ตอนที่ 28 : ความเชื่อใจอย่างนั้นสินะ

2420 Words
  เวลาล่วงมาสองวัน โจวเฟิ่งเจี๋ยและมี่อิงจึงเดินทางมาจวนสกุลสวี่ตามการนัดหมาย ครั้นเมื่อมาถึง ก็พบว่า ฮูหยินสวี่เดินออกมาต้อนรับด้วยตัวเองพร้อมบรรดาบ่าวรับใช้มากมายออกมายืนเรียงแถวรอคอยปรนนิบัติอยู่ที่หน้าประตู "เฟิ่งเจี๋ย...เจ้าเดินทางมาเหนื่อยหรือไม่" ฮูหยินสวี่เอ่ยยิ้มแย้มทักทาย แต่ทันทีที่นางเหลือบไปเห็นมี่อิงติดตามมาด้วย นางก็เกร็งคิ้วตา คลี่ยิ้มไม่เต็มใบหน้า "ข้านึกว่าเจ้าจะมาคนเดียวเสียอีก ความลับของเราแม้แต่บ่าวผู้ใดก็ไม่ควรล่วงรู้...เจ้าไว้ใจนางได้อย่างนั้นหรือ" ฮูหยินสวี่พูดสลับกับชำเลืองตามองใบหน้านางด้วยความไม่ไว้วางใจ มี่อิงเมื่อรู้ว่ากำลังถูกกล่าวถึงในทิศทางไม่ดีนัก จึงหลุบตาลงและแสดงท่าทางสงบเสงี่ยม แต่ทว่าภายในใจกลับต่อต้าน ถึงแม้จะถูกมองจากอีกฝ่ายอย่างนั้น นางก็จะยืนหยัดดูแลปรนนิบัติคุณชายโจวอย่างสุดความสามารถ แม้จะไล่เท่าไหร่ นางก็จะไม่ยอมไป "ท่านอาจะให้ข้าที่ตาบอดมาที่จวนของท่านแต่เพียงผู้เดียวอย่างนั้นหรือ...หึ! พูดอะไรน่าขันนัก!" เฟิ่งเจี๋ยแค่นเสียงเย็น นัยน์ตาสีดำอำพันแฝงแววระอาซ่อนอยู่ ฮูหยินสวี่ชักสีหน้าไม่พอใจใส่ชายหนุ่ม ถึงแม้อยากจะโวยวายต่อว่าเขาสักเพียงใด ยามนี้นางกลับทำได้เพียงสกัดกั้นอารมณ์เอาไว้ในส่วนลึกและยิ้มแย้มตอบกลับเท่านั้น "จะ จริงของเจ้า..." "นางเป็นคนของข้า ข้าตรองดีแล้ว ท่านอาเลิกกังวลอะไรเล็กน้อยเช่นนี้เถิด เอาเวลาไปคิดเรื่องกิจการของท่านยังดีเสียกว่า" ถ้อยคำของเฟิ่งเจี๋ยยิ่งตอกย้ำคำเอ่ยทักที่โง่งมไม่เข้าท่าของนาง ผู้ฟังจึงรู้สึกเจ็บแปล็บที่หัวใจอยู่เนือง ๆ "เข้าไปข้างในกันเถิด...สามีข้ารอเจ้าอยู่" ฮูหยินสวี่รีบตัดบทเปลี่ยนเรื่องทั้ง ๆ ที่ไฟโทสะยังสุมอก นางหันกายเดินจ้ำอ้าวนำทั้งสองไปยังเรือนรับรองที่อยู่ห่างจากประตูชั้นนอกจวนเพียงไม่กี่ก้าว ครั้นเมื่อไปถึงที่ เรือนรับรอง สวี่จิ้นไฉที่กำลังยกชาขึ้นจิบอย่างสบายอารมณ์ ก็พลันวางแก้วลงแล้วลุกขึ้นยืนต้อนรับผายมือเชื้อเชิญให้ทุกคนนั่งลงบนเก้าอี้พนักไม้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเป็นมิตร "เฟิ่งเจี๋ย...เจ้าเดินทางมาท่ามกลางอากาศร้อน คงเหน็ดเหนื่อยและหิวโหยไม่น้อย ข้าเลยสั่งการให้บ่าวใช้เตรียมน้ำชาดอกกุ้ยฮวาและขนมเปี๊ยะหอมมาต้อนรับเจ้า" สวี่จิ้นไฉเอ่ยจบ บ่าวสาวสองสามนางก็เดินถือถ้วยน้ำชาและขนมหวานมาวางที่โต๊ะเตี้ยเบื้องหน้าเฟิ่งเจี๋ยอย่างรู้งาน มี่อิงที่เห็นเช่นนั้น อดคิดไม่ได้ว่าพวกเขากำลังเอาใจเพื่อหวังอะไรบางอย่างจากคุณชายโจวเป็นแน่ ตั้งแต่เห็นครั้งแรกที่จวนสกุลโจว สีหน้าท่าทางของสองสามีภรรยาคู่นี้แสดงออกถึงความไม่จริงใจและมักจะด้อยค่าผู้อื่นที่ต่ำต้อยกว่าอยู่เสมอ หากไม่มีผลประโยชน์ก็คงยากนักที่จะดีด้วย "ขอบคุณท่านอา แต่ข้าไม่หิวเท่าไหร่" เฟิ่งเจี๋ยปฏิเสธสีหน้าราบเรียบ ท่าทีของเฟิ่งเจี๋ยทำให้สวี่จิ้นไฉมีสีหน้ากระอักกระอ่วน หว่างคิ้วยับย่นเข้าหากันเป็นเส้นหยัก "งะ งั้นหรือ...เช่นนั้นเราไปดูสินค้าในเรือนเก็บของกันเลยดีหรือไม่" "ท่านอาอย่าได้รอช้า" เอ่ยจบ เฟิ่งเจี๋ยก็ลุกขึ้นยืน มี่อิงจึงรีบเข้าไปจับประคองเขาทันที "โย่วหลิง" สวี่จิ้นไฉตะโกนเรียกบ่าวสาวนางหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูให้เดินมาหาและเอ่ยสั่งการ "เจ้าจะต้องเป็นผู้ดูแลและพาคุณชายโจวตามเข้าไปที่เรือนซวี่หลงกับข้า" มี่อิงเบิกตากว้างตกใจ ไม่ทันไร...บ่าวสาวผู้นั้นก็เดินมายืนเคียงข้างคุณชายโจวอีกฝั่งหนึ่งและใช้มือจับไปที่แขนของเขาเรียบร้อยแล้ว "ข้าไม่ให้ผู้ใดแตะต้องตัวข้านอกจากบ่าวรับใช้ของข้า" เสียงเคร่งขรึมเย็นชาของเฟิ่งเจี๋ยทำเอาบ่าวสาวผละมือปล่อยออกจากแขนเขาด้วยความตกใจกลัว "นางแค่พาเจ้าเข้าไปที่เรือนแทนบ่าวของเจ้าเท่านั้น" สวี่จิ้นไฉกล่าว "ท่านอาจะกลัวอะไรกับสตรีบอบบางผู้นี้ นางเป็นบ่าวรับใช้ประจำตัวของข้า หากไม่ใช่นาง...ข้าก็ไม่ไว้ใจผู้ใดทั้งสิ้น" เฟิ่งเจี๋ยยังคงยืนกรานเสียงแข็ง บรรยากาศชวนกระอักกระอ่วน สวี่จิ้นไฉที่ถูกขัดใจ ถลึงตามองเฟิ่งเจี๋ยด้วยความขุ่นเคือง ฮูหยินสวี่เห็นท่าทางไม่ดีจึงเอ่ยขัดเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ "ข้าว่าท่านพี่พาเฟิ่งเจี๋ยเข้าไปดูสินค้าที่เรือนเถิด" สิ้นเสียงเอ่ย สวี่จิ้นไฉก็จนใจ จำยอมหันกายเดินนำทั้งเฟิ่งเจี๋ยและมี่อิงออกไปจากเรือนรับรองมุ่งหน้าไปยังทิศตะวันตก เขาพาทั้งสองมาหยุดที่เรือนไม้ประดู่หลังหนึ่งที่มีสภาพเก่าและทรุดโทรม บานประตูเรือนหลังนี้ผนึกด้วยไม้ ตอกด้วยตะปูหลายชั้น บ่าวชายร่างใหญ่ที่เฝ้ายามอยู่หน้าเรือน ใช้ค้อนเลาะตะปูออกจนหมด ก่อนที่จะใช้มือผลักประตูดันเข้าไปด้านใน ครั้นเมื่อประตูเปิดออก ภาพที่ฉายเข้าสู่ม่านตาอย่างแรกคือภาพของหีบหลายใบวางเรียงรายซ้อนกันอยู่จนแน่นขนัดห้อง สวี่จิ้นไฉสั่งการให้บ่าวชายร่างใหญ่ เปิดฝาหีบออกบางส่วน ภายในหีบแต่ละใบมีเครื่องเคลือบชั้นสูง เครื่องแพรพรรณและเครื่องประดับระยิบระยับมากมาย ล้วนแล้วแต่เป็นของหายากและมีราคาสูงทั้งสิ้น "เจ้าเห็นอะไร...บอกนายของเจ้าไปสิ" สวี่จิ้นไฉหันไปเอ่ยกับมี่อิง นางพยักหน้าก่อนจะเอ่ยตามที่เห็น "ในห้องนี้มีหีบหลายใบตั้งวางเรียงราย ภายในหีบมีเครื่องเคลือบ เสื้อผ้าอาภรณ์และเครื่องประดับ ดูแล้วมีราคาสูงหาได้ยากเจ้าค่ะ" "ราคาสูง..." เฟิ่งเจี๋ยกล่าวย้ำ สีหน้าเคลือบแคลงเล็กน้อย สวี่จิ้นไฉหลุบตายิ้มกรุ้มกริ่มเจ้าเล่ห์ "ใช่! ของพวกนี้เป็นสินค้าราคาสูง หาได้ยากในปฐพีต้าหมิง นั่นก็หมายความว่ากำไรที่เราจะได้จากพ่อค้ามองโกลย่อมสูงเช่นเดียวกัน การที่ข้าพาเจ้ามาที่นี่ ทั้ง ๆ ที่เจ้ามองไม่เห็นเพราะเราร่วมลงเรือลำเดียวกันแล้ว อะไรที่เกี่ยวข้องกับการค้าขาย ข้าก็ไม่ควรปิดบังเจ้า" "ขอบคุณที่เปิดเผยอย่างจริงใจต่อข้า" "เจ้าลองสัมผัสของพวกนี้ดูก็ได้ จะได้รู้ว่าสินค้าที่ข้าครอบครองนั้นดีมากเพียงใด เผลอ ๆ เจ้าอาจจะไม่เคยสัมผัสในชีวิตเลยก็เป็นได้" เฟิ่งเจี๋ยผงกศีรษะ หลังจากนั้น มี่อิงก็หยิบโถเคลือบแวววาวใบหนึ่งขึ้นมาจากหีบ ส่งยื่นและยัดมันลงในมือของคุณชายโจวอย่างระมัดระวัง มือหนาของเฟิ่งเจี๋ยลูบสัมผัสโถเคลือบใบนั้นจนทั่ว ก่อนที่จะเอ่ยตำหนิเสียงทุ้ม "นี่ดีแล้วหรอกหรือ..." สิ้นเสียง สวี่จิ้นไฉพลันหันขวับ กัดฟันเอ่ยด้วยโทสะ "เจ้าหมายความว่าอย่างไร!!!" "อะไรกัน ข้าพูดตรง ๆ ท่านอาก็ไม่พอใจกับคำพูดข้าแล้วงั้นหรือ…" เฟิ่งเจี๋ยยิ้มกระหยิ่มพลางเอ่ยยั่วยุ สวี่จิ้นไฉโกรธจนใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ เขากำมือที่สั่นเทาแน่น พยายามข่มสติให้นิ่ง เพราะฮูหยินสวี่ไม่ได้อยู่ตรงนั้น ในหัวเขาจึงมีแต่คำว่า 'ไม่โกรธ' ดังก้องซ้ำ ๆ หลายพันครั้ง มี่อิงชำเลืองตามองคุณชายโจวกับสวี่จิ้นไฉปะทะคารมกันเหมือนกำลังดูฉากต่อสู้ฉากหนึ่งในโรงละครอยู่ไม่มีผิด หากนายท่านสวี่เป็นเพลิงไฟที่เร่าร้อน คุณชายโจวก็เปรียบเหมือนดั่งสายน้ำที่เย็นเยียบเฉียบแหลม และไม่ว่าไฟจะเดือดดาลเพียงใด น้ำปะทะไฟ ไฟย่อมแพ้อยู่ดี "สัจจะที่ซื่อตรงและจริงใจ อาจไม่ถูกหูท่าน แต่มันก็เป็นคุณสมบัติหนึ่งที่พ่อค้าอย่างเราพึงมี หากแค่นี้ท่านอาไม่พอใจ ข้าคงร่วมค้าขายกับท่านอีกไม่ได้" เฟิ่งเจี๋ยเอ่ยจบก็ทำทีจะเดินออกไป สวี่จิ้นไฉร้อนรนใจจึงรีบตะโกนเสียงยั้งเอาไว้ก่อน "ดะ เดี๋ยว! เฟิ่งเจี๋ย...เจ้าเข้าใจผิดแล้ว เส้นเสียงข้ามีปัญหาเจ้าถึงได้ฟังแล้วไม่รื่นหู จริง ๆ ข้ายิ้มแย้มพูด ไม่เชื่อก็ลองถามบ่าวของเจ้าดู" หลังจากนั้นมี่อิงก็พบว่ากำลังมีสายตาดุดันคู่หนึ่งของสวี่จิ้นไฉกำลังจับจ้องมาที่นางอยู่ "จริงหรือ...มี่อิง" เฟิ่งเจี๋ยเอ่ยถาม นางหลุบตาลง ไม่เอ่ยตอบคำใด สวี่จิ้นไฉจึงขึงตาใส่ พยายามข่มขู่นางทางสายตา "ที่ข้าถามเพราะข้าสงสัย ข้าอยากให้กิจการของเราสองสกุลรุ่งเรืองไปด้วยทรัพย์สินและเงินทอง ของยิ่งดี เงินก็ยิ่งได้มาก ของยิ่งเยอะ เงินก็ยิ่งทวีคูณหลายหมื่นเท่า" ได้ยินเช่นนั้น โทสะในใจของสวี่จิ้นไฉก็ลดลงไปกึ่งหนึ่ง "เจ้าคิดเช่นนั้นหรือ...แต่ที่ข้ามีของอยู่ตอนนี้ มีราคาสูงและจำนวนไม่น้อย" "จำนวนไม่น้อยจริงหรือมี่อิง" เฟิ่งเจี๋ยถามความเห็นนางอีกเป็นครั้งที่สอง มี่อิงกวาดสายตามองรอบ ๆ ห้องอีกครั้ง หากคุณชายโจวเปรยมาเช่นนั้น นั่นก็หมายความว่าคุณชายไม่ต้องการความจริง แต่ทว่าต้องการคำพูดสนับสนุนเขาต่างหาก "ในสายตาของบ่าวแล้ว ยังไม่เยอะเท่าความปรารถนาของคุณชายโจวเจ้าค่ะ" "ไม่เยอะหรือ ตาเจ้าบอดหรืออย่างไร!" สวี่จิ้นไฉหันไปตวาดนางเสียงลั่น "นางไม่ได้ตาบอด ข้าต่างหากที่ตาบอด หากท่านอาคิดว่าเพียงพอแล้ว ข้าก็ว่าตามนั้น" สวี่จิ้นไฉชะงักงันนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่ความโลภที่ฝังรากลึกในจิตใจจะถูกกระตุ้นจากคำพูดก่อนหน้าของเฟิ่งเจี๋ย จนทำให้เขาคิดการอะไรได้บางอย่าง "แต่หากเจ้าต้องการอยากได้ของเพิ่มละก็...ข้าก็จะหามาให้ แต่เจ้าต้องทำให้ข้าเชื่อใจเสียก่อน" เฟิ่งเจี๋ยรู้ทันทีว่าคำพูดนั้นหมายความว่าอย่างไร จึงเอ่ยเสียงเฉียบ "ท่านอาอย่ามากความนัก ให้ข้าจ่ายเท่าไหร่ ท่านอาส่งคนไปรับตั๋วเงินที่จวนข้าได้เลย" สวี่จิ้นไฉหัวเราะออกมาด้วยความพอใจ โง่...โง่เหมือนบิดามารดาเจ้าจริง ๆ "เช่นนั้นข้าจะรีบหาของมาเพิ่ม เรือรอบที่แล้วเพิ่งแล่นมารับสินค้า อีกสามวันข้างหน้าเรือจะวนมาอีกรอบ ยามนั้นข้าจะพาเจ้าไปที่เรือเพื่อไปเจรจากับพ่อค้ามองโกล" "ดี! ข้าอดใจรอไม่ไหวแล้ว"   บนรถม้าโดยสาร "เหตุใดคุณชายถึงยอมจ่ายตั๋วเงินออกไปก่อนละเจ้าคะ ดูจากแววตา ท่าทางของนายท่านสวี่แล้ว ไม่มีส่วนไหนที่จะไว้ใจได้เลยแม้แต่น้อย" มี่อิงเอ่ยถามขึ้น ในขณะที่รถม้ากำลังรี่วิ่งไปตามทาง เพราะความคับข้องใจ จึงรวบรวมความกล้าเอ่ยมันออกมา "เจ้าเป็นห่วงข้าหรอกหรือ" เฟิ่งเจี๋ยยิ้มแย้มเอ่ย ได้ยินเช่นนั้น หน้านางก็แดงก่ำทันใด "บะ บ่าวก็แค่สงสัยเจ้าค่ะ" “เล่นหมากรุกอย่าเอาแต่บุกอย่างเดียว เจ้าต้องถอยให้เป็น ทำให้อีกฝ่ายตายใจจนหลงระเริง แล้วค่อยรวบช่วงชิงปราชัยทีเดียว" คำพูดของเฟิ่งเจี๋ยทำให้มี่อิงฉุกคิดและกระจ่างแจ้งในเวลาต่อมา อย่างนี้นี่เอง...คุณชายคงวางแผนมารอบคอบแล้วอย่างนั้นสินะ ทันใดนั้นเอง! จู่ ๆ เด็กน้อยอายุเพียงขวบเศษก็วิ่งตัดหน้ารถไป ทำให้รถม้าลดความเร็วลงกะทันหัน ล้อรถจึงหยุดชะงัก แรงเฉื่อยทำให้ร่างบอบบางของหญิงสาวหงายไปข้างหลังเล็กน้อยและพุ่งถลาไปข้างหน้าในเวลาต่อมา "อ๊ะ!!!!!!" มี่อิงส่งเสียงร้องตกใจ เพียงชั่วพริบตาเดียว ร่างผอมบางก็โผโถมเข้ากอดคุณชายโจวที่นั่งตรงข้ามแล้วทั้งตัว เฟิ่งเจี๋ยที่นอนเอนหลังบนตั่งนุ่มพลันเบิกตากว้างโต ยกมือขึ้นโอบเอวแบบบางรับนางโดยสัญชาตญาณ ยามนี้ร่างกายของทั้งสองแนบชิดติดกันมาก นางฟุบหน้า มือทั้งสองข้างกำแน่นวางบนแผงอกกำยำ สัมผัสถึงหัวใจเขาที่เต้นแรงและรัวอย่างชัดเจน นางก็ไม่ต่างกัน… กลิ่นกายเป็นเอกลักษณ์ชวนน่าหลงใหลของเขาวนเวียนที่ปลายจมูกทำให้นางสั่นระริกและแข็งทื่อไปทั้งตัว "อยากอยู่บนกายข้าก็ไม่บอก" เฟิ่งเจี๋ยคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์เอ่ยหยอกเย้า เพราะคำพูดของเฟิ่งเจี๋ย นางจึงได้สติ พยายามดันตัวเองดิ้นรนออกจากกายของเขา ทว่าคุณชายโจวกลับโอบกระชับแน่นขึ้นกว่าเดิม "ข้าไม่ปล่อยเจ้าไปง่าย ๆ หรอก.." เฟิ่งเจี๋ยโอบกอดร่างเล็กนุ่มนิ่มดิ้นไปมาอย่างสุขใจ กอบโกยช่วงเวลานี้ให้นานที่สุด  นานแล้วที่ไม่ได้ใจเต้นรัวแรงเช่นนี้ แต่กับนาง...ร่างกายเขากลับตอบสนองอย่างควบคุมไม่ได้ "คุณชายปล่อยบ่าวเถิดนะเจ้าคะ" พวงแก้มของมี่อิงทั้งแดงเรื่อ ทั้งร้อนผ่าว อับอายจนไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าคุณชายโจวเลยแม้แต่น้อย "คุณชายเป็นอะไรหรือเปล่าขอรับ" เสียงร้อนรนดังขึ้น ก่อนที่คนขับรถม้าจะเลิกม่านรถถาม แต่ทันทีที่เขาเห็นทั้งสองกำลังนอนเกาะร่างกันอยู่ มือไม้เขาก็สั่น จนม่านไม้ไผ่ตกลงปิดทันที "ขะ ข้าน้อยออกรถต่อแล้วขอรับ" คนขับตะโกนเสียงเข้าไปในห้องโดยสารรถม้า ก่อนที่จะกระตุกบังเ**ยนเคลื่อนรถไปต่อ เมื่อได้จังหวะ มี่อิงก็ตะเกียกตะกายลงจากกายของเขา ลงมานั่งตำแหน่งเดิมของนางอย่างทุลักทุเล เฟิ่งเจี๋ยกระแอมเสียงแก้อาการเคอะเขิน ลอบเสียดายในใจ หากคนขับรถม้าไม่เลิกม่านถาม ข้าคงโอบกอดนางได้นานกว่านี้  
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD