ตอนที่ 30 : การปรากฏตัวนักแสดงสมบทบาท

1952 Words
  วันเวลาเคลื่อนคล้อยไปอย่างรวดเร็วจนมาถึงการนัดหมายครั้งที่สอง รถม้าชะงักจอดที่ท่าเรือลุ่มแม่น้ำฮวงโห มี่อิงก้มศีรษะมุดตัวออกมาจากห้องโดยสาร ก่อนจะยื่นมือเข้าไปจับประคับประคองคุณชายโจวลงมาจากรถอย่างอ่อนโยน ทั้งสองยืนหันหน้าเข้าหาแม่น้ำพอดี สายลมเอื่อยเฉื่อย แสงอาทิตย์อ่อน ๆ สะท้อนผิวน้ำบนแม่น้ำฮวงโหเกิดเป็นเงาสีขาวเปล่งประกายระยิบระยับ มี่อิงทอดสายตามองคลื่นน้ำเคลื่อนไหวเป็นระลอกดุจต้องมนตรา ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่า นางมาที่นี่กับคุณชายโจวเพื่อเจรจาค้าขาย จึงรีบหันไปเอ่ย "คุณชายแน่ใจหรือเจ้าคะ ว่านายท่านสวี่นัดพบที่แห่งนี้ ตั้งแต่มาถึงที่นี่...บ่าวยังไม่พบเห็นผู้ใดเลยเจ้าค่ะ" ขณะเอ่ย ดวงหน้าเล็กของนางก็ยังคงเลื่อนไปมา กวาดสายตามองสิ่งรอบตัวไม่หยุด ที่แห่งนี้เงียบเชียบเหลือเกิน บ้านเรือนที่ตั้งเรียงรายเข้าใกล้ท่าเรือก็เหมือนกับเป็นบ้านร้างอย่างไรอย่างนั้น หากมาตอนกลางคืนคงได้ขนลุกขนพองเป็นแน่ เฟิ่งเจี๋ยกระพริบตาเนิบช้า เพ่งมองสายน้ำงดงามแล้วสูดลมหายใจลึก "เจ้าคิดว่าข้าหลอกลวงเจ้างั้นหรือ" "เปล่านะเจ้าคะคุณชาย" มี่อิงเบิกตา สองมือโบกไปมาพลางพูดอย่างร้อนใจ "บ่าวแค่กังวลว่าคุณชายจะโดนหลอกต่างหาก เราจะได้หาวิธีจัดการได้ทันท่วงทียังไงล่ะเจ้าคะ" เฟิ่งเจี๋ยยกยิ้มอ่อนละมุน พลางเอ่ยหยอกเย้า "เดี๋ยวนี้เจ้าทำตัวเป็นองครักษ์ส่วนตัวของข้าแล้วงั้นหรือ" "มะ ไม่ใช่นะเจ้าคะ บ่าวไม่อาจล่วงเกินคุณชายได้...อีกอย่าง บ่าวไม่อยากไปแย่งงานซือจงด้วย" นางยื่นปากเอ่ยด้วยสีหน้าสลด เฟิ่งเจี๋ยหัวเราะเสียงก้องใสกังวาน เต็มไปด้วยความเบิกบานใจ เขาอยากจะใช้มือลูบหัวนางและเอ่ยปลอบประโลม ทว่าทำได้เพียงยืนนิ่ง ๆ เป็นหุ่นไล่กาอยู่อย่างนั้น "สวี่จิ้นไฉอีกเดี๋ยวก็คงมา...แต่เรือน่ะ! คงไม่โผล่มาให้เจ้าเห็นในยามนี้หรอก" เฟิ่งเจี๋ยเอ่ยอธิบายเสียงเรียบ มี่อิงกลอกตาไปมา เอ่ยถามอย่างอดสงสัยไม่ได้ "เพราะเหตุใดกันเจ้าคะ" "การลักลอบค้าขายทางทะเลถือว่าผิดกฎหมาย เรือสำเภาที่อนุญาตให้เข้ามาแล่นจอดที่แคว้นต้าหมิงล้วนแล้วแต่มีจุดประสงค์เพื่อส่งเครื่องบรรณาการให้ฝ่าบาทเท่านั้น" "อย่างนั้นก็หมายความว่า คุณชายกำลังลักลอบค้าขายกับนายท่านสวี่เพื่อสืบเรื่องการตายของนายท่านกับฮูหยินโจวหรือเจ้าคะ" "ใช่!" เฟิ่งเจี๋ยยิ้มพูด "น่าตื่นเต้นดีหรือไม่เล่า" มี่อิงเม้มปากแน่นสนิท ดวงตาอำพันทอประกายวูบ ถึงแม้จะเห็นท่าทางและรอยยิ้มของคุณชายโจวที่ผ่อนคลายเช่นนั้น แต่ทว่าในใจนางก็ยังอดห่วงไม่ได้อยู่ดี….   "ใช่คุณชายโจวหรือไม่ขอรับ" เสียงทุ้มสุขุมดังขึ้นจากทางด้านหลัง มี่อิงและคุณชายโจวหันกายมอง เห็นบุรุษผู้หนึ่ง สวมชุดคลุมสีเทาเข้ม มุ่นผมเก็บรวบทั้งศีรษะแบบบุรุษเพศผูกด้วยผ้าสีเดียวกันกับชุด บุรุษผู้นี้มีรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าเกลี้ยงเกลาคมคาย ครั้นเมื่อได้เห็นทุกส่วนบนใบหน้าเต็มตา มี่อิงก็เพ่งตามองเขาครั้งแล้วครั้งเล่า นางรู้สึกคุ้นชินกับชายผู้นี้อย่างบอกไม่ถูก แต่ทว่าพยายามนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก ชายหนุ่มผู้นั้นก็เช่นเดียวกัน ทันทีที่เขาเห็นหน้าของนาง ดวงตาสีดำสนิทพลันเบิกกว้างและจ้องมองนางอย่างตะลึงงันไปครู่หนึ่ง เฟิ่งเจี๋ยที่ยืนอยู่ตรงนั้น เคลื่อนรูม่านตาดำมองทั้งสองอย่างไม่ชอบพอนัก สัญชาตญาณของบุรุษย่อมตระหนักรู้ว่า ยามเมื่อสตรีและบุรุษได้สบตากัน อาจนำพามาซึ่งความสัมพันธ์ฉันรักใคร่ในเวลาต่อมาก็เป็นได้ กับเขาที่ไม่อาจจ้องมองเข้าไปในดวงตาของนางได้ตรง ๆ ย่อมรู้สึกเสียเปรียบอย่างบอกไม่ถูก "ใช่! ข้าเอง" เฟิ่งเจี๋ยโพล่งเอ่ยขึ้น ขัดภวังค์ของทั้งสอง สถานการณ์จึงถูกดึงเข้าสู่ที่เดิม ชายหนุ่มกะพริบตากระชั้นถี่ เปลี่ยนจากสีหน้าเลื่อนลอยเป็นยิ้มแย้มทันที “คุณชายโจว...ตามข้าน้อยมาเลยขอรับ” เอ่ยจบ เขาก็ก้าวเท้ายาว ๆ เดินนำทั้งสองคนลัดเลาะไปตามทางที่มีต้นไม้ใบหญ้าชุกชุม จนกระทั่งมาถึงด้านหน้ากระท่อมร้างหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ในตรอกลึก ไม่ห่างไกลจากท่าเรือฮวงโหนัก ชายหนุ่มผู้นั้นดึงประตูไม้ไผ่เปิดออก ไม่รีรอที่จะเดินเข้าไปด้านใน มี่อิงเห็นเช่นนั้นจึงพยุงกายคุณชายโจวเดินตามเข้าไป ครั้นเมื่อประตูเปิดออก สิ่งแรกที่ปรากฏเข้าสู่สายตาคือ กระท่อมไม้ไผ่หลังเก่าทรุดโทรม มีโต๊ะไม้สูงที่ฝุ่นหนาเขรอะเกาะกุมและเก้าอี้ไม้เพียงสามตัวตั้งอยู่ สวี่จิ้นไฉนั่งรออยู่บนเก้าอี้หนึ่งในนั้น กระท่อมไม้ไผ่อับแสงเป็นสถานที่นัดพบสำหรับเจรจาค้าขายของขุนนางชั้นสูงจริง ๆ อย่างนั้นหรือ? คำถามชวนน่าสงสัยตั้งขึ้นในใจ แต่พอทบทวนดูอีกทีก็ไม่รู้สึกแปลกประหลาดอันใด เพราะพวกเขาลักลอบค้าขายกัน หาใช่ทำการค้าขายทั่วไปอย่างสุจริตที่สามารถพูดคุยกันในที่โล่งแจ้งได้ มี่อิง...เจ้าน่ะมันขี้สงสัยเสียจริง ๆ หลังจากตีกับหัวสมองอยู่ครู่หนึ่ง นางก็ได้สติ รีบประคองตัวคุณชายโจวไปนั่งบนเก้าอี้ไม้ทันที ก่อนจะร่นถอยฝีเท้าไปทางด้านหลังและยืนหลบอยู่ที่มุมอับของกระท่อม "เฟิ่งเจี๋ย...เจ้าอยากดื่มชาหรือไม่” สวี่จิ้นไฉเชื้อเชิญตามมารยาท ขณะที่กำลังรินน้ำชาลงเติมในถ้วยที่พร่องไปแล้วครึ่งหนึ่ง เฟิ่งเจี๋ยตอบกลับเสียงราบเรียบ “ท่านอาเข้าประเด็นเถิด ข้าไม่กระหายเท่าไหร่” สวี่จิ้นไฉกระตุกหนวดยิ้ม ก่อนจะหันหน้าไปสั่งการกับบ่าวรับใช้คนสนิท "อาเล่อ! เจ้าจงพาตัวลาซูเข้ามาในกระท่อม” “ขอรับนายท่าน” ชายหนุ่มรับคำเสียงหนักแน่น หลังจากที่อาเล่อออกไปครู่หนึ่ง เขาก็กลับมาพร้อมกับชายหนุ่มร่างใหญ่กำยำ สวมชุดคอกลมแขนแคบสีน้ำตาลเข้มธรรมดาทั่วไปของบุรุษชาวเมือง ทว่าใบหน้าที่เป็นเอกลักษณ์ของเขาโดดเด่นเหนือทุกสิ่ง ถึงแม้จะพยายามบดบังและอำพรางกายอย่างไร เขาก็ยังดูแตกต่างและไม่เหมือนชาวเมืองแคว้นต้าหมิงเลยแม้แต่น้อย "เจ้าเป็นใคร! อาเล่อ!! เจ้าพาผู้ใดเข้ามา" สวี่จิ้นไฉส่งเสียงโวยวายขึ้นทันที เมื่อเห็นว่าชายคนที่อาเล่อพาเข้ามา ไม่ใช่ 'ลาซู' พ่อค้าคนเดิมที่เขาร่วมค้าขายด้วย อาเล่อรีบอธิบาย “ชายผู้นี้มีนามว่า ลาหู่ เป็นเครือญาติกับลาซู ยามนี้ลาซูป่วยหนักลาหู่จึงมาทำหน้าที่แทนขอรับ” คำพูดของอาเล่อไม่ได้ลดความเคลือบแคลงใจของสวี่จิ้นไฉเลยแม้แต่น้อย เขาหรี่ตามองชายที่ยืนตรงหน้าไม่หยุดหย่อน ดวงตาแข็งกร้าวดุจเพลิงไฟฉายแววไม่ไว้ใจเต็มไปหมด “หากไม่ใช่ลาซู ข้าก็ไม่ร่วมค้าขายด้วย” สวี่จิ้นไฉเอ่ยเสียงหนักแน่นเด็ดขาด “ไม่ร่วมค้าขาย...ท่านอาถามความเห็นข้าแล้วหรือ” เฟิ่งเจี๋ยย้อนถามด้วยสีหน้าราบเรียบ “ท่านอาคงลืมไปแล้ว...ว่าข้าก็เป็นส่วนหนึ่งของกิจการท่าน” สิ้นสุดคำพูด สีหน้าอึมครึมของสวี่จิ้นไฉก็คลายลงและหันไปเอ่ย "ข้ารู้...แต่เจ้าจะเชื่อใจได้อย่างไร หากชายผู้นั้นแอบแฝงเข้ามา เจ้าจะทำอย่างไร” มุมปากของเฟิ่งเจี๋ยหยักโค้งยกขึ้นเล็กน้อย “นี่ท่านอาไม่ได้มีคนในราชสำนักหนุนหลังหรอกหรือ หากชายผู้นี้แอบแฝงมาก็ให้ขุนนางผู้นั้นฆ่าปิดปากเสีย ไม่เห็นจะยากอะไร” เพราะคำพูดของเฟิ่งเจี๋ยไปกระแทกจิตใจเข้า สวี่จิ้นไฉจึงเสียอาการไปชั่วขณะ "เจ้าพูดอะไรของเจ้า" สวี่จิ้นไฉกดเสียงต่ำถาม ก่อนจะคว้าถ้วยน้ำชากระดกดื่มหมดในรวดเดียว แก้อาการลนลานที่เผยออกมาผ่านน้ำเสียงสั่นเครือไม่มั่นคง "ไม่มีขุนนางที่ไหนทั้งสิ้น มีแต่ข้ากับเจ้าเท่านั้น" เฟิ่งเจี๋ยพยักหน้าพลางยิ้มพูด “เอาล่ะ ๆ ข้ายอมเชื่อท่านอาแล้วก็ได้" “หากพวกท่านไม่เชื่อ ข้าก็จะถอนเรือกลับไปยังแคว้นของข้า” คำพูดเด็ดเดี่ยวและหนักแน่นโพล่งออกมาจากปากของลาหู่ ทำให้ทุกคนในกระท่อมหันมองเขาเป็นตาเดียว ลาหู่ในยามนี้กำลังสวมบทเป็นพ่อค้าชาวมองโกลที่หยิ่งผยอง ไร้ซึ่งน้ำใจและความเมตตาอย่างสมบูรณ์แบบ เขาถอดทุกอย่างมาจากลาซูเหมือนกันราวกับมีจิตวิญญาณดวงเดียวกัน เครื่องหน้าที่เป็นชาวมองโกลขนานแท้ไร้ข้อกังขาใด รูปลักษณ์สูงใหญ่กำยำ สีหน้า ท่าทาง หรือแม้แต่ถ้อยคำ ล้วนคล้ายคลึงกับลาซูทั้งสิ้น สวี่จิ้นไฉนิ่งอึ้งไปชั่วอึดใจ ก่อนจะยื่นนิ้วชี้หน้าลาหู่ตวาดลั่น “เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร! เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาต่อรองกับข้า” “เหตุใดข้าจะต่อรองกับท่านไม่ได้ ในเมื่อข้าบอกท่านไปแล้วว่าข้ามาแทนพี่ลาซู แต่เมื่อท่านไม่เชื่อ ข้าก็จนใจ ออกไปค้าขายที่แคว้นข้าง ๆ ยังดีเสียกว่ามาเสียเวลากับท่าน” “นี่เจ้า!!!” สวี่จิ้นไฉกำหมัดทุบไปบนโต๊ะอย่างแรงด้วยความโทสะ เขาเหลือบตามองเห็นมี่อิงสะดุ้งตกใจ จึงคิดขึ้นได้ว่านางไม่สมควรมายืนรับรู้เรื่องราวอยู่ตรงนี้ จึงสั่งการให้อาเล่อพานางออกไปยืนรอด้านนอกเสีย อาเล่อรับคำอย่างนอบน้อมและพาตัวมี่อิงเดินออกไป แต่เมื่อจะก้าวขาเดิน หัวสมองของนางพลันสั่งการให้ขาทั้งสองข้างหยุดชะงัก นางเป็นบ่าวรับใช้ของคุณชายโจวต่างหาก หาใช่นายท่านสวี่ เมื่อคิดได้เช่นนั้น นางจึงเดินเข้าไปกระซิบคุณชายโจวข้าง ๆ หู เสียก่อนจะออกไปว่า “บ่าวจะรอคุณชายด้านนอกนะเจ้าคะ” เฟิ่งเจี๋ยนั่งนิ่งพลางครุ่นคิดในภวังค์ พอคิดว่านางจะออกไปยืนกับชายหนุ่มสองต่อสอง ในใจก็รู้สึกร้อนรนอย่างบอกไม่ถูก สายตาที่อาเล่อมองมายังมี่อิงก่อนหน้านั้นทำให้เขารำคาญใจและคาดเดาส่งเดช หากมีโอกาสอยู่ด้วยกันสองต่อสองละก็...เขาอาจจะฉวยจังหวะนี้สานสัมพันธ์กับนางก็เป็นได้ สิ้นสุดความคิด มือหนาของเฟิ่งเจี๋ยก็คว้าหมับมือเล็กของมี่อิงเอาไว้แน่น ท่าทางของเขาในยามนี้ เหมือนกับเด็กน้อยกำลังอ้อนวอนร้องขอให้พี่สาวคุ้มครองอยู่ไม่มีผิด มี่อิงขมวดคิ้ว ชำเลืองมองเฟิ่งเจี๋ยด้วยความไม่เข้าใจ “คุณชาย...จะให้บ่าวอยู่ด้วยหรือเจ้าคะ” เมื่อรู้ว่าตนจะต้องจัดการกับชายเบื้องหน้าอย่างสวี่จิ้นไฉ เฟิ่งเจี๋ยจึงยอมให้นางออกไป พลางเอ่ยกระซิบกลับข้างหูนาง “เจ้าออกไประวังตัวให้ดี อยู่ห่าง ๆ ชายผู้นั้นเข้าไว้” "เจ้าค่ะ" มี่อิงเอ่ยตอบรับเสียงแผ่ว ทั้ง ๆ ที่รู้สึกงุนงงเล็กน้อย ก่อนจะเดินตามอาเล่อออกไปจากกระท่อมตามคำสั่งการ  

Read on the App

Download by scanning the QR code to get countless free stories and daily updated books

Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD