“มี่อิง แย่แล้ว! ตอนนี้คุณชายปีศาจอาละวาดลั่นเรือนแล้ว” อี้หลัน..สาวใช้ในจวนวิ่งเข้ามาหามี่อิงในโรงครัวด้วยท่าทางตื่นตระหนก
“เกิดอะไรขึ้นหรือ” มี่อิงเอ่ยถามด้วยความตกใจ สีหน้าท่าทางของอี้หลันทำให้นางรู้สึกใจคอไม่ดี
"ใช่ ๆ เกิดอะไรขึ้นหรือ ดูท่าทางของเจ้ายามนี้ จะต้องไม่ใช่เรื่องดีเป็นแน่" เจียวซือเขยิบกายเข้ามาใกล้มี่อิงพลางเอ่ยเสริม
"คุณชาย...คุณชายโจวนะสิ"
มี่อิงเบิกตากว้างโต คะยั้นคะยอถาม "คุณชายโจว...คุณชายโจวทำไมหรือ"
“ข้าได้ยินมาว่า...ยามนี้คุณชายโจวกำลังอาละวาดโมโห โดนปีศาจร้ายสิงเข้าแล้ว"
มี่อิงนึกภาพตามในหัว ก็พลันขมวดคิ้วแน่นด้วยความไม่เข้าใจ
ปีศาจร้ายเข้าสิง?
จะเป็นไปได้อย่างไร...ข้าแค่เดินออกมาทำเครื่องดื่มให้คุณชายเพียงครู่เดียว มีปีศาจร้ายที่ไหนมาเข้าสิงคุณชายกลางวันแสก ๆ หากมีปีศาจเข้าสิงจริง คงจะเป็นปีศาจน้อยผู้โหยหิว กระหายน้ำมากกว่ากระมัง
"เจ้าพูดอะไรของเจ้า" มี่อิงเอ่ยด้วยสีหน้าฉงน
"จริง ๆ นะมี่อิง ทุกครั้งที่คุณชายเป็นแบบนี้ ผู้ใดเข้าใกล้จักต้องกลายเป็นศพทั้งสิ้น” อี้หลันวาดมือ เพิ่มระดับเสียงหนักแน่น เสริมคำพูดนางให้ดูน่าเชื่อถือมากขึ้น
มี่อิงถอนหายใจเฮือกยาวด้วยสีหน้าระอา “เจ้าพูดเกินไปหรือไม่ คุณชายไม่เคยทำดีต่อเจ้าเลยหรือ เหตุใดถึงว่าร้ายคุณชายเสียหายปานนั้น”
“เมื่อก่อนกับยามนี้นั้นต่างกัน คุณชายลงโทษบ่าวใช้มากี่คน ข้าไม่เห็นถึงความยุติธรรมสักครั้ง"
ทั้ง ๆ ที่คุณชายโจวเจอเรื่องที่เจ็บปวดมามากมายแท้ ๆ แต่คนพวกนี้กลับไม่เห็นใจ อีกทั้งยังกุข่าว นินทาว่าร้ายให้เสียหายอีก ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดคุณชายถึงไม่ไว้ใจผู้ใดเลยสักคน
"แล้วเมื่อครู่! ข้าก็เห็นคุณชายรองเดินออกไปจากเรือนประธานจ้วนสือด้วย"
"จริงหรือ...เช่นนั้นที่คุณชายโมโหอาจเป็นเพราะคุณชายรองก็เป็นได้" เจียวซือเอ่ยพลางทำท่าทางครุ่นคิด
"คุณชายรอง...สกุลโจวไม่ได้มีบุตรสืบสกุลแค่คนเดียวอย่างนั้นหรือ" มี่อิงเอ่ยถามน้ำเสียงสงสัย
"ใช่ที่ไหนกันเล่า ฮูหยินและนายท่านโจวมีบุตรชายสองคน คือคุณชายใหญ่เฟิ่งเจี๋ยและคุณชายรองเฟิ่งอี้" อี้หลันเอ่ยตอบ
มี่อิงตะลึงงันไปครู่หนึ่ง พลางคิดในใจ นึกว่าจะรู้เรื่องทุกอย่างของตระกูลนี้จนหมดแล้วเสียอีก "แล้วไยข้าถึงไม่เคยเห็นหน้าคร่าตาคุณชายรองเลยล่ะ"
"หลังจากที่คุณชายใหญ่โจวถูกส่งตัวไปรักษาดวงตา คุณชายรองก็ไม่กลับมาที่จวนอีกเลย แต่ข้าไม่แปลกใจหรอก เพราะคุณชายอาจจะกลับไปอยู่ที่จวนหลังเก่าก็เป็นได้"
"แต่ทำไมคุณชายโจวต้องโกรธจนอาละวาดเช่นนั้นด้วยล่ะ แค่คิดก็ขนลุกแล้ว" เอ่ยจบ เจียวซือก็เดินเข้าไปเขย่าแขนมี่อิงเบา ๆ แสดงสีหน้าหวาดกลัว "มี่อิง...เจ้าต้องระวังตัวไว้ให้ดี ๆ รู้หรือไม่ เพราะหากคุณชายเกิดพลั้งมือฆ่าเจ้าขึ้นมา เจ้าจะได้หนีออกมาทัน"
มี่อิงสะบัดแขนออกเบา ๆ ใบหน้าฉายแววไม่พอใจเล็กน้อย "พวกเจ้าไปกันใหญ่แล้ว คุณชายไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสียหน่อย"
"พวกข้าแค่หวังดี เจ้าไม่เห็นต้องโกรธข้าเลยมี่อิง"
"ใช่ ๆ เจ้าเอานี่เข้าไปด้วยดีหรือไม่ เผื่อจะป้องกันได้…" เจียวซือยิ้มแห้งพลางคว้าหยิบหม้ออวยส่งยื่นให้มี่อิงด้วยท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ
มี่อิงส่ายศีรษะ ถอนหายใจเบา ๆ โยนคำพูดของพวกนางออกจากหัวสมอง ก่อนที่จะยกขนมหวานและเครื่องดื่มที่เตรียมไว้ให้คุณชายโจวถือเดินออกไปจากโรงครัว
.
.
.
เมื่อรับรู้เช่นนั้น มี่อิงก็ไม่รีรอ หอบหิ้วข้าวของพะรุงพะรังเปิดประตูเข้ามาในเรือนจ้วนสือเพื่อเข้ามาดูอาการของคุณชายโจวทันที
มือซ้ายของนางถืออ่างน้ำสีชาดขนาดเล็กที่มีน้ำจุอยู่ส่วนหนึ่ง มือขวาถือถาดไม้ที่มีเครื่องดื่มคลายร้อนและขนมหวานวางอยู่ ส่วนหัวไหล่นางก็ยังไม่ว่างเว้น แบกย่ามใบเก่าที่มีกำยานและเทียนหอมอยู่ในนั้นประมาณหนึ่งหยิบมือ
มี่อิงสูดลมหายใจลึก เอ่ยพึมพำกับตัวเอง สภาพข้ายามนี้ถึงแม้จะดูไม่สู้ดีนัก แต่เพื่อคุณชายโจวแล้ว ให้ข้าแบกหินเข้ามาข้าก็ยอมน
สิ้นสุดความคิด นางก็มองเข้าไปด้านในเรือนอีกครั้ง แล้วความรู้สึกแรกที่เข้ามาในเรือนแห่งนี้ก็ฉายซ้ำเข้ามาในหัวสมองอย่างไม่รู้ตัว
ความมืดมิดท่ามกลางบรรยากาศชวนน่าขนลุกนี่มันอะไรกัน?
หน้าต่างทุกบานถูกปิดอย่างแน่นหนา ภายในเรือนมืดมิดไร้ซึ่งแสงสว่าง ไร้อากาศถ่ายเท แม้แต่จะสูดอากาศหายใจยังทำได้ลำบาก
มี่อิงตั้งสติ เดินเข้าไปวางข้าวของทั้งหมดบนโต๊ะไม้สูง แล้วเดินไปแง้มหน้าต่างทีละบานออกเล็กน้อยเพื่อให้พอมีลมพัดผ่าน ก่อนที่จะนำเทียนหอมหลากสีออกมาจุดไฟ วางไว้ตามจุดต่าง ๆ ของห้อง
เมื่อห้องสว่างขึ้นด้วยแสงเทียนและแสงแดดที่ลอดผ่านเข้ามาทางช่องแคบของหน้าต่างแล้ว สายตาอันแหลมคมของนางก็พลันมองไปเห็นเศษแก้ว เศษแจกันแตกละเอียดเป็นเสี่ยงอยู่บนพื้น
นางไม่ได้รู้สึกตกใจหรือแม้แต่จะตั้งข้อสงสัยในใจ เพราะทุกครั้งที่คุณชายโจวมีความทุกข์ เขามักจะระบายอารมณ์ด้วยการขว้างปา ทำลายข้าวของ หรือไม่ก็เก็บตัวเงียบ ซ่อนตัวหลบอยู่ในที่มืด นั่นคือการแสดงออกของคุณชาย หาใช่ไปทำร้ายผู้อื่นอย่างที่ใครเขากล่าวลือกัน
“เจ้าเป็นใคร! กล้าดีอย่างไรมาจุดเทียนในห้องข้า”
เสียงตวาดเข้มทุ้มดังมาจากหลังตู้ไม้เก็บของใบหนึ่งที่สูงชัน หลังตู้ไม้ใบนั้น ปรากฏตัว 'เฟิ่งเจี๋ย' กำลังนั่งกอดเข่า เนื้อตัวสั่นเทาหลบซ่อนตัวอยู่เงียบ ๆ
มี่อิงเม้มปากยิ้ม ปรนนิบัติรับใช้มาพักใหญ่ ความคิดความอ่านของคุณชายโจวเป็นอย่างไรนางกระจ่างแจ้งดีมานานแล้ว
“มี่อิงเองเจ้าค่ะ คุณชายซ่อนตัวอยู่ตรงไหน ออกมาหาบ่าวเถิดนะเจ้าคะ” มี่อิงเอ่ยถามน้ำเสียงนุ่มนวล
“ข้าไม่ออก ไฉนข้าต้องเชื่อเจ้า”
หว่างคิ้วของมี่อิงขมวดเป็นปมแน่น คุณชายดื้อรั้นเหมือนเด็กน้อยไม่มีผิด แบบนี้จะเป็นชายหนุ่มเหี้ยมโหดได้อย่างไร “บ่าวมีขนมหวานที่คุณชายชอบติดมือมาด้วย...คุณชายไม่สนใจหรือเจ้าคะ”
“นี่เจ้ากำลังหลอกล่อข้าด้วยขนมหวานงั้นหรือ”
“เปล่าเสียหน่อยเจ้าค่ะ มี่อิงอยากดูแลปรนนิบัติคุณชายมากกว่า ออกมาเถิดนะเจ้าคะ คุณชายคนเก่ง”
แล้วบรรยากาศของห้องก็เงียบงันไปครู่ใหญ่ จนกระทั่งมีเสียงตอบกลับมาอีกครั้ง
.
.
.
“ข้าอยู่หลังตู้” เฟิ่งเจี๋ยตะโกนบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่มลง
มี่อิงกวาดสายตามองดูตู้ไม้ที่ตั้งวางเรียงรายอยู่ด้วยใบหน้าฉงน ความรู้สึกของนางยามนี้เหมือนกำลังเล่นซ่อนหาอยู่กับเด็กน้อยอย่างไรอย่างนั้น
“ตู้ใบไหนกันเจ้าคะคุณชาย” มี่อิงป้องปากตะโกนถาม
"ตู้ใบใหญ่ด้านหลังเจ้า"
คำบอกใบ้ทำให้มี่อิงหันหลังกลับ มองตรงไปยังเบื้องหน้า แล้วก็พบว่ามีตู้ไม้ใบใหญ่สูงชันใบหนึ่งตั้งวางอยู่ตามที่คุณชายโจวกล่าวไว้จริง ๆ
นางไม่รีรอที่จะเดินอ้อมไปดูด้านหลังตู้ใบนั้น ครั้นพอเห็นคุณชายโจวนั่งกอดเข่าอยู่ นางก็รีบเข้าไปประคับประคองตัวเดินผ่านม่านโปร่งพามานั่งบนเตียงนอน
หลังจากนั้น นางก็นำผ้าสะอาดชุบน้ำในอ่างสีชาดให้เปียกชุ่ม บิดและซับเช็ดไปที่ใบหน้าและลำคอของคุณชายโจวเพื่อให้สบายตัวขึ้น
"คุณชายจะทรมานตัวเองไปทำไมกันเจ้าคะ หากบ่าวไม่เข้ามา คุณชายก็จะนั่งอยู่อย่างนั้นไปจนเช้าเลยงั้นหรือ" มี่อิงเอ่ยเสียงเจือแววตำหนิ
"ก็คงเป็นเช่นนั้นกระมัง" เฟิ่งเจี๋ยเอ่ยเสียงเรียบ
มี่อิงตวัดสายตามองใบหน้าหล่อเหลาของคุณชายโจวเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อ "คุณชายทำแบบนี้ก็รังแต่จะทำให้ตัวเองเป็นทุกข์ ข้าวของแตกไปก็ยากที่จะสมานกลับมาเป็นเช่นเดิม บ่าวมองไม่เห็นข้อดีของเรื่องนี้เลยสักนิด"
“นี่เจ้ากำลังตำหนิข้าอยู่งั้นหรือ”
“มิกล้าเจ้าค่ะ บ่าวก็แค่พูดไปตามที่คิด ดูสิเจ้าคะ...หากข้าวของพวกนี้มีชีวิต คงจะร้องไห้เสียใจแย่ เพราะพวกมันไม่เคยทำร้ายคุณชายเลยแม้แต่น้อย”
เฟิ่งเจี๋ยนิ่งเงียบ แสดงสีหน้าขบคิดครู่หนึ่งและเอ่ยตอบ “ที่เอ่ยมาทั้งหมดเป็นเพราะเจ้าเกียจคร้านที่จะเก็บกวาดใช่หรือไม่”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น มี่อิงก็กลั้นขำเอาไว้ไม่อยู่ พลางคิดในใจ อะไรกัน...พยายามพูดปลอบประโลมอยู่แท้ ๆ ไฉนคุณชายถึงแปลความหมายของข้าเป็นเช่นนั้นไปได้ “เป็นบ่าวรับใช้จะเกียจคร้านได้อย่างไรกันเจ้าคะ มี่อิงไม่อยากให้คุณชายทำร้ายตัวเองต่างหาก มีวิธีตั้งเยอะแยะที่จะช่วยให้คุณชายสงบจิตใจลงได้”
"ที่เจ้าหมายถึงคือวิธีใด..."
สิ้นเสียงเฟิ่งเจี๋ย มี่อิงก็ลุกขึ้นไปหยิบกำยานในย่ามออกมาเรียงวางบนถาดไม้ แล้วใช้กลักไฟจุดบนกำยานเหล่านั้นให้ติดด้วยท่าทางคล่องแคล่ว
ที่สำนักดูดวงจิ๋นเสียงหยู่อี้ ก็ใช้วิธีนี้เช่นเดียวกัน ก่อนที่จะเปิดสำนักดูดวง นางมักจะจุดกำยานให้ส่งกลิ่นหอมคละคลุ้งไปทั่วห้อง เพื่อให้คนที่เข้ามาดูดวงสมองปลอดโปร่งและผ่อนคลาย สลัดความคิดด้านลบออกไปและเชื่อฟังคำพูดนางประดุจดั่งกำลังต้องมนต์
พอประสาทสัมผัสทางจมูกของเฟิ่งเจี๋ยเริ่มได้กลิ่นหอมบางอย่าง เขาก็เอ่ยถามขึ้นให้คลายความสงสัย "นั่นกลิ่นอะไร"
"กลิ่นของกำยานและเครื่องหอมเจ้าค่ะ" มี่อิงยิ้มตอบ
ครั้นเมื่อควันขาวเริ่มม้วนตัวพวยพุ่งขึ้นมาจากกำยาน มี่อิงก็ใช้มือเรียวงามโบกพัดควันขาวนั้นเบา ๆ แล้วสูดดมกลิ่นหอมด้วยใบหน้าเคลิบเคลิ้ม "กำยานและเครื่องหอมนี้ ทำมาจากกลีบดอกจงฮวาที่เก็บมาจากป่าอันไกลโพ้น มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ เบาสบาย ช่วยให้ผ่อนคลาย ลดความตึงเครียดได้ดีมากเลยเจ้าค่ะ"
"งั้นหรือ…" เฟิ่งเจี๋ยเอ่ยพลางค่อย ๆ หลับตาสูดดมกลิ่นกำยาน แล้วก็พบว่าตนเองกำลังตกอยู่ในภวังค์เหมือนดั่งกำลังเดินเล่นอยู่กลางสวนดอกไม้ที่ส่งกลิ่นหอมละมุนละไมเต็มไปหมด
รู้สึกดี...รู้สึกดีจริง ๆ
"คุณชายเจ้าคะ"
เสียงเรียกของมี่อิงทำให้เฟิ่งเจี๋ยมีสติรู้ตัวและหลุดออกจากห้วงแห่งภวังค์อันเลื่อนลอย เขาค่อย ๆ เปิดดวงตาลืมขึ้น พลางเอ่ยถาม "มีอะไรหรือ"
มี่อิงค่อย ๆ ขยับเขยื้อนกายเข้าไปเอ่ยกระซิบข้างหูของเฟิ่งเจี๋ย "บรรยากาศในห้องชวนน่าหลับใหลเช่นนี้ คุณชายอยากจะให้มี่อิง...ช่วยทำให้คุณชายหลับสบายขึ้นหรือไม่เจ้าคะ"
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของชายหนุ่มก็แดงเรื่อขึ้นมาทันใด เขาเผลอไผลคิดเรื่องวาบหวามขึ้นมาในหัวสมองจนเก็บอาการเอาไว้ไม่อยู่ บรรยากาศในห้องมีกลิ่นหอมชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย ส่วนนางอยากทำให้ข้าหลับสบาย จะมีเรื่องอันใดเกิดขึ้นได้ นอกเสียจาก…
มี่อิงย้ายกายมานั่งด้านหลังของเฟิ่งเจี๋ย ปรับเปลี่ยนท่านั่ง พลางใช้มือค่อย ๆ เลิกเสื้อคลุมสีดำขลับตัวนอกถอดออก...นั่นยิ่งทำให้เขาหัวใจเต้นแรงและรัวหนักขึ้นเรื่อย ๆ
"นะ นี่มันไม่เร็วเกินไปสำหรับเจ้าหรือ" เฟิ่งเจี๋ยเอ่ยถามเสียงประหม่า
"ไม่เร็วเกินไปหรอกเจ้าค่ะ เดี๋ยวนี้ใครเขาก็ทำกัน ทำตัวตามสบายเถิดนะเจ้าคะ"
เฟิ่งเจี๋ยกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ข้าคิดว่านางจะเหนียมอายกับเรื่องแบบนี้เสียอีก หรือว่าที่ผ่านมา..เป็นเพียงข้าที่คิดไปเองแต่เพียงผู้เดียว "ไยเจ้าถึงได้เปลี่ยนไปเช่นนี้ เจ้าทำแบบนี้แน่ใจแล้วใช่หรือไม่ "
"เจ้าค่ะ" มี่อิงคลี่ยิ้มละไมเอ่ยตอบ
เฟิ่งเจี๋ยนั่งนิ่ง ร่างกายแข็งทื่อ ไม่ขยับเขยื้อนไปไหน เขาไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรหรือคาดหวังอะไรกันแน่ บุรุษที่แข็งแกร่งเช่นข้าต้องเข้าหาสตรีก่อน หาใช่นางที่เข้ามาปั่นป่วนหัวใจข้าเช่นนี้ ใช่! มี่อิง...หากเป็นความปรารถนาเจ้า ข้าสัญญาว่าจะทะนุถนอม ทำให้เจ้ามีความสุขที่สุด
คิดได้เช่นนั้น เฟิ่งเจี๋ยก็เลื่อนมือเตรียมจะคว้าดึงตัวมี่อิงเข้ามาโอบกอดและจู่โจมนางเสีย แต่ยังไม่ทันได้ลงมือ เขาก็รู้สึกเหมือนมีมือเล็กนุ่มนิ่มกำลังบีบกด นวดไปที่หัวไหล่ของเขาอยู่
...แล้วความปรารถนาจับต้องไม่ได้ที่ล่องลอยอยู่กลางอากาศของชายหนุ่มก็ร่วงหล่นลงพื้น
เฟิ่งเจี๋ยกลืนน้ำลายอีกเป็นครั้งที่สอง หาใช่ความตื่นเต้นเหมือนครั้งแรก แต่เป็นความเสียดายและผิดหวังอยู่ลึก ๆ
ที่นางเอ่ยมาทั้งหมด...หมายถึงนางจะนวดให้ข้าอย่างนั้นเองสินะ
"เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ พอมี่อิงนวดให้เช่นนี้ คุณชายรู้สึกเคลิบเคลิ้มจนอยากจะนอนหลับเลยใช่หรือไม่" มี่อิงกดแรงบีบนวดไป ยิ้มถามไป คาดหวังว่าคุณชายจะพึงพอใจ
"ดี...ดีมาก แต่ผิดคาดไปเสียหน่อย" เฟิ่งเจี๋ยก้มศีรษะ เอ่ยพึมพำกับตนเองเสียงค่อย
มี่อิงขมวดคิ้วถาม สีหน้าฉายแววสงสัย "ผิดคาด...คุณชายหมายความว่าอย่างไรกันเจ้าคะ บ่าวไม่เข้าใจเจ้าค่ะ"
เฟิ่งเจี๋ยไม่ตอบกลับ ทว่าฉีกยิ้มกว้าง หัวเราะออกมาด้วยสีหน้ามีความสุข ยามนี้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า วิธีการของนาง ทำให้เขาสลัดความตึงเครียดหายออกไปจากหัวสมองและจิตใจอย่างเป็นปลิดทิ้ง เขานั่งนิ่งและพร่ำบอกกับนางในใจ
มี่อิง...หากเจ้ารู้ความจริงบางอย่าง เจ้าจะยังอยากปฏิบัติต่อข้าเช่นนี้อยู่หรือไม่?