[ตอน]
สมรสพระราชทาน
"เช่นนั้นลี่ถิงทูลลาเพคะ" เจียงลี่ถิงเอ่ย ยอบกายให้บุรุษทั้งสอง ก่อนถอยออกไปอย่างเรียบร้อย คงความเป็นกุลสตรีสง่างามทุกย่างก้าว
จ้าวเว่ยหลงแทบมิคิดปรายแม้หางตามองเจียงลี่ถิงที่คำนับให้ เขานั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามพระเชษฐา
"เกิดอะไรขึ้น ไม่มีราชกิจให้สะสางหรืออย่างไร ถึงมีเวลาจับข้าแต่งงานเช่นนี้" จ้าวเว่ยหลงโพล่งประเด็นร้อน แต่ไหนไรมาจ้าวเซียงหลงพยายามส่งหญิงงามทั่วหล้า ที่มีชาติตระกูลดีไปที่ตำหนักของเขานับไม่ถ้วน ทว่าไม่มีสตรีใดต้องตาต้องใจ จนสามารถทำให้จ้าวเว่ยหลงคิดอยากตบแต่งชายาแม้แต่นางเดียว
กระทั่งเมื่อสองวันก่อนหลังมีรับสั่งให้ลั่วจินหลิงเข้าวัง เพื่อมาเป็นสหายเดินหมาก ฝ่าบาทจ้าวเซียงหลงก็ได้พบว่าเด็กหญิงตัวน้อยในวันวานได้เติบโตขึ้นมาก ความงามนั้นถอดแบบมารดามามิผิดเพี้ยน จึงไถ่ถามถึงอายุของนาง
"เจ้ามิเลือกหนึ่งในสตรีที่ข้าส่งไป เหตุใดยังต้องรอให้เจ้าบ่ายเบี่ยงต่อไปอีก หญิงสาวที่ข้าขอให้เจ้านั้นก็งดงาม และเฉลียวฉลาด มาจากตระกูลชั้นสูงสมควรแก่ตำแหน่งชายานัก"
ฝ่าบาทจ้าวเซียงหลงมิเคยต้องอธิบายยืดยาวเช่นนี้มาก่อน ทว่าเป็นเพราะพระอนุชาเพียงหนึ่งเดียวของพระองค์นั้นยังมิยอมจริงจังกับชีวิต จึงต้องมีการบังคับจิตใจกันเกิดขึ้น
"ข้าอยู่แบบนี้มิได้รึ เสด็จพี่ท่านก็เป็นฮ่องเต้ไปแล้ว ข้าช่วยท่านได้ทุกเรื่อง แต่เรื่องเช่นนี้เหตุใดต้องบังคับใจกัน ข้ายังมิอยากแต่งงาน"
จ้าวเว่ยหลงไม่เคยคิดอยากแต่งงานเป็นสวามีให้ผู้ใด สตรีที่มีตำแหน่งน่ารำคาญใจยิ่งนัก เขาไม่อยากมีห่วงผูกคอเช่นพระเชษฐา เรื่องของสตรีในวังหลังที่ชิงดีชิงเด่นกันนั้นมันน่าขนลุกเกินบรรยาย
"เว่ยหลง...เจ้ารู้ดีว่าข้าไม่มีโอรส เรื่องของอนาคตแม้ยังมาไม่ถึง แต่หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นกับข้า บัลลังก์นี้ก็ต้องเป็นเจ้าที่สานต่อ เรื่องสืบทอดตำแหน่งรัชทายาทแม้เจ้ายังไม่คิดยอมรับ แต่เรื่องครอบครัวหากเจ้าไม่มีชายาจากตระกูลใหญ่เกื้อหนุน เจ้าก็ไม่ต่างจากเสือที่ไร้เขี้ยวเล็บ" ฝ่าบาทจ้าวเซียงหลงมองการณ์ไกลเพื่อพระองค์เองและพระอนุชาเสมอ พระองค์ต้องการสร้างรากฐานที่ดีไว้ให้เขา
จ้าวเว่ยหลงทอดถอนใจออกมาเล็กน้อย ก่อนไถ่ถาม "สตรีจากตระกูลใดรึที่ท่านว่าเหมาะกับข้า"
เมื่อเห็นว่าพระอนุชาใจเย็นลง ฝ่าบาทจ้าวเซียงหลงก็เบาพระทัย คิดว่าจะต้องเหนื่อยชักแม่น้ำทั้งหลินหลางมาหว่านล้อมเสียแล้ว
"บุตรสาวของเสนาบดีลั่วเหลียงเว่ย" ฝ่าบาทจ้าวเซียงหลงไขข้อข้องใจ
การอภิเษกสมรสระหว่างท่านอ๋องเก้าจ้าวเว่ยหลง และบุตรสาวของเสนาบดีฝ่ายขวาลั่วเหลียงเว่ย ถือเป็นงานมงคลยิ่งใหญ่ในรอบหลายปีของแคว้นหลินหลาง มีการประกาศกำหนดการออกไปทั่วแคว้น และแม้เวลาการเตรียมงานจะถูกจำกัดเพียงแค่สิบวัน แต่เส้นทางในเมืองที่ใช้เคลื่อนขบวนเจ้าสาวนั้น ชาวบ้านและเหล่าทหารต่างช่วยกันตกแต่งเส้นทางไว้อย่างสวยงาม บ้านเรือน ร้านค้าพร้อมใจประดับโคมไฟสีแดงไปทั่วเมือง
แคว้นเป่ยหมิงและแคว้นฉีอานก็ได้รับข่าวมงคลนี้เช่นกัน ข่าวที่ว่า ‘จ้าวเว่ยหลงจะแต่งงาน’ บุรุษผู้ดุดันราวพยัคฆ์ในสนามรบ สังหารข้าศึกได้ในพริบตาเดียว ความโหดเหี้ยมเด็ดขาดของเขาเลื่องลือไปทั่วสามแคว้น ถึงกระนั้นกลับมีสตรีมากมายหลงใหลในรูปโฉมแสนสง่างามราวเทพบุตรมาจุติ จนลืมไปว่าเขาฆ่าคนได้โดยมิคำนึงถึงเหตุผล
บุรุษเลือดเย็นผู้นั้นกำลังจะแต่งงาน!
ที่ผ่านมามีสตรีมากมายพยายามทำตัวให้สวยเด่น หมายเอาเต้าไต่หาความสุขสบายและอำนาจ ทว่าจ้าวเว่ยหลงกลับมิสนใจสตรีใดจริงจัง เขาใช้ร่างกายของพวกนางเพียงครั้งก่อนเขี่ยทิ้งไปอย่างมิไยดี แม้แต่เหล่าธิดาผู้งดงามต่างเมือง ที่ถูกส่งตัวเข้าตำหนักอ๋อง หวังว่าจะต้องตาต้องใจบุรุษยอดนักรบ จนได้ยกฐานะขึ้นเป็นพระชายา บุรุษหนุ่มก็ยังให้ฐานะพวกนางเป็นเพียงสนมท้ายตำหนักเท่านั้น บางนางยังมิเคยมีโอกาสได้ปรนนิบัติพัดวีเขาก็มี
"คุณหนู…" เสี่ยวเยว่สาวใช้คนสนิทส่งเสียงเรียก พลางเดินเข้าไปในป่าเหมยหลังจวนสกุลลั่ว ครู่หนึ่งก็พบหญิงสาวในชุดพิธีการสีแดงนอนกอดหมาป่าทั้งสองอยู่
‘อาหยิน’ ซึ่งเป็นนามของหมาป่าสีดำ และ ‘อาหยาง’ ซึ่งเป็นนามของหมาป่าสีขาว ทั้งสองถูกลั่วจินหลิงนำมาเลี้ยงตั้งแต่ยังมิลืมตา ด้วยเหตุที่แม่ของพวกมันถูกนายพรานฆ่าตาย การเอาใจใส่ของนางทำให้พวกมันเชื่อง และมีความซื่อสัตย์เช่นสุนัขเลี้ยงทั่วไป อีกทั้งเจ้าหมาป่าคู่นี้ยังแสนรู้มิน้อย
"ข้ามิเคยต้องจากอาหยินอาหยางไปนาน ๆ เจ้าคิดว่ามันจะเข้าใจหรือไม่ หากข้าหายหน้าไปเช่นนี้" หญิงสาวเอ่ย ลูบไล้มือไปตามเส้นขนสีขาวบนตัวของอาหยาง
"เจ้าสองตัวแสนรู้เช่นนี้ ต้องเข้าใจคุณหนูเป็นแน่เจ้าค่ะ" เสี่ยวเยว่ว่า มองดูความเศร้าหมองของคุณหนูมานับสิบวัน ในฐานะบ่าวผู้ซื่อสัตย์นั้นมีความปวดใจอยู่มิน้อย
"ฝากเจ้ากับเจี้ยนหาวดูแลแทนข้าด้วย ถ้ามีโอกาสข้าจะต้องพาพวกมันไปอยู่กับข้าเป็นแน่" นางว่า มองหมาป่าทั้งสองที่เป็นดั่งน้องชายคนสนิทด้วยความเศร้า
"บ่าวจะช่วยดูแลให้เจ้าค่ะ แต่ตอนนี้คุณหนูต้องขึ้นเกี้ยวไปที่ตำหนักอ๋องแล้วนะเจ้าคะ" เสี่ยวเยว่ว่า นางจึงค่อยๆลุกขึ้น
"อาหยินอาหยางเป็นเด็กดีนะ ข้าต้องไปนานเสียหน่อย แต่ข้าจะต้องกลับมาหาพวกเจ้าอย่างแน่นอน" นางกำชับ ก่อนจะเดินจากไป นัยน์ตาสีอำพันของหมาป่าทั้งสองสะท้อนเงาร่างบอบบางของหญิงสาวอยู่เช่นนั้น จนกระทั่งนางเดินหายไปจากสายตาของมันทั้งสอง อาหยินก็ลุกขึ้นยืนและคำรามลั่นครั้งหนึ่ง ราวกับมันเข้าใจสิ่งที่หญิงสาวบอก
ขบวนเจ้าสาวและเกี้ยวแดงหรูหราจากตำหนักอ๋องมารอรับเจ้าสาวอยู่พักหนึ่งแล้ว เมื่อเห็นนางออกมา แม่สื่อก็รีบดำเนินการพานางขึ้นเกี้ยว เพื่อให้ไปทันกำหนดพิธีการที่เหลือทันที
"บ่าวมิมีหน้าที่ในงานพิธี แต่จะหาทางตามไปทีหลังแน่นอน คุณหนูวางใจได้เจ้าค่ะ" เสี่ยวเยว่ส่งเสียงบอกหน้าเกี้ยว ก่อนจะถอยออกไป ปล่อยให้แม่สื่อสั่งเคลื่อนขบวนเจ้าสาวไปยังเส้นทางที่กำหนดไว้
ตลอดเส้นทางที่ขบวนเจ้าสาวเคลื่อนไปจะมีเด็กหญิงตัวเล็ก วัยห้าถึงหกขวบสวมชุดมงคลสีแดงมาคอยโปรยปรายดอกไม้ให้ เสียงบรรเลงเพลงรื่นเริงเรียกความสนใจจากผู้คนในเมืองให้มารวมตัวกันต้อนรับริมฝั่งทาง ทว่าลั่วจินหลิงที่อยู่ภายในเกี้ยวเจ้าสาวทำได้เพียงนั่งนิ่ง นางมิได้สนใจสิ่งใดแม้แต่น้อย ในขณะที่คนหลายกลุ่มที่ซุ่มซ่อนตัวอยู่ในหลินหลางกำลังให้ความสนใจนาง เพียงแค่ตำแหน่งพระชายาของท่านอ๋องเก้าที่ถูกแพร่ออกไป ก็สามารถทำให้นางหมดอิสรภาพแล้ว
"เจ้าสาวมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง" เหวินห้าวเข้ามารายงาน ในขณะที่จ้าวเว่ยหลงดื่มสุราไปหลายจอกแล้ว
"ช้า…" เขาเอ่ยแค่นั้น ก่อนจะเดินออกไปร่วมพิธีอย่างขัดขืนมิได้
เมื่อว่าที่สวามีมายืนเคียง ลั่วจินหลิงที่โฉมหน้ามีผ้าแดงคลุมไว้ ได้เห็นเพียงรองเท้าของท่านอ๋องเท่านั้น
“หึ!” หูนางได้ยินเสียงแค่นในลำคอของคนข้างๆ เพียงเท่านี้ก็รู้แล้วว่า ท่านอ๋องเองก็หาใช่จะยินดีกับการแต่งงานครั้งนี้ไม่
หลังจากได้รับปฏิกิริยาจากอีกฝ่ายมาเล็กน้อย พิธีการก็ได้เริ่มต้นและผ่านไปอย่างรวดเร็ว โดยที่เจ้าบ่าวมิได้ชายตาแลเจ้าสาวแม้แต่น้อย ทั้งสองต่างทำตามพิธีเพียงให้มันจบ ๆไป เจ้าสาวถูกส่งตัวเข้าเรือนหอ ในขณะที่เจ้าบ่าวยังคงดื่มสุราอยู่ในงานกับเหล่าข้าราชบริพาร โดยมิมีทีท่าว่าจะไปพบเจ้าสาวที่เรือนหอแต่อย่างใด