เพราะมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันอุบัติขึ้นบนรถม้า บรรยากาศจึงเงียบเชียบตลอดการเดินทาง ทั้ง ๆ ที่ในห้องโดยสารมีถังน้ำแข็งวางอยู่ แต่พวกเขากลับพบว่าอุณหภูมิรอบด้านกลับร้อนระอุอย่างบอกไม่ถูก
มี่อิงหลุบตาลง นั่งนิ่งแข็งทื่อราวกับรูปปั้นสลัก พวงแก้มขาวกระจ่างของนางยังคงมีสีแดงเรื่อ
ส่วนเฟิ่งเจี๋ยถึงแม้จะอ้าปากและหุบอยู่หลายครั้ง สุดท้ายก็ไม่เอ่ยอะไรออกมาสักคำ
นางกำลังเขินอายเพราะข้าอยู่อย่างนั้นสินะ…
เฟิ่งเจี๋ยคิดพลางเพ่งมองนางด้วยสายตาหยาดเยิ้มลึกซึ้ง เพราะห้องรถม้ามีพื้นที่น้อย เขาจึงสามารถมองนางที่นั่งตรงกันข้ามได้อย่างแนบเนียน ยิ่งในยามนี้นางที่กำลังเอาแต่นั่งก้มหน้าก้มตาอยู่อย่างนั้น ยิ่งทำให้เขาจ้องมองนางได้อย่างเต็มตาโดยไม่ต้องระแวดระวังเลยแม้แต่น้อย
ข้าไม่ได้จะเข้าข้างตัวเอง แต่ดูก็รู้ว่าเจ้ามีใจให้ข้า
มี่อิง...เจ้าคงไม่รู้ว่าข้ามีคารมคมคายมากเพียงใด สตรีงามมากมายในแคว้นต้าหมิงถึงได้เข้ามาหาข้า แต่กับเจ้าที่ทุ่มเทกับหน้าที่จนเกินไป อาจกำลังหลงรักข้า แต่ไม่รู้ใจตัวเองก็เป็นได้
ยามนี้เป็นโอกาสของข้าแล้ว…ข้าจะทำให้เจ้ารู้ใจตัวเองและยอมสารภาพกับข้าให้จนได้
“ข้าอยากให้รถม้ากระตุกและเกิดเหตุการณ์เมื่อครู่ขึ้นอีกครั้ง” คำพูดชวนกระอักกระอ่วนเอื้อนเอ่ยออกมาจากปากของเฟิ่งเจี๋ย
มี่อิงตะลึงงันไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะใช้มือจับปอยผมทัดหูด้วยท่าทางประดักประเดิดเล็กน้อย ใบหน้าพริ้มเพราของนางยามนี้กลายเป็นสีแดงก่ำลามไปถึงใบหู “ทำไมกันเจ้าคะ”
“เจ้าก็จะได้มานอนทับร่างข้าอีกครั้ง แล้วข้าก็จะ…”
“จะทำอะไรเจ้าคะ” มี่อิงกดเสียงต่ำถาม ก้มศีรษะลงมากกว่าเดิมเสียอีก หากมีเสื่อสักผืนในห้องรถม้านี้ นางคงจะเข้าไปมุดกายหนีแล้วทั้งตัว คุณชายกำลังจะพูดอะไรออกมากันแน่?
จูบเจ้า…
ใช่! พูดไปสิ...โจวเฟิ่งเจี๋ย เจ้าเป็นนักรักอันดับต้น ๆ ในแคว้นต้าหมิง พูดให้นางอ่อนระทวยจนทนไม่ไหวแล้วโผเข้าไปจูบเจ้าเลยสิ!
ถึงแม้จะพยายามเกลี้ยกล่อมตัวเองอย่างไร แต่ทว่าสีหน้าและท่าทางเขากลับอึกอักอีกเช่นเคย เพราะภาพที่เห็นตรงหน้าคือมี่อิงกำลังหดศีรษะ ก้มหน้างุดประดุจเต่าที่หลบซ่อนอยู่ในกระดองไม่มีผิด หาได้เงยหน้าส่งสายตาเย้ายวนแบบที่คาดคิด
“เอ่อ...คือ…ข้า…” น้ำเสียงประหม่าและหัวใจที่เต้นขาดหายไปครึ่งจังหวะทำให้สติของชายหนุ่มกระเจิดกระเจิงไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เขาหลับตาพยายามเปล่งเสียงตอบ จนในที่สุดก็โพล่งตอบออกไปว่า “ขะ ข้าน่าจะนอนไม่พอ จึงเลอะเลือนเล็กน้อย เจ้าอย่าถือสาข้าเลย”
มี่อิงที่ลุ้นระทึก เมื่อได้ยินเช่นนั้น ก็ถอนหายใจออกมา พลางตอบ “เจ้าค่ะคุณชาย”
เฟิ่งเจี๋ยถอนหายใจเฮือกยาวเช่นกัน เพราะความปรารถนาไม่ถูกเติมเต็ม เขาจึงกำมือทุบไปที่ขาตัวเองเบา ๆ พลางคิดปลอบใจ คารมของข้าคงยังไม่แข็งแกร่งพอสำหรับนาง ข้าคงต้องไปหาตำราเกี่ยวกับสตรีมาศึกษาเพิ่มเติมเสียแล้ว
เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดรถม้าก็ขับเคลื่อนมาถึง จวนสกุลโจว
มี่อิงพาคุณชายโจวเข้าไปพักผ่อนที่เรือนจ้วนสือตามหน้าที่ แต่เมื่อนางเดินออกมาจากเรือน เซี่ยวเซี่ยวก็พุ่งตรงเข้าไปหานางทันที พลางเอ่ยเสียงตื่นลน "มี่อิง…ข้าไปพบกับตงหูมาแล้ว"
"ตงหูคือผู้ใดหรือ" มี่อิงถามอย่างสงสัย
"คนในจดหมายข้าอย่างไรเล่า เจ้าลืมไปแล้วงั้นหรือ" เซี่ยวเซี่ยวรู้สึกกระดากปากที่จะเอ่ยถึงความสัมพันธ์ครั้งเก่าก่อน นางจึงไม่อยากเอ่ยว่าเป็นคนรัก
"จริงหรือ...แล้วเป็นอย่างไร พวกเจ้าพูดคุยกันดีหรือไม่" มี่อิงซักถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง
เซี่ยวเซี่ยวส่ายศีรษะ หลุบตาลงอย่างเศร้าหมอง
"แล้วพวกเจ้าลงเอยกันอย่างไร" มี่อิงเอ่ยถามต่อ
เซี่ยวเซี่ยวจึงแบมือยกขึ้นระดับใบหน้า ดวงตาที่โค้งลงดุดันเข้มข้นขึ้น "ข้าใช้มือข้างนี้ตบไปที่ใบหน้าของเขา
"จริงหรือ! " มี่อิงเบิกตาโต ยกมือป้องปาก “เหตุใดเจ้าถึงทำเช่นนั้น ตงหูพูดจาทำร้ายเจ้าหรอกหรือ”
เซี่ยวเซี่ยวเงยหน้ามองท้องฟ้าอย่างเหม่อลอย ก่อนที่จะเอ่ยเล่าเหตุการณ์เมื่อวันก่อน...
‘เซี่ยวเซี่ยว...เจ้าตัดใจจากข้าเถิด’ คำพูดเฉียบขาดที่สามารถตัดสัมพันธ์ให้ขาดสะบั้นหลุดออกมาจากปากของชายหนุ่มท่ามกลางป่าเขาที่รายล้อม
‘ตงหู...เจ้าก็รู้ดีว่าข้ารักเจ้ามากเพียงใด ข้ารู้ดีว่าเจ้าก็รักข้าเช่นกัน ไยเจ้าถึงเปลี่ยนไปเช่นนี้’ เซี่ยวเซี่ยวเอ่ยพลางดึงมือเขามากุมไว้อย่างนุ่มนวล
ชายหนุ่มสะบัดมือนางทิ้งอย่างไร้เยื่อใย หันหลังและเอ่ย 'เวลาเปลี่ยน ใจคนย่อมเปลี่ยน ข้าพบแม่นางหลินแล้วต้องชะตา ข้าเลยขอแม่นางผู้นั้นแต่งงาน...เรื่องก็มีเพียงเท่านี้'
ได้ยินเช่นนั้น เซี่ยวเซี่ยวก็รู้สึกแสบจมูก จุกแน่นไปทั้งอก นางเอ่ยตอบกลับด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ 'ต้องชะตาหรือ...แล้วข้าล่ะตงหู!"
ตงหูยืนนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะหันกลับมาจ้องมองนางด้วยสายตาเว้าวอนเปล่งประกาย 'เซี่ยวเซี่ยว...เจ้ายังเป็นหนึ่งเดียวในใจข้าเสมอ ข้าจะไม่มีวันลืมเจ้า'
'เช่นนั้น...เจ้าก็ล้มเลิกงานแต่งไป แล้วก็กลับมาหาข้าดังเดิมดีหรือไม่' ดวงตาที่มีน้ำตาคลอมีประกายขึ้นอีกครั้ง
ตงหูพรูลมหายใจยาว สีหน้าไม่อาจเก็บซ่อนความระอาไว้ได้ 'ข้าไม่อาจทำเช่นนั้น'
'ทำไมล่ะ! ข้าไม่เข้าใจเจ้าเลยสักนิด' เซี่ยวเซี่ยวส่ายศีรษะ สะอื้นไห้จุกแน่นในลำคอ
'เจ้าไม่จำเป็นต้องเข้าใจข้า'
'ตงหู...เจ้าบอกข้ามาเถิด ว่าเจ้ายังรักข้าอยู่ มีใครบังคับเจ้าใช่หรือไม่'
'พอเสียที!!!' ตงหูตวาดเสียงลั่น 'ไม่มีผู้ใดบังคับข้าทั้งนั้น'
เซี่ยวเซี่ยวสะดุ้งโหยง คำพูดเหล่านั้นกระแทกจิตใจนางจนปวดร้าวแหลกสลายไม่มีชิ้นดี
'บัดซบ!' เซี่ยวเซี่ยวสบถเสียงเย็นคำหนึ่ง ชายหนุ่มแทบไม่เชื่อหูว่านางจะพูดคำนั้นกับเขา ตลอดเวลาที่คบหากัน ไม่เคยมีสักครั้งเดียวที่นางจะเอ่ยคำหยาบคาย นางมักจะนุ่มนวลและใจดีกับเขาเสมอ 'ซะ เซี่ยวเซี่ยว เจ้ากำลังโกรธอยู่งั้นหรือ'
เซี่ยวเซี่ยวหายใจกระชั้นถี่ จ้องมองเขาด้วยแววตาเคียดแค้น อดทนฟังมาเสียตั้งนาน ยามนี้นางไม่อาจสะกดกลั้นอารมณ์โกรธที่สุมแน่นเต็มอกได้อีกต่อไปแล้ว
'ซะ เซี่ยวเซี่ยว...เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ เจ้าก็มาเป็นเมียข้าอีกคนแบบลับ ๆ นางไม่รู้เรื่องนี้เป็นแน่'
เพี๊ยะ!!!!!!
ฝ่ามือนางฟาดไปที่ใบหน้าเขาอย่างสุดแรง ก่อนจะตวาดใส่หน้าชายหนุ่มเสียงดัง 'สารเลว! เจ้าทำแบบนี้กับข้าได้อย่างไร'
ชายหนุ่มกะพริบตา อ้าปากค้างพลางยกมือขึ้นลูบแก้มที่แดงแปร๊ดเป็นรอยนิ้วมือด้วยความตกใจ 'เซี่ยวเซี่ยว...นี่เจ้าตบหน้าข้าหรือ จะ เจ้าเกลียดข้าแล้วหรือ''
‘ออกไปจากชีวิตข้าซะ!!!’
...มี่อิงปรบมือ อ้าปากค้าง จ้องมองนางด้วยสีหน้าปลาบปลื้ม "เซี่ยวเซี่ยวเจ้าไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริง ๆ แล้วชายผู้นั้นเป็นอย่างไร อึ้งไปเลยใช่หรือไม่"
เซี่ยวเซี่ยวคว่ำปาก โผเข้ากอดนาง ก่อนจะร้องไห้ฟูมฟายในอ้อมอกนั้น "ใช่! ตงหูอึ้งไป แต่ข้าก็ยังรู้สึกเสียใจอยู่ดี ฮืออ อ"
"ไม่เอาหน่า…เจ้าน่ะ กล้าหาญที่สุดแล้ว ได้ตบหน้าชายที่หักหลังสักฉาด ถือว่าเป็นการแก้แค้นที่สะใจไม่น้อย" มี่อิงตบหลังนางเบา ๆ อย่างปลอบโยน
เซี่ยวเซี่ยวถอนกอดออก ปาดน้ำตาที่เปรอะเปื้อนบนใบหน้า "เจ้าคิดอย่างนั้นหรือ"
มี่อิงพยักหน้า ยิ้มให้นางอย่างเป็นมิตร
"ขอบคุณเจ้านะมี่อิง...เป็นเพราะเจ้าแท้ ๆ ข้าเลยกล้าทำอะไรเช่นนี้ หากข้ามัวแต่จมอยู่ในความทุกข์ ก็คงไม่เห็นธาตุแท้ของชายผู้นั้น" ดวงตาของเซี่ยวเซี่ยวทอประกายวาว นางหันไปกุมมือมี่อิงและเอ่ย "ต่อไปข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะเจออะไรก็ตาม...ข้าจะไม่ทิ้งเจ้า เรื่องความรักก็เช่นกัน เจ้าจะยอมเป็นสหายข้าหรือไม่"
มี่อิงคลี่ยิ้มงดงาม "เหตุใดจะไม่ได้เล่าสหายข้า แต่ข้าคงไม่มีเรื่องความรักปรึกษาเจ้าหรอก"
"แน่ใจหรือ…ข้าว่าไม่น่าใช่นะ" เซี่ยวเซี่ยวมองมี่อิงด้วยสายตาคาดคั้น นางจึงเบือนหน้าสีแดงก่ำหลบเลี่ยงไปอีกทางพลางตอบ "แน่ใจสิ!"
พอเห็นว่าใบหน้าของมี่อิงเปลี่ยนเป็นสีแดงซ่านดุจเอาหมึกสีชาดมาแต่งแต้ม เซี่ยวเซี่ยวก็ฉีกยิ้มเอ่ยหยอกเย้านางไม่หยุด "จริงหรือ…"
"จริงสิ! เจ้านี่นะ..."
หลังจากนั้นทั้งสองก็หัวเราะร่า หยอกล้อกันไปมา จนลืมไปว่า เมื่อครู่พวกนางเพิ่งจะพูดคุยเรื่องโศกเศร้ากันอยู่
จวนสกุลสวี่
"ท่านพี่นี่มันอะไรกัน!" ฮูหยินสวี่เอ่ยถามสามีด้วยสีหน้าตื่นตระหนก เมื่อเห็นชายร่างกำยำกลุ่มหนึ่งกำลังยกของเดินผ่านหน้านางเข้าไปในจวน
หากเป็นปกติคงไม่กังขา ทว่าสินค้าที่ต้องขนส่งในรอบนี้นางจัดการบันทึกลงหนังสือค้าขายเรียบร้อยแล้ว เห็นเช่นนี้ก็อดประหลาดใจไม่ได้
"ฮูหยิน...เจ้าจะแตกตื่นไปทำไม ข้าเพียงแค่จัดการซื้อของเข้ามาเพิ่มก็เท่านั้น"
"เพราะเหตุใดกัน...ของทั้งหมดก็มีมากพอสำหรับเรือรอบนี้ ท่านพี่ซื้อของเข้ามาเพิ่ม หมายความว่าอย่างไร" ฮูหยินสวี่ขมวดคิ้วถาม
"ฮูหยิน...ของพวกนี้ข้าไม่ได้จ่ายเอง ข้าให้พ่อบ้านกัวไปรับตั๋วเงินจากเฟิ่งเจี๋ยที่จวนสกุลโจวมา"
ฮูหยินสวี่กะพริบตานิ่งคิด ก่อนจะเอ่ย "ท่านพี่กำลังจะบอกว่า โจวเฟิ่งเจี๋ยยอมเสียเงินทองซื้อของพวกนี้มาเพิ่มให้เราล่วงหน้าก่อนอย่างนั้นหรือ"
"ใช่! แลกกับความเชื่อใจของข้าและก็...เจ้า!" สวี่จิ้นไฉเอ่ยพลางยื่นนิ้วชี้ไปที่ปลายจมูกของภรรยา
"ไม่อยากคิดว่าโจวเฟิ่งเจี๋ยจะยอมวางทิฐิลงได้ หรือเป็นเพราะมีเงินทองเยอะจนรู้สึกอยากละลายทิ้งกันแน่"
"ข้าว่าเป็นอย่างที่สอง" สวี่จิ้นไฉเสนอความคิดเสียงเรียบ "อย่างนี้ก็ดี...ถึงต่อไปโดนหลอกก็ไม่ทันระวังตัว หลังจากที่ตาบอดสติปัญญาที่เคยมีคงหายไปกึ่งหนึ่ง ถึงแม้จะยังทะนงตัว แต่เรื่องเงินทองกลับง่ายดาย คงหมดหนทางหาเงินจึงมาพึ่งเรา ก็แค่คนไร้ค่าคนหนึ่ง"
"นั่นสินะเจ้าคะ" ฮูหยินสวี่ยกยิ้มมีเลศนัย เห็นด้วยกับคำพูดของสามี
"แล้วเอ้อร์หนิงเป็นอย่างไร เมื่อไหร่จะกลับมาอยู่ที่จวน เจ้าได้ข่าวคราวนางหรือไม่" สวี่จิ้นไฉโพล่งถามขึ้น จู่ ๆ เขาก็นึกถึงใบหน้าของบุตรสาวแว๊บเข้ามาในหัว
"ข้าเพิ่งได้รับจดหมายจากเอ้อร์หนิงเจ้าค่ะ" ฮูหยินสวี่กล่าว
"จดหมายว่าอย่างไร..."
"เอ้อร์หนิงบอกว่าสุขสบายดี จะกลับมาหาในเร็ววันนี้เจ้าค่ะท่านพี่"
สวี่จิ้นไฉตอบว่าดีและกระตุกปากยิ้ม เอ้อร์หนิง...หวังว่าครั้งนี้เจ้าจะทบทวนอะไรได้หลายอย่าง