“ที่ข้าให้เจ้าไปสืบมาเป็นอย่างไร” เฟิ่งเจี๋ยเอ่ยถาม ซือจง ทหารสายลับประจำตัวที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าด้วยน้ำเสียงทุ้มเข้ม
'ซือจง' คือทหารคนสนิท ออกรบข้างกายเฟิ่งเจี๋ยมาตั้งแต่สมัยยังเป็นแม่ทัพ ด้วยความจงรักภักดีจึงขอติดตามและสืบเสาะเรื่องการวางเพลิงฆาตกรรมสกุลโจวตามคำสั่งการอย่างเงียบ ๆ
"ท่านโหว...ที่ข้าน้อยไปสืบมา มีสามคนที่เข้าข่ายเป็นผู้ต้องสงสัยขอรับ" ซือจงก้มศีรษะเอ่ยรายงานเสียงหนักแน่น
"ผู้นั้นคือใคร! "
"คนแรกคือ เกาสื้อฉี เจ้าของโรงเตี๊ยม ที่แอบเปิดบ่อนพนันแบบลับ ๆ ในตลาดตะวันออกขอรับ"
“เกาสื้อฉี…” เฟิ่งเจี๋ยเอ่ยย้ำด้วยสีหน้าครุ่นคิด “เกาสื้อฉีเปิดบ่อนพนัน แล้วบิดามารดาข้าไปเกี่ยวอะไรด้วย"
"หนี้พนันขอรับท่านโหว"
"เจ้าว่าอย่างไรนะ" เฟิ่งเจี๋ยถลึงตาโต ใบหน้าฉายแววตกตะลึงสุดประมาณ
เขาพยายามนึกคิดทบทวนเรื่องราวในใจ แล้วก็พบว่าคำกล่าวรายงานของซือจงพอจะมีทิศทางอยู่บ้าง เพราะก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์โศกนาฏกรรมไฟไหม้ครั้งนั้น ฮูหยินและนายใหญ่โจวมักมีพฤติกรรมแปลก ๆ ไม่ค่อยพูดจากับผู้ใด มีสีหน้าหวาดวิตกอยู่ตลอดเวลา นั่นอาจจะเป็นสาเหตุของเรื่องนี้ก็เป็นได้
เมื่อหลุดจากห้วงแห่งความคิด เฟิ่งเจี๋ยก็ซักถามต่อ "แล้วเกาสื้อฉี เป็นคนเช่นไร"
"เกาสื้อฉี มีฐานะร่ำรวย ทว่าจิตใจคับแคบ จะคบค้าสมาคมแค่กับคนที่มีผลประโยชน์เท่านั้นขอรับ"
"งั้นหรือ...แล้วเกาสื้อฉีมีครอบครัวหรือไม่"
"มีขอรับ เกาสื้อฉีแต่งงานมีภรรยาหนึ่งคน อนุภรรยาอีกสองคน บุตรสองคนขอรับ"
เฟิ่งเจี๋ยผงกศีรษะเชื่องช้า เก็บข้อมูลในใจ “แล้วคนต่อไปล่ะ”
“คนต่อไปคือ สวี่จิ้นไฉ ขอรับ”
“นายใหญ่สวี่งั้นหรือ…” เฟิ่งเจี๋ยถามเสียงแข็งด้วยสีหน้าตกใจมากกว่าผู้ต้องสงสัยรายแรกเสียอีก เพราะ สวี่จิ้นไฉ คือบิดาของคนรักเก่าของเขาอย่าง สวี่เอ้อร์หนิง
ซึ่ง ‘สกุลสวี่’ เปรียบเหมือนดั่งสกุลพี่น้องกับสกุลโจว ช่วยเหลือแบ่งปันกันมาหลายชั่วอายุคน สองตระกูลได้ทำการหมั้นหมายบุตรสาวและบุตรชายเอาไว้ตั้งแต่ยังเยาว์ แต่หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งนั้น สกุลสวี่ก็ไม่ปรากฏตัวมาให้เห็นอีกเลยแม้แต่น้อย
"ขอรับท่านโหว ฟังไม่ผิดขอรับ" ซือจงหลุบตาเอ่ยตอบ
“เช่นนั้นสวี่จิ้นไฉเกี่ยวข้องกับท่านพ่อท่านแม่ข้าอย่างไร”
“สวี่จิ้นไฉเคยขัดแย้งไม่ลงรอยกับนายท่านโจวเรื่องผลประโยชน์ขอรับ เป็นคนสุดท้ายที่นายท่านโจวเข้าไปพูดคุยด้วย ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์วางเพลิงขึ้น ข้าน้อยเลยคิดว่า อาจเป็นไปได้ที่สวี่จิ้นไฉจะเป็นผู้สั่งการอยู่เบื้องหลังทั้งหมดขอรับ”
“ไม่ลงรอยเรื่องผลประโยชน์งั้นหรือ เป็นไปได้อย่างไร แล้วเจ้ารู้หรือไม่ ว่าบิดามารดาข้าทำอะไรร่วมกับสวี่จิ้นไฉกันแน่”
“นายท่านและฮูหยินโจวแอบทำการค้าขายทางทะเลร่วมกับสวี่จิ้นไฉอย่างลับ ๆ กับพ่อค้าชาวมองโกลเพราะเห็นแก่เงินที่จะเข้ามาอย่างมหาศาลสุดประมาณการไม่ได้ ท่านโหวก็รู้ดีว่า ข้าราชการไม่อาจกระทำการเช่นนี้ได้อย่างโจ่งแจ้ง หากทางการล่วงรู้จะถูกลงโทษ อย่างน้อยที่สุดคือปลดออกจากราชการ อย่างมากที่สุดคือขังคุกหรือประหารชีวิตขอรับ”
เฟิ่งเจี๋ยยกมือขึ้นนวดขมับ ถอนหายใจเฮือกยาว “ไฉนท่านพ่อท่านแม่ถึงทำเช่นนี้….”
“ถึงอย่างไรเสีย ข้าน้อยยังไม่พบร่องรอยหรือหลักฐานที่จะมัดตัวของสวี่จิ้นไฉเอาไว้ได้ ยังคงเป็นเพียงผู้ต้องสงสัยคนหนึ่งเท่านั้นขอรับ”
“ข้าเข้าใจแล้ว...คนต่อไปล่ะ”
"คนสุดท้ายคือ ใต้เท้าหลี่ ขุนนางชั้นสอง เสนาบดีกรมกลาโหม ข้าน้อยคิดว่าชายผู้นี้ท่านโหวรู้จักเป็นอย่างดีขอรับ”
เฟิ่งเจี๋ยกระตุกมุมปากยิ้มหยัน แค่นเสียงขึ้นจมูก “หึ! รู้จักอย่างดีเลยล่ะ แล้วใต้เท้าหลี่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างไร”
“ข้าน้อยได้ยินมาว่า ใต้เท้าหลี่ คือนายทุนใหญ่คอยสนับสนุนและเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการค้าขายครั้งนี้ด้วยขอรับ”
“งั้นหรือ…” เฟิ่งเจี๋ยเอ่ยเสียงยืดยานพลางขมวดคิ้วเป็นปมแน่น
เขารู้ดีว่า ใต้เท้าหลี่ เป็นคนที่หาความดีแทบไม่เจอ หากจะบอกว่าเป็นขุนนางชั่วก็พูดได้อย่างไม่กระดากปาก ความสามารถเป็นที่ประจักษ์และความเที่ยงตรงของเฟิ่งเจี๋ยมักจะไปขัดขาใต้เท้าหลี่จนไม่พอใจอยู่บ่อย ๆ นึกไม่ถึงเลยว่า ชายผู้ทะนงตัวและจ้องจะเล่นงานข้าเช่นนั้น จะกลายมาเป็นนายทุนใหญ่เบื้องหลังการค้าขายของสกุลโจวได้ ซับซ้อน...ซับซ้อนยิ่งนัก!
“ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าออกไปก่อนเถิด หากได้เบาะแสอะไรอีกให้รีบมาบอกข้า”
“ขอรับท่านโหว”
แอ๊ดดด ด!!
ประตูเรือนจ้วนสือส่งเสียงดังขึ้นและขยับเปิดออก
ซือจงรีบกระโดดออกทางหน้าต่างด้วยความรวดเร็ว หายวับไปกับตาราวกับล่องหนได้
มี่อิงค่อย ๆ หย่อนเท้าก้าวทีละข้างเข้ามาในเรือน เกร็งปลายเท้าสุดโก่งเพื่อให้กระทบกับพื้นไม้เบาเสียงที่สุด
ที่ทำเช่นนี้ หาใช่เกรงว่าคุณชายจะตวาดเกรี้ยวกราดแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะนางเรียนรู้มาจากจวงมามาต่างหาก
'เจ้าจงรู้เอาไว้ ว่าการเข้าไปหาคุณชายโจวที่เรือนแต่ละครั้ง จำต้องก้าวเท้าเข้าไปให้เบาเสียงและระมัดระวังมากที่สุด ไม่เช่นนั้นจะทำให้คุณชายโจวตกใจเอาได้ '
เห็นจวงมามาเป็นคนเคร่งครัดและมองข้าเป็นศัตรูเช่นนั้น...แต่พอถามเรื่องของคุณชายโจวทีไร นางก็ยอมปริปากบอกเสียจนหมดเปลือก ถึงแม้จะจงใจเล่นงานข้าโดยการให้เข้าไปทำความสะอาดเรือนเยว่สืออย่างนั้นก็เถอะ แต่นางคงรักและห่วงใยคุณชายโจวมากจริง ๆ ถึงได้ระแวงข้ามากมายเช่นนี้
"ข้ารู้แล้วว่าเป็นเจ้า"
สิ้นเสียงทุ้มเข้มของคุณชายโจว มี่อิงก็ฉีกยิ้มเจื่อน ๆ พลางเอ่ยถาม "คุณชายโจว...กำลังพักผ่อนอยู่หรือเจ้าคะ"
เฟิ่งเจี๋ยทอดสายตานิ่ง กะพริบตาเนิบช้า "แสงแดดอ่อน ๆ ทำให้รู้สึกอบอุ่นที่ใบหน้า ข้ารู้สึกไม่ค่อยแสบตานัก อากาศวันนี้ดีใช่หรือไม่"
มี่อิงหันหน้ามองท้องฟ้าสีครามนอกหน้าต่าง แล้วเอ่ยตอบ “เป็นอย่างที่คุณชายเอ่ยเจ้าค่ะ วันนี้ท้องฟ้าโปร่งใส เหมาะแก่การออกไปสูดอากาศรับลมยิ่งนัก”
“เช่นนั้น...เจ้าพาข้าออกไปนั่งข้างนอกที”
“เจ้าค่ะคุณชาย”
เอ่ยจบ มือเรียวสวยของมี่อิงก็คว้าหยิบผ้าฝ้ายสีขาวผืนบางบนโต๊ะเตี้ยข้างเตียง มาผูกที่ดวงตาของคุณชายโจวอย่างนุ่มนวล ไม่รัดแน่นจนเจ็บ ไม่หลวมจนเหนี่ยวรั้งใบหน้าอันคมคายเอาไว้ไม่ได้ หลังจากนั้นนางก็เข้าไปโอบประคองคุณชายโจวเดินออกมานั่งลงบนเก้าอี้ไม้ด้านหน้าของเรือน
"คุณชายต้องการสิ่งใดอีกหรือไม่เจ้าคะ"
“เจ้าจะทิ้งข้านั่งเดียวดายที่นี่หรือ มานั่งข้าง ๆ ข้าสิ” เฟิ่งเจี๋ยเอ่ยเชิญชวนเสียงเรียบ
"จะ เจ้าค่ะ" มี่อิงเผยอปากขึ้นเล็กน้อยด้วยความงุนงง แต่ก็เดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ข้าง ๆ คุณชายโจวตามคำสั่งแต่โดยดี
“มี่อิง”
“เจ้าคะคุณชาย” มี่อิงหันศรีษะมองพลางตอบรับ
"เรื่องใด...ที่หดหู่ที่สุดในชีวิตเจ้า"
มี่อิงกลอกตานึกคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบ "เหตุการณ์ที่หดหู่ที่สุดในชีวิตของมี่อิง... ก็คงจะเป็นตอนที่เห็นท่านย่าร้องไห้เจ้าค่ะ"
“ไฉนถึงเป็นเช่นนั้น”
“ท่านย่ามี่อิงเป็นคนเข้มแข็งมาก ท่านย่าไม่เคยร้องไห้ให้ผู้ใดเห็นเลยสักครั้ง แต่มีครั้งหนึ่งที่มี่อิงตื่นขึ้นมากลางดึก แล้วแอบเห็นท่านย่ากำลังโอบกอดเสื้อผ้าของท่านพ่อ ร้องไห้ออกมาด้วยสีหน้าเจ็บปวด ยามนั้นมี่อิงจุกแน่นไปหมดเลยเจ้าค่ะ อยากจะร้องไห้ แต่ก็ทำได้แค่เพียงสะอื้นไห้ให้เสียงนั้นเงียบที่สุดเพราะกลัวว่าท่านย่าจะรู้ตัว” มี่อิงเล่าเสียงอู้อี้อยู่ในลำคอ พอนึกถึงเรื่องราวในวันนั้น น้ำตาของนางก็ร่วงเผาะลงใส่แขนอย่างไม่รู้ตัว
"ยามนี้เจ้า...กำลังร้องไห้อยู่อย่างนั้นหรือ" เฟิ่งเจี๋ยเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจ
มี่อิงรีบใช้มือปาดเช็ดน้ำตา กลืนน้ำลายอึกใหญ่ ปรับเส้นเสียงให้เป็นปกติที่สุด "เปล่าเจ้าค่ะคุณชาย"
กลิ่นอายความโศกเศร้าอาดูรแผ่กระจายไปทั่วทุกอณู ถึงแม้ว่าเฟิ่งเจี๋ยจะมองไม่เห็น แต่น้ำเสียงและถ้อยคำของนาง ก็ทำให้เขารับรู้ถึงความเจ็บปวดได้เหมือนดั่งมีมิติพาเขาเข้าไปนั่งอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย
“ข้าเห็นเจ้าพูดถึงแต่ย่าของเจ้า เจ้าอยู่กับย่าแค่สองคนใช่หรือไม่"
มี่อิงใช้มือลูบจับกำไลหยกงามบนข้อมือนางช้า ๆ พลางเอื้อนเอ่ยด้วยแววตาเป็นประกาย "เจ้าค่ะ แค่สองคนเท่านั้น มี่อิงกำพร้าทั้งบิดามารดา แม้แต่หน้าก็ยังไม่เคยเห็นเลยเจ้าค่ะ มีเพียงแค่กำไลหยกที่สวมใส่เท่านั้นที่เป็นตัวแทนของท่านพ่อ"
"เช่นนั้น...เจ้าก็ไม่มีบิดามารดาเช่นข้า"
"ความเจ็บปวดของมี่อิงนั้นเทียบไม่ได้กับคุณชายเลยเจ้าค่ะ คุณชายสูญเสียบิดามารดาไปทั้ง ๆ ที่ยังรักและผูกพันกับท่านมาก แตกต่างจากมี่อิงที่เกิดมาก็เห็นแต่ใบหน้าของท่านย่าแล้ว"
"งั้นหรือ…" เฟิ่งเจี๋ยเอ่ยและนิ่งเงียบไป
ก่อนที่จะใช้มือคว้าเอาผ้าเช็ดหน้าผืนบางที่ซ่อนในเสื้อคลุม ส่งยื่นให้มี่อิงและเอ่ยสิ่งตรงข้ามกันกับใจ "เช็ดน้ำตาเสียเถิด ข้าไม่ชอบให้ผู้ใดมาร้องไห้ใกล้ ๆ ข้า"
นัยน์ตาสีอำพันของมี่อิงทอประกายวูบพลางจ้องมองคุณชายโจวด้วยความประหลาดใจ
คิด ๆ ดูแล้ว คุณชายผู้นี้ยังไม่เคยที่โหดร้ายกับข้าเลยสักครั้ง ถึงแม้จะอารมณ์ร้อนหรือไร้เหตุผลในบางที แต่ก็ไม่เห็นเหมือนกับข่าวลืออย่างที่เขาว่ากัน หากจะบอกว่าคุณชายใจดีแต่เพียงกับข้า ดูเหมือนว่า...ข้ากำลังหลงตัวเองเกินไปหรือไม่นะ?
เมื่อคิดได้เช่นนั้น มี่อิงก็เผลออมยิ้มออกมาด้วยความดีใจลึก ๆ นางใช้มือยื่นรับผ้าเช็ดหน้าจากคุณชายโจวอย่างเชื่องช้าและเอ่ย "ขอบคุณเจ้าค่ะคุณชาย"
"ข้าเริ่มพกผ้าผืนนี้ตั้งแต่ตอนที่ท่านแม่สิ้นใจ ยามเด็กข้ามักจะมีเลือดไหลออกมาทางจมูก ท่านแม่เลยปักผ้าผืนนี้ให้ข้า"
เมื่อได้ยินเช่นนั้น มี่อิงที่กำลังใช้ผ้าซับไปที่เบ้าตา ก็หยุดชะงัก "ขะ ของสำคัญเช่นนี้ เอามาให้บ่าวอย่างมี่อิงใช้มันจะดีหรือเจ้าคะ"
เฟิ่งเจี๋ยพยักหน้า เอ่ยสีหน้าเรียบนิ่งราวกับหุ่นไร้ชีวิตชีวา "เจ้าค่อยเอามาคืนข้า แล้วก็อย่าร้องไห้เช่นนี้อีก ข้าเกลียดบ่าวใช้ที่อ่อนแอเช่นเจ้านัก"
สิ้นเสียง มี่อิงก็กะพริบตาปริบ ๆ คำพูดของคุณชายโจวทำเอานางปรับเปลี่ยนอารมณ์เสียแทบไม่ทัน เกือบจะดีอยู่แล้วเชียว! ข้าอ่อนแอที่ไหนกัน? สตรีก็อ่อนไหวเช่นนี้ คุณชายผู้นี้ไม่รู้เรื่องเอาเสียเลย
"คุณชายกระหายน้ำหรือไม่เจ้าคะ ยามนี้อากาศเริ่มร้อนแล้ว เดี๋ยวมี่อิงจะไปยกเครื่องดื่มคลายร้อนมาให้" มี่อิงเบี่ยงเรื่องพูดคุย ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว...ใจนางต่างหากที่กำลังรุ่มร้อน หาใช่อากาศ
เฟิ่งเจี๋ยแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ตอบอืมและผงกศีรษะตอบรับ
หลังจากนั้น มี่อิงก็ลุกขึ้นยืนเดินออกไปยังโรงครัว
จนเวลาล่วงไปครู่หนึ่ง…
ในขณะที่เฟิ่งเจี๋ยกำลังอยู่ในอิริยาบถผ่อนคลายบนเก้าอี้ไม้ตัวเดิม
จู่ ๆ เขาก็ได้ยินเสียงเดินย่ำเท้ากระทบกับพื้นหินขัด ค่อย ๆ ดังและใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ
"มี่อิง...นี่เจ้าเอาเครื่องดื่มมาให้ข้าเร็วปานนั้นเลยหรือ"
บรรยากาศเงียบงันชั่วครู่ ก่อนที่จะมีเสียงเข้มทุ้มเสียงหนึ่งตอบกลับมา
"ใช่ที่ไหนกัน ท่านพี่...ข้าเองต่างหาก"