"ใช่ที่ไหนกัน ท่านพี่...ข้าเองต่างหาก"
รูม่านตาของเฟิ่งเจี๋ยพลันขยายเบิกกว้าง เขารู้ได้ทันทีว่าเสียงนั้นเป็นเสียงของผู้ใดและเขาจำมันได้อย่างดี
บุรุษรูปร่างสันทัด สวมชุดคลุมคอกลมสีกรมท่า ปักลวดลายไก่ฟ้า ยาวไปถึงข้อเท้า ที่ศีรษะสวมหมวกวูซาสีดำเข้ม เขาคือ โจวเฟิ่งอี้..คุณชายรองแห่งสกุลโจว ผู้ซึ่งมีดวงหน้าละม้ายคล้ายกับโจวเฟิ่งเจี๋ยเยี่ยงแฝด มีเพียงแค่ดวงตาที่เล็กกว่าและมีไฝบนใบหน้าปรากฏเด่นชัดตรงข้างแก้มเท่านั้น ที่ทำให้แยกลักษณะของทั้งสองคนออกจากกันได้
"อะไรกัน...พอไม่ใช่สตรี ท่านพี่ก็เงียบไปเลยหรือ ท่านพี่นี่ไม่เปลี่ยนไปจริง ๆ " เสียงทุ้มต่ำแฝงด้วยเลศนัย ฟังดูแล้วรู้สึกอึดอัด ไม่สบายใจเหมือนพี่น้องทักทายกันทั่ว ๆ ไป
"เฟิ่งอี้...นั่นเจ้าจริง ๆ ด้วย" เฟิ่งเจี๋ยยกยิ้มแสดงสีหน้าดีใจ
"ท่านพี่จำเสียงข้าได้ด้วยหรือ ข้ารู้สึกตื้นตันใจยิ่งนัก"
"เจ้ายืนอยู่ที่ใด มาให้ข้าสัมผัสเจ้าที ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน...น้องชายข้า" เฟิ่งเจี๋ยเอ่ยพลางยกมือขึ้นโบกไปมาคว้าจับอากาศอยู่หลายครา หวังจะถูกตัวของน้องชาย ท่าทางเหมือนดั่งกำลังไล่จับผีเสื้อที่โบยบินอยู่ไม่มีผิด
เฟิ่งอี้เห็นเช่นนั้น แทนที่จะเดินเข้าไปหา แต่กลับถอยหลังไปอีกก้าว ยืนหรี่ตามองด้วยสายตาเวทนา "ข้าสุขสบายดี แต่ท่านพี่ไม่มีดวงตาแล้ว คงจะลำบากใช่หรือไม่"
เฟิ่งเจี๋ยพลันหุบยิ้มโดยสัญชาตญาณ เขาไม่คาดคิดว่าคำพูดเหล่านี้จะออกมาจากปากของน้องชายตน น้ำเสียงและถ้อยคำนั้นล้วนแฝงไปด้วยคำพูดเหยียดหยามและดูถูกทั้งสิ้น เหมือนดั่งไม่ใช่น้องชายตนคนเดิมที่เคยรู้จัก
เมื่อก่อนเจ้ามีบุคลิกสุขุม ไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยเจรจา ไม่อาจคาดเดาความคิดที่ฉายออกมาทางสีหน้าได้ แต่ยามนี้เจ้าพูดเหมือนกับพี่ชายเป็นศัตรู หากไม่ใช่เพราะตัวตนที่แท้จริงของเจ้า ก็คงเป็นที่สมองเจ้าที่เลอะเลือนเกินกว่าจะเยียวยา
“ดวงตาของข้ายังอยู่ เจ้าไม่เห็นหรือ หรือแท้ที่จริงแล้วเจ้ากันแน่ที่ตาบอด หาใช่ข้า” เฟิ่งเจี๋ยตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
"นี่ท่าน!! " เฟิ่งอี้ยกนิ้วชี้ไปที่ใบหน้าของเฟิ่งเจี๋ยด้วยความโทสะ "ท่านพี่มองไม่เห็น ...ตาบอดกับดวงตาหายก็ไม่ต่างกัน ท่านพี่คิดว่า ยามนี้ท่านพี่ปกติเหมือนเมื่อก่อนหรือ”
“ขอบคุณสวรรค์! ถึงข้าจะตาบอด แต่จิตใจข้าไม่มืดบอดเหมือนน้องชายข้า” เฟิ่งเจี๋ยผงกศีรษะงันงก ประสานมือเงยหน้าขอบคุณเบื้องบนไม่หยุด
“ท่านมันบ้าไปแล้ว” เฟิ่งอี้กัดฟันแน่นเอ่ยตอบ
"บ้าหรือ...ใครกันแน่ที่บ้า นึกอย่างไรเจ้าถึงมายืนพูดจาถากถางใส่พี่ชายแท้ ๆ ของเจ้า หรือว่าเจ้ารอเวลานี้มานานแล้ว"
"หึ! ที่ผ่านมา ท่านไม่เคยเห็นข้าเป็นน้องชายในสายเลือดด้วยซ้ำ ท่านแย่งทุกอย่างไปจากข้า ทุกอย่างที่ควรเป็นของข้า ทว่ายามนี้สวรรค์เมตตาให้ข้าได้ของของข้าคืนแล้ว"
"เจ้าหมายความว่าอะไร"
"สวี่หนิงเอ๋อร์...สตรีงามที่สุดในแคว้นต้าหมิง คนรักของท่านพี่ ยามนี้นางกลายเป็นของข้าไปเสียแล้ว" เฟิ่งอี้เอ่ยด้วยสีหน้าภาคภูมิใจที่ได้เอ่ยคำพูดทำร้ายจิตใจผู้เป็นพี่ออกมาเช่นนั้น
ในครานั้น หัวใจของเฟิ่งเจี๋ยก็คล้ายกับถูกบีบรัดด้วยเชือกเส้นหนา ทั้งเจ็บปวดทั้งเคียดแค้น ยากนักที่จะทำใจยอมรับได้
"ชั่วช้านัก! " เฟิ่งเจี๋ยเอ่ยสบถเสียงแข็ง
เฟิ่งอี้ยิ้มเยาะด้วยความสะใจที่รู้ว่าตนกำลังยั่วโมโหพี่ชายได้ "อะไรกัน...ท่านพี่โกรธข้างั้นหรือ แค้นเคืองจนอยากจะเอามีดมาแทงข้าให้ตายเลยหรือไม่ ยามคนรักห่างหาย กลับกลายมาเป็นของผู้อื่น ได้ลิ้มรสชาติความเจ็บปวดบ้างแล้วรู้สึกเช่นไร!
เฟิ่งเจี๋ยนิ่งเงียบไป มือแข็งแกร่งทั้งสองข้างกำแน่นพยายามสกัดกั้นอารมณ์ให้นิ่ง
เมื่อครั้งยังไร้เดียงสา เจ้ายังเอาแต่เรียกข้าว่าพี่ชาย อยู่ใกล้ชิดไม่ห่าง ข้ายังจำได้ดีในวันที่พายุโหมกระหน่ำ เจ้าถูกบิดาเฆี่ยนตีเพราะแอบหนีออกจากจวน ครั้นเมื่อท่านพ่อจะง้างมือขึ้นตี ข้าก็วิ่งเอาตัวเข้าไปขวางแล้วขอรับโทษนั้นแทน
เจ้าร่ำไห้ไม่หยุด โอบกอดข้าและเงยหน้าขึ้นเอ่ย 'ท่านพี่...เจ็บหรือไม่ ฮืออ ข้ารักท่านพี่ ต่อไปข้าจะปกป้องท่านพี่เอง"
สัญชาตญาณเด็กชายวัยเจ็ดขวบยามนั้น อยากที่จะปกป้องน้องชายสุดใจ นายใหญ่โจวฟาดไม้ไปที่หลังของเขาอย่างเต็มแรง แต่ทว่าในใจเขากลับเข้มแข็งและไม่มีหยดน้ำตาร่วงหล่นออกมาเลยแม้แต่หยดเดียว
เจ้าคงลืมทุกอย่างไปแล้ว ข้าคือผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของเจ้า แม้แต่ความก้าวหน้าในราชสำนัก ก็ล้วนเป็นข้าที่ผลักดันเจ้าทั้งสิ้น ยามนี้ข้าด้อยกว่าเจ้า เจ้ากลับดูหมิ่นดูแคลนข้า ซ้ำแล้วยังขโมยดวงใจของข้าไปย่ำยีไม่เหลือชิ้นดี แบบนี้มันไม่ชั่วช้าเกินไปหรือ!
“ท่านพี่เงียบไปทำไมกัน…โกรธข้าจนพูดไม่ออกเลยงั้นหรือ” เฟิ่งอี้ยังคงใช้วาจาเย้ยหยันไม่หยุด
.
.
.
เฟิ่งเจี๋ยนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะตอบอย่างบ้าคลั่ง "ฮ่า ๆ ๆ ๆ "
"เจ้าหัวเราะอะไร!!! " เฟิ่งอี้ตวาดถามด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“ข้าหัวเราะคนขี้ขลาดอย่างเจ้า...ฮ่า ๆ ๆ ” เฟิ่งเจี๋ยยังคงฉีกยิ้มส่งเสียงหัวเราะดังก้องไม่หยุด "เจ้ามันขี้ขลาดที่ทำร้ายลับหลังข้า เจ้ามันขี้ขลาดที่มาลักกินของของข้า ยอมรับมาเถิด...ว่าเจ้าจ้องจะโฉบโฉมงามข้างกายข้าไป แต่ไม่มีสติปัญญา เลยรอให้ข้ามีชีวิตที่ตกต่ำกว่าเจ้าก่อน แล้วค่อยมาตลบหลังข้า...ชีวิตเจ้ามาอยู่จุดนี้ได้อย่างไร...เฟิ่งอี้ ช่างน่าอนาถใจยิ่งนัก! ”
คำพูดเย้ยหยันของเฟิ่งเจี๋ยเปรียบเสมือนดั่งน้ำมันเข้าไปราดกองเพลิงที่อยู่ในจิตใจเฟิ่งอี้ให้ลุกโชนขึ้นกว่าเดิม เฟิ่งอี้กำมือแน่นด้วยความโกรธ ก่อนที่จะบันดาลโทสะคว้าดาบที่เอวชักขึ้น ง้างมือหวังจะฟาดฟันไปที่ใบหน้าของเฟิ่งเจี๋ย
"หากเส้นผมข้าหลุดไปแม้แต่เส้นเดียว วันนี้ข้าจะฉีกเนื้อเจ้าออกเป็นชิ้น ๆ "
‘ประโยคพิฆาต’ ที่ทำให้ใครหลายคนต่างยำเกรงและหวาดกลัว ทุกคนรู้ดีว่า หากคำนั้นได้หลุดออกมาจากปากของเฟิ่งเจี๋ยแล้ว...ชีวิตผู้นั้นจักต้องหายนะเป็นแน่!
เมื่อได้ยินเช่นนั้น มือของเฟิ่งอี้ที่ถือดาบค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ ก็ค่อย ๆ ลดระดับลงอย่างช้า ๆ
"ถึงแม้ข้าจะตาบอด แต่วรยุทธิ์ข้ายังคงแข็งแกร่ง เจ้าอยากจะลองดูหรือไม่” เฟิ่งเจี๋ยกระตุกมุมปาก เอ่ยท้าทายเสียงหยัน
เฟิ่งอี้ยืนชะงักนิ่ง แขนขาเกร็งสั่นเทาอย่างไม่รู้ตัว เขารู้ดีว่า เฟิ่งเจี๋ยเป็นแม่ทัพผู้เก่งกาจ ในแคว้นต้าหมิง เขาไม่เคยประลองวรยุทธ์แพ้ผู้ใดเลยแม้แต่ผู้เดียว ถึงแม้จะปิดตาต่อสู้ เขาก็ยังสามารถเอาชนะอีกฝ่ายให้พ่ายแพ้ได้อยู่ดี
“วันนี้ข้าจะเมตตาท่านพี่ก็แล้วกัน” เฟิ่งอี้เอ่ยเสียงแผ่ว ลดความทะนงตัวลงไปกว่าครึ่ง
“อะไรกัน...เจ้าจะกลับไปแล้วหรือ ข้ายังไม่ได้เฉือนเนื้อคน ข้ายังไม่ได้กลิ่นคาวเลือดเลยสักนิด แบบนี้ไม่สนุกเอาเสียเลย” เฟิ่งเจี๋ยยกมุมปากยิ้ม เอ่ยเสียงเยือกเย็น
“เจ้า!!! เจ้ามันโรคจิต!! ” เฟิ่งอี้ชี้นิ้ว เดินหันตัวหนีออกไปด้วยท่าทางทุลักทุกเล หันหน้ามามองเฟิ่งเจี๋ยอยู่หลายรอบ หวาดกลัวว่าพี่ชายจะชักดาบเอาชีวิตเขาไปจริง ๆ และไม่ลืมที่จะหันมาถ่มน้ำลายลงพื้นแสดงท่าทางเหยียดหยาม
เฟิ่งเจี๋ยกำมือแน่นด้วยความโกรธแค้น ความเกลียดชังยามนี้ก่อเกิดขึ้นในจิตใจฝังรากลึก จนอยากจะลากคนรักเก่าและน้องชายมาฆ่าเสียให้ตายทั้งคู่ เขาใช้มือกวาดข้าวของทุกอย่างใกล้ตัวร่วงหล่นลงบนพื้นล้มระเนระนาดไม่เหลือชิ้นดี ก่อนที่จะแผดเสียงคำรามออกมาด้วยความคับแค้นใจอย่างบ้าคลั่ง