากพาเจ้าไปไหว้พระโพธิสัตว์ที่วัดด้วย”             เผยมู่ซีนึกถึงเรื่องที่ท่านย่าเล่าให้นางฟัง วัดพระโพธิสัตว์ที่เคยเป็นที่ซ่อนขุมทรัพย์ของอดีตฮ่องเต้แห่งนั้น หลังจากที่หมิงฮ่องเต้กับฮองเฮาทรงขนทองคำกลับ  วังหลวง ภายหลังก็ได้กลับมาบูรณะและปรับปรุงภูมิทัศน์ในวัดจนงดงาม กลายเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ผู้คนนิยมแวะมากราบไหว้ขอพร ผู้คนจากเมืองหลวงเองก็นิยมเดินทางมาขอพรพระโพธิสัตว์กวนอิมในศาลเจ้าหลังใหญ่ที่เล่าลือกันว่าคราวที่ฮ่องเต้เสด็จผ่านมาได้แวะมาขอพรด้วยความบังเอิญจากนั้นก็ทรงพระสุบินนิมิตเห็นพระโพธิสัตว์ทรงชี้บอกตำแหน่งขุมทรัพย์ เผยมู่ซีเองก็เคยเอ่ยชักชวนท่านย่าให้มายังอำเภอนี้แต่ยังไม่มีโอกาส             “ดีจริงท่านแม่! ข้าอยากเห็นวัดนี้มานานแล้ว”             จังฮูหยินได้ยินก็โคลงศีรษะ “ก่อนเจ้าป่วยแม่ก็พาไปไหว้พระบ่อยๆ แต่สี่ปีก่อนฮ่องเต้ทรงส่งองค์ชายมาช่วยดูแลการตกแต่งวัดครั้งใหญ่ แม่เองก็ไม่ค่อยได้ไปเช่นนั้น ป่านนี้อาจจะปรับปรุงเสร็จแล้วก็ได้”             เผยมู่ซีหน้าเสียนางลืมไปว่าตนเองมิใช่ชิงหลาน เผลอเอ่ยไปว่าอยากเห็นวัดมานาน...ชิงหลานเติบโตที่อำเภอเฉิน นางย่อมเคยไปที่วัดพระโพธิสัตว์ ดีที่จังฮูหยินไม่สงสัย เผยมู่ซีนึกด่าทอตนเองในใจ             สองแม่ลูกตระกูลชิงมาถึงร้านฮุยฮวาของเถ้าแก่เหอก็นำภาพที่ม้วนในถุงผ้าไปคลี่บนโต๊ะ เถ้าแก่เหอเห็นภาพที่โด่งดังและเป็นที่นิยมวางอยู่ตรงหน้าก็ตื่นตะลึง             “คุณหนูชิง เจ้าไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ”             “ภาพเช่นนี้ท่านคิดว่าจะพอจะขายได้หรือไม่?”             สายตาของเถ้าแก่เหอไม่ละจากภาพตรงหน้า “เจ้าวาดได้สวยกว่าภาพที่ข้ารับซื้อไว้ก่อนหน้านี้เสียอีก คราวนี้ใช้กระดาษดีเสียด้วย เช่นนี้คงจะขายออกไปขายกว่าคราวก่อน”             “เถ้าแก่เหอ ข้ารู้ว่าคราวก่อนท่านให้ราคาถึงหนึ่งตำลึงเพราะเห็นแก่หน้า         เถ้าแก่เนี่ย ครั้งนี้ข้าขอราคาเท่าเดิมก็แล้วกัน” เผยมู่ซีแม้จะมิได้สนใจเรื่องการทำมาหากินมาก่อนแต่นางก็มิใช่คนโง่ นางเคยตระเวนไปร้านขายภาพในเมืองหลวงกับท่านอาจารย์จ้าวจึงพอรู้ว่าราคาภาพเลียนแบบที่นางวาดอยู่ควรมีราคาเท่าใด ในเมื่อเถ้าแก่เหอมีน้ำใจกับนาง นางก็ต้องตอบแทนคืนกลับไป             เถ้าแก่เหอได้ยินก็ยิ้มกว้าง ครั้งก่อนภาพที่รับซื้อเอาไว้ก็มีพ่อค้าที่เดินทางผ่านมาซื้อไปในราคาสองตำลึงนับว่าได้กำไรนัก แต่ก็ไม่เห็นจะแปลกเพราะเมื่อแขวนภาพที่ชิงหลานวาดไว้เทียบกับภาพอื่นๆ ในร้าน ความงามโดดเด่นของภาพที่นางวาดไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนสะดุดตา             “ได้สิคุณหนู ข้าให้ราคาเจ้าเท่าเดิมก็แล้วกัน”             “ขอบคุณเถ้าแก่”             จังฮูหยินเองก็พลอยโค้งคำนับไปเสียหลายครั้ง ความปลื้มปิติในตัวบุตรสาวเพิ่มขึ้นอีกมาก คราวแรกนางนึกกังวลว่าเถ้าแก่เหอเพียงรับซื้อภาพไว้เพราะเห็นแก่มิตรภาพกับเถ้าแก่เนี่ย แต่เมื่อเห็นภาพที่ชิงหลานวาดขึ้นแขวนบนร้านแล้ว นางก็ได้เห็นกับตาว่าที่คิดไว้มิได้เกินเลยจากความเป็น...ภาพวาดของหลานเอ๋อร์งดงามยิ่ง!             เสี่ยวลิ่งตื่นเต้นยิ่งกว่าสองแม่ลูก เงินหนึ่งตำลึงที่คุณหนูได้มานอกจากจะซื้อเครื่องนอนใหม่สองชุดสำหรับสองแม่ลูกแล้ว ยังเหลือเผื่อแผ่ผ้าห่มผืนใหม่มาถึงนางและเหล่าลู่อีกด้วย             “ครั้งนี้ได้เพียงผ้าห่มให้เจ้ากับเหล่าลู่ เอาไว้ข้าวาดภาพคราวหน้าจะซื้อเครื่องนอนที่เหลือให้พวกเจ้าทั้งสองจนครบก็แล้วกัน”   *******************              
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD