[ตอน] ลูกทำเพื่อตระกูลลั่ว

1945 Words
[ตอน] ลูกทำเพื่อตระกูลลั่ว "ไอ๊หยา...ขอโทษเจ้าด้วย ความสูงทำข้าหวั่นใจนิดหน่อย จึงเผลอรัดคอเจ้าแน่นหรือนี่" นางส่งเสียงขอโทษราวสำนึกผิดที่เผลอรัดคอเขา ทว่าเบื้องหลัง เรียวปากงามกลับอมยิ้มสนุกสนาน นี่แค่เล็กน้อยนักเมื่อเทียบกับที่เขาลวนลามนาง หากมิคิดใช้ประโยชน์ มีหรือคนอย่างลั่วจินหลิงจะยอมเข้าใกล้ ให้เขาได้แตะต้องตัวนาง "เอาเถิด จับไว้ดี ๆ ข้าจะพาเจ้าขึ้นไป" จ้าวเว่ยหลงนับไม่ได้ว่าตนถอนหายใจไปกี่ครั้งแล้วตั้งแต่ได้พบนาง เขากระชับร่างนางไว้ ก่อนจะใช้วิชาตัวเบาพาหญิงสาวกระโดดขึ้นไปยืนบนกิ่งไม้ใหญ่ "ว้าว! ฝีมือเจ้านี่มิเบาเลยพี่ชาย" นางเอ่ยชม โดยการยื่นหน้าเข้าไปพูดเสียใกล้ เพราะเกรงว่าเขาจะมิได้ยิน ทว่าการกระทำนั้นกลับทำให้หัวใจไร้ชีวาของท่านอ๋องจ้าวเว่ยหลงเกิดเต้นผิดจังหวะไปหลายครั้ง ตึก ๆ ตึก ๆ "เช่นไรต่อ…" เขาถามด้วยสีหน้าเรียบเฉยผิดกับจังหวะหัวใจที่เอาแต่เต้นโครมครามมิหยุด ก่อนปล่อยนางให้ยืนบนกิ่งไม้เอง "นั่นไงเล่าสิ่งที่ข้าอยากได้" นางชี้นิ้วเรียวไปที่ต้นหญ้าสลายใจ มันขึ้นอยู่บนรอยแตกของตาไม้ และอยู่สูงกว่านางมากนัก ลั่วจินหลิงเขย่งสุดปลายเท้า และเอื้อมมือจนสุดปลายแขน ทว่ากลับยังจับไม่ถึงต้นหญ้าสลายใจเสียที นางพยายามอย่างหนัก จนเหงื่อเริ่มผุดซึมบนใบหน้างาม ก่อนที่ท่านอ๋องจะเห็นว่าบัดนี้นางได้ทำปากยู่ใส่เจ้าต้นหญ้านั่นเสียแล้ว "เกิดมาตัวเตี้ยช่างลำบากนัก" เสียงทุ้มของบุรุษหนุ่มเปรยออกมาเบา ๆ แต่สามารถเสียดแทงจิตใจ 'คนเตี้ย' ยิ่งนัก ทำเอาคนฟังตวัดสายตาไปมองเขาอย่างขุ่นเคือง "เช่นนั้นพี่ชายผู้สูงสง่ามิคิดจะช่วยข้าบ้างหรือเจ้าคะ” นางจีบปากจีบคอประชด แต่ใบหน้างามกลับทำท่าทางออดอ้อนราวลูกแมวตัวน้อย จ้าวเว่ยหลงยกยิ้มน้อย ก่อนย่อกายลงเพื่ออุ้มนางขึ้น "ทีนี้เก็บถึงแล้วหรือไม่" เขาถามหลังช่วยอุ้มส่งนาง หญิงจึงลองเอื้อมมือไปอีกครั้ง และสามารถถอนต้นหญ้าสลายใจออกมาได้อย่างง่ายดาย เมื่อเห็นว่านางเก็บสิ่งที่ต้องการได้แล้ว เขาจึงปล่อยนางลง "ดีจริง ๆ พี่ชายขอบใจเจ้ามาก" นางเอ่ยด้วยรอยยิ้มที่มองแล้วช่างเป็นรอยยิ้มที่สว่างไสวนัก จ้าวเว่ยหลงเผลอจ้องเรียวปากแดงระเรื่อที่มิได้มีชาดเคลือบไว้ อดมิได้ที่จะลอบกลืนน้ำลายลงคอ นอกจากถอนหายใจแล้ว คงมีกลืนน้ำลายนี่กระมังที่เขามิอาจฝืนตนเองได้ ‘เรียวปากนางช่างอวบอิ่มสวยยิ่งนัก’ "เจ้าอยากได้ต้นหญ้า เหตุใดมิเก็บเอาข้างล่างเล่า" ท่านอ๋องเอ่ยถาม เมื่อมองเช่นไรในมือนางก็คือต้นหญ้าชัดเจน ลั่วจินหลิงเก็บหญ้าสลายใจห่อใส่ผ้าแพรสีขาวอย่างระวัง ก่อนจะใส่ไว้ในอกเสื้อ นางเงยหน้ามองบุรุษรูปงามเล็กน้อย "หากเหมือนกันเหตุใดต้องลำบากเล่า แต่ถึงบอกไปก็มิได้เกิดประโยชน์กับเจ้า เช่นนั้นก็อย่ารู้ให้รกสมองเลยเนอะ" นางเอ่ยพลางปัดมือที่เลอะออก ก่อนจะกระโดดลงจากกิ่งไม้ ทำเอาจ้าว เว่ยหลงมองนางด้วยแววตาตะลึงงัน "นี่เจ้า! ไหนว่ากลัวความสูงอย่างไรเล่า" เหมือนมีบางอย่างมาจุกอยู่ที่ลำคอบุรุษ ตอนขึ้นนางมิคิดจะขึ้นมาเอง ทว่าเหตุใดตอนลงคนที่ทำท่าหวั่นใจกับความสูงก่อนนี้ จึงกล้ากระโดดลงไปเช่นนั้นเล่า ลั่วจินหลิงเงยหน้าขึ้นมองบุรุษที่ยืนมองนางจากด้านบนด้วยแววตาฉายประกายฉุนเฉียว ก็อดระบายยิ้มหวานอย่างยั่วเย้าให้เขามิได้ และรอยยิ้มนี้ช่างสะกดสายตาคนมองได้เป็นอย่างดี "ข้าสะดวกเช่นนี้ ขอบใจเจ้าด้วย ข้ามิส่งนะพี่ชาย" นางตะโกนบอก ก่อนจะเดินไปกระโดดขึ้นหลังเสี่ยวไป๋ที่เดินมาหาอย่างรู้งาน "นี่เจ้า...แม่นางเจ้าช้าก่อน!" จ้าวเว่ยหลงกระโดดลงจากต้นไม้ ทว่านางกลับมิหันมามองเขาแม้แต่น้อย ทั้งยังส่งเสียงบังคับม้าควบจากไปทันที ราวกับถูกทอดทิ้งไม่ผิด จ้าวเว่ยหลงเงยมองความสูงจากกิ่งไม้นั้นลงมายังพื้นดิน หากมิมีวิชาตัวเบาคงมิสามารถกระโดดลงมาได้ นี่ท่านอ๋องเช่นเขาโดนรูปลักษณ์ที่ดูมิมีพิษมีภัยของนางตบตาได้อย่างไรกัน เหวินห้าวเดินอมยิ้มออกมาจากหลังต้นไม้ที่เคยซุ่มซ่อนตัวอยู่ ดูแล้วท่านอ๋องคงจะสับสนอยู่มิน้อยเลย ที่โดนแม่นางตัวน้อยปั่นประสาทเช่นนั้น "เปิ่นหวางเสียเวลากับนางไปได้อย่างไร" จ้าวเว่ยหลงพึมพำอย่างขัดใจ "ท่านอ๋องมิคิดหรือพ่ะย่ะค่ะว่านางเจ้าเล่ห์ดียิ่งนัก" เหวินห้าวว่าด้วยรอยยิ้มกริ่ม "แปลกตาดี แต่อย่าให้เจออีกครา เปิ่นหวางมีเรื่องให้สะสางกับนางแน่" จ้าวเว่ยหลงมิคิดปล่อยคนที่กล้าเล่นเล่ห์กับเขาไปหรอก นางโชคดีแล้วที่ได้มีรายชื่อในบัญชีดำของเขา ลั่วจินหลิงกลับมาจากเขาชิงซานอย่างปลอดภัย ทำให้ผู้ติดตามอย่างเจี้ยนหาวผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ชายหนุ่มเดินมาหยุดตรงหน้าคุณหนู ก่อนจะค้อมศีรษะให้นางเล็กน้อย "นายท่านให้คุณหนูไปพบที่ห้องหนังสือขอรับ" ชายหนุ่มกล่าว พลางรับสายจูงม้ามาถือไว้ "เจ้าพาเสี่ยวไป๋ไปพักเถิด" นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนจะเดินแยกไปทางห้องหนังสือของผู้เป็นบิดา ภายในห้องหนังสือ ท่านเสนาบดีลั่วเหลียงเว่ยกำลังนั่งจิบชาอยู่เงียบ ๆ เมื่อลั่วจินหลิงมาถึงก็เคาะประตูสองสามที ก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน "ท่านพ่อเรียกหาลูกหรือเจ้าคะ" นางเอ่ยถาม ก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ตัวตรงข้ามบิดา สีหน้าของบุพการีมีความกังวลฉายชัด จนหญิงสาวรู้สึกมิสบายใจ "หลิงเอ๋อร์พ่อมีเรื่องจะบอกเจ้า" ท่านเสนาบดีเอ่ย เรียวคิ้วขมวดมุ่นอย่างชั่งใจ เมื่อมองใบหน้าบุตรสาวเพียงคนเดียวของตน "เรื่องใดหรือเจ้าคะ วันนี้ท่านพ่อไปเฝ้าถวายงานต่อฝ่าบาท หรือฝ่าบาททรงมีเรื่องลำบากให้ท่านพ่อต้องกลัดกลุ้มใจ" นางเก่งเรื่องคาดเดายิ่งนัก "หลิงเอ๋อร์เจ้าเองก็รู้ว่าฝ่าบาทและไทเฮาทรงมีเมตตาต่อเจ้านัก วันนี้ฝ่าบาทได้มีรับสั่งขอเจ้าให้กับท่านอ๋องเก้า แม้จะตรัสว่าให้เวลาเจ้าตัดสินใจ แต่เจ้าก็น่าจะรู้ว่าฝ่าบาทหมายถึงสิ่งใด" เสนาบดีลั่วกล่าวออกมา สีหน้ามิค่อยสู้ดีนัก ลั่วจินหลิงฟังจบก็ได้แต่ขยับยิ้มบาง ยื่นมือไปกุมมือเหี่ยวย่นของบุพการี นางมองหน้าบิดาแท้ ๆของตน ก่อนจะส่ายหน้าน้อย ๆ "ทำตามที่ฝ่าบาทประสงค์เถิดเจ้าค่ะ ลูกมิเป็นไร ท่านพ่อเองก็อย่าได้กลัดกลุ้มอีกเลย" นางเอ่ยปลอบประโลม ลั่วจินหลิงปีนี้เพิ่งจะอายุเพียงสิบเจ็ด แต่นางกลับมีแววตา และความคิดเด็ดเดี่ยวถึงเพียงนี้ หญิงสาวมิเคยสร้างความลำบากใจให้บิดา ซ้ำยังช่วยเหลืองานของตระกูลลั่วได้เป็นอย่างดี ลั่วเหลียงเว่ยแน่ใจว่ามิได้สั่งสอนให้นางละทั้งชีวิตวัยเยาว์ไปอย่างไร้ค่าเช่นนี้ "ทำเจ้าลำบากแล้ว" เขาเอ่ยรับการตัดสินใจของนาง เพราะรู้ดีว่าสิ่งที่บุตรสาวตั้งใจจะทำนั้น นางได้คิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว ลั่วจินหลิงหยัดกายลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินอ้อมไปนั่งคุกเข่าลงข้างบิดา นางโอบกอดเอวสอบไว้หลวม ๆ พิงศีรษะลงกับแขนบิดาเงียบ ๆ อยู่พักใหญ่ "ลูกทำเพื่อตระกูลลั่ว ไม่ได้นึกเสียใจแต่อย่างใดเจ้าค่ะ" เนิ่นนานกว่านางจะเอื้อนเอ่ยถ้อยคำ มิว่าจะภพก่อนหรือตอนนี้ นางคงมีชีวิตเพื่อทดแทนบุญคุณเท่านั้น เพียงแต่ครั้งนี้สิ่งที่ทำนั้นยังโชคดีที่ได้รับความรักจากบิดาและพี่ชาย ‘จะเป็นผู้ใดก็ช่าง คนอย่างข้ามิเคยหวาดกลัวผู้ใดอยู่แล้ว หากคิดทำร้ายครอบครัวของข้า ย่อมต้องข้ามศพข้าไปก่อน’ ลั่วจินหลิงรู้ดีว่ากำลังพลของตระกูลลั่วมีผลต่อความไว้วางใจจากฮ่องเต้ ตระกูลลั่วเองก็มิอาจรอดพ้นข้อนี้ไปได้ เช่นเดียวกับตระกูลเจียง เมื่อสามปีก่อนฝ่าบาทมีรับสั่งโปรดให้ 'เจียงลี่ถิง' บุตรสาวคนโตของท่านเสนาบดีเจียงจื่อหยาเข้าวังไปเป็นพระสนม อยู่ภายใต้การดูแลของฮองเฮา บัดนี้นางดำรงตำแหน่งกุ้ยเฟย ด้วยเจียงลี่ถิงมีรูปโฉมงดงาม และกิริยามารยาทชดช้อย มีความเฉลียวฉลาดสมกับเป็นบุตรสาวจากตระกูลชั้นสูง ฝ่าบาททรงโปรดปรานนางมากทีเดียว ส่วน 'เจียงลู่เหยียน' น้องชายผู้ดูแลกองกำลังสยบวารีของตระกูลเจียงต่อจากผู้เป็นบิดา ถูกแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพใหญ่ประจำหัวเมืองเสวี่ย มิต่างจากพี่ชายของนางที่ถูกส่งไปประจำการที่หัวเมืองเฟิ่งเซียง บัดนี้มาถึงคราวของนางเสียที สมรสกับพระอนุชาของฮ่องเต้หรือ ช่างเป็นการรวบอำนาจเบ็ดเสร็จเสียจริง อีกด้านหนึ่ง...หลังจากท่านอ๋องเก้าจ้าวเว่ยหลงคว้าน้ำเหลวจากการไปตามหาหมอเทวดาบนเขาชิงซาน บุรุษหนุ่มก็กลับมาพบกับรับสั่งของพระเชษฐาให้แต่งพระชายาเข้าตำหนักอ๋อง ได้ข่าวเช่นนี้เส้นเลือดมิปูดโปนก็ให้รู้ไป "เหตุใดจึงมีรับสั่งโดยไม่ถามข้าเสียก่อน" บุรุษหนุ่มที่บัดนี้สีหน้าเคร่งขรึมปรี่เข้ามาในห้องบรรทมของพระเชษฐา โดยมิได้คำนึงว่าต้องถวายความเคารพเสียก่อน ก็เอ่ยคำถามเกรี้ยวกราดใส่ จะมีผู้ใดในล้าที่กล้าทำเช่นนี้บ้าง นอกเสียจากท่านอ๋องเก้าจ้าวเว่ยหลง "เดิมทีมิเห็นเจ้าเดือนร้อนเรื่องสนมที่ข้าส่งไป เหตุใดครั้งนี้ถึงทำท่าร้อนรนนัก" ฮ่องเต้จ้าวเซียงหลงตรัส มองหน้าพระอนุชาด้วยแปลกพระทัยยิ่ง "เรื่องแต่งงานฝ่าบาทก็เพียง..." เจียงกุ้ยเฟยที่ถวายการปรนนิบัติอยู่เอ่ยยังไม่จบความ ก็ต้องเงียบเสียงลง เมื่อท่านอ๋องตวัดสายตาเกรี้ยวกราดมามองนาง "เปิ่นหวางถามเจ้ารึ" น้ำเสียงราบเรียบทว่าเต็มไปด้วยอำนาจของจ้าวเว่ยหลง ทำเอาพระสนมเจียงลี่ถิงหน้าชา นางหายใจเข้าลึกก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงที่ยังคงความอ่อนหวาน "ขออภัยเพคะ หม่อมฉันเพียงแค่อยากให้ท่านอ๋องใจเย็นลงเท่านั้น มิได้คิดก้าวก่ายแต่อย่างใด" เจียงลี่ถิงอยู่ข้างวรกายฝ่าบาทมาสามปีกว่า นางเคยพบท่านอ๋องจ้าวเว่ยหลงหลายครา ทว่ามิเคยเห็นเขาฉุนเฉียวเช่นนี้มาก่อน เหตุใดเพียงแค่แต่งชายา กลับทำให้ท่านอ๋องระเบิดโทสะใส่ฝ่าบาทได้ถึงเพียงนี้ "กุ้ยเฟยเจ้าออกไปก่อน" ฝ่าบาทจ้าวเซียงหลงตรัสอย่างพระทัยเย็น มองหน้าพระอนุชาเล็กน้อย
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD