[ตอน]
มันอันตรายเจ้าไม่รู้รึ
"เปิ่นหวางต้องพบหมอเทวดาให้ได้ ยาพิษที่ยังไร้ยาแก้นี้ หากครั้งหน้าพบคนกลุ่มนั้นเข้า จะหลีกเลี่ยงการโดนเล่นงานได้อย่างไร" จ้าวเว่ยหลงใคร่รู้ยิ่งนัก ทั้งยาพิษและสตรีผู้ใช้พิษปลิดชีพผู้อื่นนางนั้น
"เสี่ยวไป๋รอข้าตรงนี้ก่อน"
ทว่าขณะที่บุรุษหยุดพูดคุยกันอยู่นั้น น้ำเสียงหวานกังวานก็ลอยแว่วมาให้ได้ยิน ด้วยวรยุทธ์ขั้นสูงของจ้าวเว่ยหลง ทำให้จับทิศทางของเสียงได้อย่างแม่นยำ บุรุษหนุ่มกระโดดลงจากหลังม้า ก่อนจะเดินตามเสียงนั้นไปทันที
"ท่านอ๋องจะไปที่ใดพ่ะย่ะค่ะ" เหวินห้าวรีบบังอาจทักท้วง ด้วยห่วงความปลอดภัยของนายเหนือ
"มีคนอยู่แถวนี้ เจ้าระวังหลังให้เปิ่นหวาง แล้วตามมาเงียบ ๆ" จ้าวเว่ยหลงส่งเสียงสั่ง แล้วเดินตามเสียงไปเรื่อย ๆ ด้วยระยะทางของการรับเสียงที่มีมากกว่าคนทั่วไป เท่ากับว่าเขาได้ยินเสียงนั้นจากที่ไกล ๆ การเดินตามเสียงจึงใช้เวลาเกือบครึ่งก้านธูป
"โชคดีจริง! เจ้าดูสิเสี่ยวไป๋ ข้าเจอของดีเข้าแล้ว" หญิงสาวภายใต้อาภรณ์เนื้อดีขาวสะอาดตา ตัดกับเส้นผมดำขลับยาวถึงบั้นเอวคอดกิ่ว กำลังเขย่งปลายเท้าบนกิ่งไม้สูง มือบางเอื้อมไปที่ต้นหญ้าเล็ก ๆ ที่ขึ้นแทรกตรงรอยแตกของตาไม้
จ้าวเว่ยหลงหยุดฝีเท้ามองนาง แล้วส่งสัญญาณมือให้เหวินห้าวถอยออกไปคุมเชิง
"สตรีที่ไหนกัน เหตุใดมาอยู่ในป่าลำพังเช่นนี้" บุรุษหนุ่มพึมพำกับตนเอง ขณะสายตาเห็นว่ากิ่งไม้ที่นางเหยียบอยู่ทำท่าจะหักลงมา
"ไอ๊หยา! ไม่นะ…" หญิงสาวร้องออกมาเมื่อกิ่งไม้ที่เหยียบอยู่เริ่มมิมั่นคงเสียแล้ว
พริบตาเดียวที่ร่างสูงกระโดดหมุนตัวไปรับร่างอรชรของหญิงสาวไว้ในอ้อมแขนแกร่ง ก่อนที่นางจะพลัดตกลงมาจากต้นไม้ใหญ่
"เจ้า…" หญิงสาวเอ่ยแค่นั้น นางกำลังตกใจที่จู่ ๆ ก็มีบุรุษแปลกหน้าปรากฏกายกลางป่าเขาแห่งนี้
จ้าวเว่ยหลงคงสีหน้าราบเรียบ ปล่อยสตรีเนื้อตัวนุ่มนิ่มในอ้อมแขนลง สายตาคมคร้ามสีรัตติกาลจดจ้องใบหน้างามหยดย้อยนิ่งราวต้องมนต์สะกด
‘นาง...ช่างงามอะไรเช่นนี้’ มีเพียงถ้อยคำเดียวที่ผุดขึ้นมาในห้วงความคิดของบุรุษ ทั้ง ๆ ที่ท่านอ๋องมิเคยคิดเอ่ยชมสตรีนางใดมาก่อน
"ขอบใจเจ้าที่ช่วยข้า…" เสียงหวานกังวานเดียวกันกับเสียงที่บุรุษได้ยินก่อนหน้านี้ ทำให้ท่านอ๋องหนุ่มหลุดจากภวังค์
"แม่นางเหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ในป่าลำพังเช่นนี้" เขาเอ่ยถาม กวาดสายตามองไปรอบบริเวณก็เห็นเพียงม้าสีขาวกับหญิงสาวนางนี้เท่านั้น
“ทำไมรึ? ในเมื่อเจ้ายังมาลำพังได้ ไยข้าจะมามิได้เล่า" นางย้อนถาม พลางปัดเศษเปลือกไม้ที่เลอะมือออก
"ไม่ใช่มามิได้ แต่มันอันตรายเจ้าไม่รู้รึ" เขาตอบและย้อนถามกลับ สตรีบอบบางเช่นนางถ้าพบสัตว์ป่าดุร้าย จะเอาชีวิตรอดออกไปได้อย่างไร
ได้ฟังบุรุษหนุ่มเอ่ยมาเช่นนั้น ลั่วจินหลิงทำเพียงถอนหายใจออกมาเบา ๆ ราวมิได้ยี่หระกับถ้อยคำตักเตือนของเขาเท่าไรนัก ป่านี้นางเดินจนคุ้นชินเสียแล้ว
"กฎเกณฑ์ใดกันเล่าที่แบ่งแยกว่าที่ใดสตรีควรไปมิควรไป" สาวงามว่า แล้วยกยิ้มบนมุมปากอิ่มสวย นัยน์ตากลมช้อนขึ้นมองสบตาเขาตรง ๆ อย่างรอคำตอบ
นางคือสตรีจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด ผู้เกิดในแผ่นดินที่ชายหญิงเท่าเทียมกัน เมื่อยามคล้ายถูกลิดรอนสิทธิเสรีภาพจึงคิดต่อต้านขึ้นมา
ได้ฟังถ้อยคำหญิงสาวบุรุษหนุ่มถึงกับหน้าตึง จ้าวเว่ยหลงมองนางราวกับเพิ่งได้ค้นพบสิ่งแปลกใหม่ สตรีจากสกุลใดกันถึงพูดจาได้ประหลาดผิดวิสัยสตรีทั่วไปนัก ทั้งนางยังกล้าจ้องตากับเขาตรง ๆ อีกด้วย
"แม่นางช่างประหลาดนัก" เขาว่า ก่อนเดินไปหยุดเงยมองยังจุดที่นางขึ้นไปยืนเมื่อครู่ "เจ้าขึ้นไปกินข้าวบนนั้นรึ"
ได้ฟังทำเอาหญิงสาวมุมปากกระตุก อดจะแค่นเสียงหยันในลำคอมิได้ นี่เขายอกย้อนนางหรือ
ลั่วจินหลิงหันมาแสร้งยิ้มจนตาหยีให้เขา
"พี่ชาย...เจ้าสนใจขึ้นไปกับข้ารึไม่เล่า หืม?"
ท่าทางแสนซนของนางทำให้ท่านอ๋องหนุ่มอยากรู้ถึงสิ่งที่นางกำลังให้ความสนใจขึ้นมา ดวงตาคมหรี่มองดวงหน้างาม ก่อนตัดสินใจ
"ขึ้นเช่นไร ปีนรึ?" เขาถามหยั่งเชิง ทว่านางกลับสั่นหน้าไปมา ขยับเรียวปากงามยกยิ้มเจ้าเล่ห์ส่งให้เขาอย่างน่าตีนัก
"อุ้มข้ากระโดดขึ้นไป" นางตอบ ทำเอาจ้าวเว่ยหลงสะอึกอึ้งด้วยมิคาดคิดว่าจะได้ยินนางพูดเช่นนี้
‘อุ้มนางรึ...’ ประหลาดนัก เพียงแค่คิดเช่นนี้กลับทำเขาลอบกลืนน้ำลายเสียได้
ลั่วจินหลิงพูดเช่นนั้น เพราะหญิงสาวแน่ใจแล้วว่า ชายหนุ่มรูปงามไร้ที่มาผู้นี้มีวรยุทธ์สูงส่งมิน้อย มิเช่นนั้นก่อนหน้านี้ นางคงจับการมาถึงของเขาได้แล้ว ซ้ำการที่เขาเข้ามารับตัวนางไว้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ นั่นแปลว่าเขามิธรรมดาเลย
จ้าวเว่ยหลงหรี่ดวงตาคมมองแม่นางตัวน้อย แล้วทอดถอนใจออกมา ก่อนจะขยับเข้ามาช้อนร่างนางขึ้นอุ้มไว้แนบอ้อมอกแกร่ง ทั้งท่านอ๋องยังจงใจกระชับวงแขนให้แนบแน่นอย่างหากำไรกับเนื้อตัวอ่อนนุ่มของนาง พลันจมูกก็รับรู้ถึงกลิ่นหอมละมุนที่ลอยคลุ้งอยู่รอบกายสาวงาม
‘ช่างเป็นกลิ่นหอมที่ยิ่งได้กลิ่น ยิ่งทำให้รู้สึกสดชื่นอย่างประหลาด’ หอมเสียจนเขาเผลอสูดกลิ่นกายของนางเข้าปอดลึก
“เจ้าออกจะลวนลามข้าหรือไม่" นางเอ่ยในอ้อมแขนเขา ดวงตากลมโตจ้องมองบุรุษอย่างจับผิด
นั่นทำให้จ้าวเว่ยหลงยกยิ้มร้าย "ข้าต้องเสียเปรียบอุ้มแม่นางขึ้นไป เหตุใดถึงกลายเป็นว่าข้าลวนลามเจ้าเล่า"
ได้ฟังคำแก้ตัวเช่นนั้นลั่วจินหลิงก็แค่นเสียงใส่...เหอะ!
"เอาเถิดรีบ ๆ กระโดดเสียสิ รึคิดจะรัดร่างข้าจนแบนติดไปกับอกเจ้า" นางว่าเสียงขุ่น เห็นชัด ๆ ว่ากำลังโดนเอาเปรียบ แต่เพื่อต้นหญ้าสลายใจที่อยู่สูงเกินเอื้อม โดนอุ้มแค่นี้หญิงสาวพอทนได้ เพราะถึงอย่างไรความหล่อเหลาของบุรุษผู้นี้ ก็สามารถลดทอนความผิดของเขาไปได้มิใช่น้อย
นางช่างมีความยุติธรรมเสมอ!
‘รูปโฉมของเจ้าในยุคนั้น เขาเรียกว่าหล่อวัวตายควายล้มเชียวล่ะ เจ้ามันท็อปสตาร์ชัด ๆ'
หากเขาไปอยู่ในยุคของนางแล้วล่ะก็ บุรุษหนุ่มผู้นี้คงเป็นดาราดัง หรือไม่ก็เน็ตไอดอลที่มียอดฟอลโลว์เบียดท็อปสตาร์ไปแล้ว นางคิดแล้วก็ได้แต่ลอบอมยิ้มน้อย
"ช่างมิระวังตัว" จ้าวเว่ยหลงพึมพำเสียงเบา พลางส่ายหน้าน้อย ๆ กับท่าทางสบายอกสบายใจของนางยามอยู่ในอ้อมแขนเขา
คำพูดคำจาและท่าทางแสนประหลาด เป็นสตรีที่ถูกบุรุษโอบกอดกลับมิแสดงอาการขวยเขินให้เห็น นางประมาทบุรุษ หรือช่ำชองการใกล้ชิดบุรุษจนเห็นเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วหรืออย่างไร
"นี่พี่ชาย! ข้าว่า...ข้าขี่หลังเจ้าน่าจะสะดวกกว่า" จู่ ๆ นางก็เอ่ยขึ้น แล้วขยับกายไปมาให้เขาปล่อยนางลง
"แม่นาง...ข้ามิมีเวลาช่วยเจ้านัก จะทำสิ่งใดก็เร่งมือเถิด" ท่านอ๋องจ้าวเว่ยหลงที่ใจเย็นเกินวิสัย ทำเหวินห้าวที่คุมเชิงอยู่รู้สึกแปลกใจยิ่ง
แม่นางน้อยผู้นั้นช่างงดงามเหลือล้น เมื่อเทียบกับสตรีมากมายที่เคยพยายามเสนอตัวให้ท่านอ๋องแล้ว พวกนางแทบเทียบรัศมีมิติด หรือว่าท่านอ๋องของเขาจะโปรดนางเข้าเสียแล้ว ถึงยอมให้นางสั่งโน้นสั่งนี่ ช่างผิดวิสัยราวกับมิใช่จอมพยัคฆ์ผู้ทระนงตนเหนือคนในใต้หล้า ซ้ำยังมีความหยิ่งผยองต่อบุรุษและสตรีมิเลือกหน้าอีก
"หันหลังเถิดน่า ข้าจะไม่เรื่องมากอีก" ลั่วจินหลิงว่า เมื่อบุรุษหนุ่มยอมหันหลังให้ นางก็กระโดดขึ้นไปขี่หลังเขาทันที จ้าวเว่ยหลงถึงกับเม้มปากแน่น ในใจพลางคิดว่าท่านอ๋องเช่นเขากำลังทำสิ่งใดอยู่
เขากระแอมเล็กน้อย "แม่นาง...เจ้าคลายวงแขนหน่อยเถิด รัดคอข้าเช่นนี้ คิดจะฆ่ากันให้ได้รึ"
บุรุษหนุ่มเอ่ยอย่างยากลำบาก เมื่อถูกวงแขนเล็กโอบรัดลำคอไว้แน่น เนินอกอวบหยุ่นที่สัมผัสถูไถอยู่บนแผ่นหลังกว้างก็ช่างบดเบียดแนบชิดเสียจนเขานึกถึงรูปร่างของเจ้าก้อนซาลาเปาทั้งสองออก มิวายเป็นได้ลอบกลืนน้ำลายอีกครา
‘หวังว่าเจ้าคงมิได้จะยั่วยวนเปิ่นหวางหรอกนะ’