วันเวลาเคลื่อนคล้อยไปอย่างรวดเร็วจนมาถึงการนัดหมายครั้งที่สอง
รถม้าชะงักจอดที่ท่าเรือลุ่มแม่น้ำฮวงโห มี่อิงก้มศีรษะมุดตัวออกมาจากห้องโดยสาร ก่อนจะยื่นมือเข้าไปจับประคับประคองคุณชายโจวลงมาจากรถอย่างอ่อนโยน
ทั้งสองยืนหันหน้าเข้าหาแม่น้ำพอดี
สายลมเอื่อยเฉื่อย แสงอาทิตย์อ่อน ๆ สะท้อนผิวน้ำบนแม่น้ำฮวงโหเกิดเป็นเงาสีขาวเปล่งประกายระยิบระยับ มี่อิงทอดสายตามองคลื่นน้ำเคลื่อนไหวเป็นระลอกดุจต้องมนตรา ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่า นางมาที่นี่กับคุณชายโจวเพื่อเจรจาค้าขาย จึงรีบหันไปเอ่ย "คุณชายแน่ใจหรือเจ้าคะ ว่านายท่านสวี่นัดพบที่แห่งนี้ ตั้งแต่มาถึงที่นี่...บ่าวยังไม่พบเห็นผู้ใดเลยเจ้าค่ะ"
ขณะเอ่ย ดวงหน้าเล็กของนางก็ยังคงเลื่อนไปมา กวาดสายตามองสิ่งรอบตัวไม่หยุด ที่แห่งนี้เงียบเชียบเหลือเกิน บ้านเรือนที่ตั้งเรียงรายเข้าใกล้ท่าเรือก็เหมือนกับเป็นบ้านร้างอย่างไรอย่างนั้น หากมาตอนกลางคืนคงได้ขนลุกขนพองเป็นแน่
เฟิ่งเจี๋ยกระพริบตาเนิบช้า เพ่งมองสายน้ำงดงามแล้วสูดลมหายใจลึก "เจ้าคิดว่าข้าหลอกลวงเจ้างั้นหรือ"
"เปล่านะเจ้าคะคุณชาย" มี่อิงเบิกตา สองมือโบกไปมาพลางพูดอย่างร้อนใจ "บ่าวแค่กังวลว่าคุณชายจะโดนหลอกต่างหาก เราจะได้หาวิธีจัดการได้ทันท่วงทียังไงล่ะเจ้าคะ"
เฟิ่งเจี๋ยยกยิ้มอ่อนละมุน พลางเอ่ยหยอกเย้า "เดี๋ยวนี้เจ้าทำตัวเป็นองครักษ์ส่วนตัวของข้าแล้วงั้นหรือ"
"มะ ไม่ใช่นะเจ้าคะ บ่าวไม่อาจล่วงเกินคุณชายได้...อีกอย่าง บ่าวไม่อยากไปแย่งงานซือจงด้วย" นางยื่นปากเอ่ยด้วยสีหน้าสลด
เฟิ่งเจี๋ยหัวเราะเสียงก้องใสกังวาน เต็มไปด้วยความเบิกบานใจ เขาอยากจะใช้มือลูบหัวนางและเอ่ยปลอบประโลม ทว่าทำได้เพียงยืนนิ่ง ๆ เป็นหุ่นไล่กาอยู่อย่างนั้น
"สวี่จิ้นไฉอีกเดี๋ยวก็คงมา...แต่เรือน่ะ! คงไม่โผล่มาให้เจ้าเห็นในยามนี้หรอก" เฟิ่งเจี๋ยเอ่ยอธิบายเสียงเรียบ
มี่อิงกลอกตาไปมา เอ่ยถามอย่างอดสงสัยไม่ได้ "เพราะเหตุใดกันเจ้าคะ"
"การลักลอบค้าขายทางทะเลถือว่าผิดกฎหมาย เรือสำเภาที่อนุญาตให้เข้ามาแล่นจอดที่แคว้นต้าหมิงล้วนแล้วแต่มีจุดประสงค์เพื่อส่งเครื่องบรรณาการให้ฝ่าบาทเท่านั้น"
"อย่างนั้นก็หมายความว่า คุณชายกำลังลักลอบค้าขายกับนายท่านสวี่เพื่อสืบเรื่องการตายของนายท่านกับฮูหยินโจวหรือเจ้าคะ"
"ใช่!" เฟิ่งเจี๋ยยิ้มพูด "น่าตื่นเต้นดีหรือไม่เล่า"
มี่อิงเม้มปากแน่นสนิท ดวงตาอำพันทอประกายวูบ ถึงแม้จะเห็นท่าทางและรอยยิ้มของคุณชายโจวที่ผ่อนคลายเช่นนั้น แต่ทว่าในใจนางก็ยังอดห่วงไม่ได้อยู่ดี….
"ใช่คุณชายโจวหรือไม่ขอรับ"
เสียงทุ้มสุขุมดังขึ้นจากทางด้านหลัง มี่อิงและคุณชายโจวหันกายมอง เห็นบุรุษผู้หนึ่ง สวมชุดคลุมสีเทาเข้ม มุ่นผมเก็บรวบทั้งศีรษะแบบบุรุษเพศผูกด้วยผ้าสีเดียวกันกับชุด บุรุษผู้นี้มีรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าเกลี้ยงเกลาคมคาย
ครั้นเมื่อได้เห็นทุกส่วนบนใบหน้าเต็มตา มี่อิงก็เพ่งตามองเขาครั้งแล้วครั้งเล่า นางรู้สึกคุ้นชินกับชายผู้นี้อย่างบอกไม่ถูก แต่ทว่าพยายามนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก
ชายหนุ่มผู้นั้นก็เช่นเดียวกัน ทันทีที่เขาเห็นหน้าของนาง ดวงตาสีดำสนิทพลันเบิกกว้างและจ้องมองนางอย่างตะลึงงันไปครู่หนึ่ง
เฟิ่งเจี๋ยที่ยืนอยู่ตรงนั้น เคลื่อนรูม่านตาดำมองทั้งสองอย่างไม่ชอบพอนัก สัญชาตญาณของบุรุษย่อมตระหนักรู้ว่า ยามเมื่อสตรีและบุรุษได้สบตากัน อาจนำพามาซึ่งความสัมพันธ์ฉันรักใคร่ในเวลาต่อมาก็เป็นได้
กับเขาที่ไม่อาจจ้องมองเข้าไปในดวงตาของนางได้ตรง ๆ ย่อมรู้สึกเสียเปรียบอย่างบอกไม่ถูก
"ใช่! ข้าเอง" เฟิ่งเจี๋ยโพล่งเอ่ยขึ้น ขัดภวังค์ของทั้งสอง สถานการณ์จึงถูกดึงเข้าสู่ที่เดิม
ชายหนุ่มกะพริบตากระชั้นถี่ เปลี่ยนจากสีหน้าเลื่อนลอยเป็นยิ้มแย้มทันที “คุณชายโจว...ตามข้าน้อยมาเลยขอรับ”
เอ่ยจบ เขาก็ก้าวเท้ายาว ๆ เดินนำทั้งสองคนลัดเลาะไปตามทางที่มีต้นไม้ใบหญ้าชุกชุม จนกระทั่งมาถึงด้านหน้ากระท่อมร้างหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ในตรอกลึก ไม่ห่างไกลจากท่าเรือฮวงโหนัก
ชายหนุ่มผู้นั้นดึงประตูไม้ไผ่เปิดออก ไม่รีรอที่จะเดินเข้าไปด้านใน มี่อิงเห็นเช่นนั้นจึงพยุงกายคุณชายโจวเดินตามเข้าไป
ครั้นเมื่อประตูเปิดออก สิ่งแรกที่ปรากฏเข้าสู่สายตาคือ กระท่อมไม้ไผ่หลังเก่าทรุดโทรม มีโต๊ะไม้สูงที่ฝุ่นหนาเขรอะเกาะกุมและเก้าอี้ไม้เพียงสามตัวตั้งอยู่ สวี่จิ้นไฉนั่งรออยู่บนเก้าอี้หนึ่งในนั้น
กระท่อมไม้ไผ่อับแสงเป็นสถานที่นัดพบสำหรับเจรจาค้าขายของขุนนางชั้นสูงจริง ๆ อย่างนั้นหรือ?
คำถามชวนน่าสงสัยตั้งขึ้นในใจ แต่พอทบทวนดูอีกทีก็ไม่รู้สึกแปลกประหลาดอันใด เพราะพวกเขาลักลอบค้าขายกัน หาใช่ทำการค้าขายทั่วไปอย่างสุจริตที่สามารถพูดคุยกันในที่โล่งแจ้งได้ มี่อิง...เจ้าน่ะมันขี้สงสัยเสียจริง ๆ
หลังจากตีกับหัวสมองอยู่ครู่หนึ่ง นางก็ได้สติ รีบประคองตัวคุณชายโจวไปนั่งบนเก้าอี้ไม้ทันที ก่อนจะร่นถอยฝีเท้าไปทางด้านหลังและยืนหลบอยู่ที่มุมอับของกระท่อม
"เฟิ่งเจี๋ย...เจ้าอยากดื่มชาหรือไม่” สวี่จิ้นไฉเชื้อเชิญตามมารยาท ขณะที่กำลังรินน้ำชาลงเติมในถ้วยที่พร่องไปแล้วครึ่งหนึ่ง
เฟิ่งเจี๋ยตอบกลับเสียงราบเรียบ “ท่านอาเข้าประเด็นเถิด ข้าไม่กระหายเท่าไหร่”
สวี่จิ้นไฉกระตุกหนวดยิ้ม ก่อนจะหันหน้าไปสั่งการกับบ่าวรับใช้คนสนิท "อาเล่อ! เจ้าจงพาตัวลาซูเข้ามาในกระท่อม”
“ขอรับนายท่าน” ชายหนุ่มรับคำเสียงหนักแน่น
หลังจากที่อาเล่อออกไปครู่หนึ่ง เขาก็กลับมาพร้อมกับชายหนุ่มร่างใหญ่กำยำ สวมชุดคอกลมแขนแคบสีน้ำตาลเข้มธรรมดาทั่วไปของบุรุษชาวเมือง ทว่าใบหน้าที่เป็นเอกลักษณ์ของเขาโดดเด่นเหนือทุกสิ่ง ถึงแม้จะพยายามบดบังและอำพรางกายอย่างไร เขาก็ยังดูแตกต่างและไม่เหมือนชาวเมืองแคว้นต้าหมิงเลยแม้แต่น้อย
"เจ้าเป็นใคร! อาเล่อ!! เจ้าพาผู้ใดเข้ามา" สวี่จิ้นไฉส่งเสียงโวยวายขึ้นทันที เมื่อเห็นว่าชายคนที่อาเล่อพาเข้ามา ไม่ใช่ 'ลาซู' พ่อค้าคนเดิมที่เขาร่วมค้าขายด้วย
อาเล่อรีบอธิบาย “ชายผู้นี้มีนามว่า ลาหู่ เป็นเครือญาติกับลาซู ยามนี้ลาซูป่วยหนักลาหู่จึงมาทำหน้าที่แทนขอรับ”
คำพูดของอาเล่อไม่ได้ลดความเคลือบแคลงใจของสวี่จิ้นไฉเลยแม้แต่น้อย เขาหรี่ตามองชายที่ยืนตรงหน้าไม่หยุดหย่อน ดวงตาแข็งกร้าวดุจเพลิงไฟฉายแววไม่ไว้ใจเต็มไปหมด
“หากไม่ใช่ลาซู ข้าก็ไม่ร่วมค้าขายด้วย” สวี่จิ้นไฉเอ่ยเสียงหนักแน่นเด็ดขาด
“ไม่ร่วมค้าขาย...ท่านอาถามความเห็นข้าแล้วหรือ” เฟิ่งเจี๋ยย้อนถามด้วยสีหน้าราบเรียบ “ท่านอาคงลืมไปแล้ว...ว่าข้าก็เป็นส่วนหนึ่งของกิจการท่าน”
สิ้นสุดคำพูด สีหน้าอึมครึมของสวี่จิ้นไฉก็คลายลงและหันไปเอ่ย "ข้ารู้...แต่เจ้าจะเชื่อใจได้อย่างไร หากชายผู้นั้นแอบแฝงเข้ามา เจ้าจะทำอย่างไร”
มุมปากของเฟิ่งเจี๋ยหยักโค้งยกขึ้นเล็กน้อย “นี่ท่านอาไม่ได้มีคนในราชสำนักหนุนหลังหรอกหรือ หากชายผู้นี้แอบแฝงมาก็ให้ขุนนางผู้นั้นฆ่าปิดปากเสีย ไม่เห็นจะยากอะไร”
เพราะคำพูดของเฟิ่งเจี๋ยไปกระแทกจิตใจเข้า สวี่จิ้นไฉจึงเสียอาการไปชั่วขณะ
"เจ้าพูดอะไรของเจ้า" สวี่จิ้นไฉกดเสียงต่ำถาม ก่อนจะคว้าถ้วยน้ำชากระดกดื่มหมดในรวดเดียว แก้อาการลนลานที่เผยออกมาผ่านน้ำเสียงสั่นเครือไม่มั่นคง "ไม่มีขุนนางที่ไหนทั้งสิ้น มีแต่ข้ากับเจ้าเท่านั้น"
เฟิ่งเจี๋ยพยักหน้าพลางยิ้มพูด “เอาล่ะ ๆ ข้ายอมเชื่อท่านอาแล้วก็ได้"
“หากพวกท่านไม่เชื่อ ข้าก็จะถอนเรือกลับไปยังแคว้นของข้า” คำพูดเด็ดเดี่ยวและหนักแน่นโพล่งออกมาจากปากของลาหู่ ทำให้ทุกคนในกระท่อมหันมองเขาเป็นตาเดียว
ลาหู่ในยามนี้กำลังสวมบทเป็นพ่อค้าชาวมองโกลที่หยิ่งผยอง ไร้ซึ่งน้ำใจและความเมตตาอย่างสมบูรณ์แบบ เขาถอดทุกอย่างมาจากลาซูเหมือนกันราวกับมีจิตวิญญาณดวงเดียวกัน เครื่องหน้าที่เป็นชาวมองโกลขนานแท้ไร้ข้อกังขาใด รูปลักษณ์สูงใหญ่กำยำ สีหน้า ท่าทาง หรือแม้แต่ถ้อยคำ ล้วนคล้ายคลึงกับลาซูทั้งสิ้น
สวี่จิ้นไฉนิ่งอึ้งไปชั่วอึดใจ ก่อนจะยื่นนิ้วชี้หน้าลาหู่ตวาดลั่น “เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร! เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาต่อรองกับข้า”
“เหตุใดข้าจะต่อรองกับท่านไม่ได้ ในเมื่อข้าบอกท่านไปแล้วว่าข้ามาแทนพี่ลาซู แต่เมื่อท่านไม่เชื่อ ข้าก็จนใจ ออกไปค้าขายที่แคว้นข้าง ๆ ยังดีเสียกว่ามาเสียเวลากับท่าน”
“นี่เจ้า!!!” สวี่จิ้นไฉกำหมัดทุบไปบนโต๊ะอย่างแรงด้วยความโทสะ เขาเหลือบตามองเห็นมี่อิงสะดุ้งตกใจ จึงคิดขึ้นได้ว่านางไม่สมควรมายืนรับรู้เรื่องราวอยู่ตรงนี้ จึงสั่งการให้อาเล่อพานางออกไปยืนรอด้านนอกเสีย
อาเล่อรับคำอย่างนอบน้อมและพาตัวมี่อิงเดินออกไป แต่เมื่อจะก้าวขาเดิน หัวสมองของนางพลันสั่งการให้ขาทั้งสองข้างหยุดชะงัก
นางเป็นบ่าวรับใช้ของคุณชายโจวต่างหาก หาใช่นายท่านสวี่
เมื่อคิดได้เช่นนั้น นางจึงเดินเข้าไปกระซิบคุณชายโจวข้าง ๆ หู เสียก่อนจะออกไปว่า “บ่าวจะรอคุณชายด้านนอกนะเจ้าคะ”
เฟิ่งเจี๋ยนั่งนิ่งพลางครุ่นคิดในภวังค์ พอคิดว่านางจะออกไปยืนกับชายหนุ่มสองต่อสอง ในใจก็รู้สึกร้อนรนอย่างบอกไม่ถูก
สายตาที่อาเล่อมองมายังมี่อิงก่อนหน้านั้นทำให้เขารำคาญใจและคาดเดาส่งเดช หากมีโอกาสอยู่ด้วยกันสองต่อสองละก็...เขาอาจจะฉวยจังหวะนี้สานสัมพันธ์กับนางก็เป็นได้
สิ้นสุดความคิด มือหนาของเฟิ่งเจี๋ยก็คว้าหมับมือเล็กของมี่อิงเอาไว้แน่น ท่าทางของเขาในยามนี้ เหมือนกับเด็กน้อยกำลังอ้อนวอนร้องขอให้พี่สาวคุ้มครองอยู่ไม่มีผิด
มี่อิงขมวดคิ้ว ชำเลืองมองเฟิ่งเจี๋ยด้วยความไม่เข้าใจ “คุณชาย...จะให้บ่าวอยู่ด้วยหรือเจ้าคะ”
เมื่อรู้ว่าตนจะต้องจัดการกับชายเบื้องหน้าอย่างสวี่จิ้นไฉ เฟิ่งเจี๋ยจึงยอมให้นางออกไป พลางเอ่ยกระซิบกลับข้างหูนาง “เจ้าออกไประวังตัวให้ดี อยู่ห่าง ๆ ชายผู้นั้นเข้าไว้”
"เจ้าค่ะ" มี่อิงเอ่ยตอบรับเสียงแผ่ว ทั้ง ๆ ที่รู้สึกงุนงงเล็กน้อย ก่อนจะเดินตามอาเล่อออกไปจากกระท่อมตามคำสั่งการ